ชิวเยี่ยไป๋งงงัน เมื่อครู่คุยกันมากมาย นางจำไม่ได้ว่าคำถามที่สองคืออะไร

 

 

หยวนเจ๋อยังคงมิได้หันกลับและไม่พูด

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเงาหลังของเขาด้วยสีหน้าสับสนสุดหยั่งคะเนแวบหนึ่ง แล้วหันกายกลับเข้าห้องโดยสารเรือ

 

 

ส่วนหยวนเจ๋อที่ยืนอยู่หัวเรือแลดูจันทร์กระจ่างฟ้า จู่ๆ พลันหัวร่อพิกล “เหลวไหลที่ไหนกันเล่า อาเจ๋อดีใจมากที่ได้อยู่ข้างกายท่าน จันทร์กระจ่างไม่มีวันนึกถึงตลอดกาลว่าเมฆดำจะเลื้อยผ่านมาเวลาใด”

 

 

บางอย่างที่เย็นเยียบและมืดมน มักมาถึงในเวลาที่ท่านคิดไม่ถึง มาอย่างเงียบเชียบ ปกคลุมเจ้าไว้ เสี่ยวไป๋

 

 

ยิ่งเป็นสิ่งที่มืดมนอนธกาลยิ่งมุ่งสู่แสงสว่าง

 

 

ท่านมิรู้หรือ

 

 

ยามนี้ลมแม่น้ำเย็นเยือกพัดมาหอบหนึ่ง พริบตานั้นพัดเอาผมที่ปรกหน้าผากของหยวนเจ๋อปลิวขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่หมอกดำค่อยๆ สลายไป และกำลังเปลี่ยนเป็นดวงตางดงามมีเสน่ห์แสนพิกลสีเทาเงินช้าๆ

 

 

ครู่หนึ่ง เขาเคลื่อนไหวคราหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิช้าๆ หลับตา สองมือวางที่เข่า จีบนิ้วเป็นรูปดอกบัวที่งดงาม ทั่วตัวมีแต่กลิ่นอายที่สงบ ราวกับพุทธะประทับกลางดอกบัว

 

 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลับถึงห้อง สมองยังคงยุ่งเหยิง นางขบคิดในใจ

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงเนื้อในของเจินเหยียนกงชั่วร้ายเพียงใด แต่นางดูจนเข้าใจพุทธะมีชีวิตกลับชาติมาเกิดเช่นหยวนเจ๋อแล้ว ท่าทีของราชครูแห่งแคว้น…เขามินำพาต่อที่มาของตนเองแม้แต่น้อย

 

 

และยิ่งไม่มีทางฝักใฝ่ฝ่ายใด

 

 

เขาเพียงแค่ผู้ชมดูการห้ำหั่นของชาวโลกอย่างเย็นชา

 

 

นี่มิรู้ว่าดีหรือร้าย

 

 

แต่อย่างน้อยโดยอัตวิสัยแล้วเขาไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง

 

 

“ใต้เท้าขอรับ พวกเราจะถึงท่าเรือหมู่บ้านในทันทีแล้ว เป๋าเป่านำคนมารับพวกเราแล้ว” โจวอวี่วิ่งเข้ามาบอกอย่างตื่นเต้น เปิดประตูห้องโดยสารเรือแล้วกล่าว

 

 

แต่จากนั้นสายตาเขาหยุดที่เตียงแล้วงุนงง “หยวนเจ๋อเล่า”

 

 

พอได้ยินชื่อหยวนเจ๋อ ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววสับสนแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เขาอยู่ข้างนอก เจ้าช่วยเอาเสื้อผ้าสักตัวไปให้เขาเถอะ ข้าจะไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัว”

 

 

โจวอวี่ผงกศีรษะอย่างไม่คิดมาก และแล้วจึงสังเกตเห็นห้องโดยสารยังมีอีกประตู เขาจึงเดินออกนอกห้องทันที ส่วนชิวเยี่ยไป๋หันกายไปตระเตรียมสมทบกับเป๋าเป่า

 

 

ตอนนางเดินถึงข้างนอก เป๋าเป่าก็ลงมาในเรือแล้วและกำลังบงการให้เรือเตรียมเทียบท่า

 

 

พอเห็นชิวเยี่ยไป๋เขาก็ยิ้มร่ากล่าวว่า “คุณชายสี่ เป็นดั่งที่ท่านคาดไว้ เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าว เหมยซูเกิดปีจอจริงๆ คนของเขาไล่ตามมาแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็หัวร่อกล่าวว่า “จริงดังคาด แต่ช้ากว่าที่ข้าคิดเล็กน้อย”

 

 

เป๋าเป่าออกจะแปลกใจ “คุณชายสี่รู้ได้อย่างไรว่าเหมยซูจะไล่ตามมา เจ้ามั่วเสียนมิใช่คนของเขานี่นา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ลงเรือแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “แม้มั่วเสียนจะมิใช่คนของพวกเขา แต่เหมยซูเป็นคนเฉียบไวเพียงใด จู่ๆ มั่วเสียนจากมาและมีการเคลื่อนกองกำลัง ต่อให้ทหารพวกนั้นมิใช่พวกเดียวกับพระพันปี แต่ในเมื่อเขาควบคุมดูแลทหารทางด้านนี้ไว้ จะช้าหรือเร็วย่อมรู้จนได้”

 

 

เป๋าเป่ามีสีหน้าได้ใจ “นั่นนะสิ ทางด้านมั่วเสียนเพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดกลับไป ก็ปะทะกับพวกเหมยซูเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไล่ไม่ทันในเวลาอันสั้น”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแล้วถามอย่างแปลกใจ “ทำไมถึงปะทะกัน มั่วเสียนไม่โง่ขนาดนั้นนี่นา”

 

 

เป๋าเป่าหัวร่อกล่าวว่า “เวลานั้นหลวงจีนได้รับบาดเจ็บ คุณชายสี่มัวแต่ดูแลเขาย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา นี่เป็นฝีมือของโจวอวี่ ให้คนของเราในสำนักหอซ่อนกระบี่ลวงให้กำลังทั้งสองฝ่ายชนกัน”

 

 

ชนกันครั้งนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อมั่วเสียน เหมยซูต้องรู้แล้วว่าเขาเป็นไส้ศึกของศัตรู จึงย่อมปะทะกันอย่างดุเดือด

 

 

นางตะลึงแล้วดวงตาฉายแววยินดี “เป็นฝีมือจื่อเฟยหรือ”

 

 

เป๋าเป่าผงกศีรษะอย่างชื่นชมกล่าวว่า “ถูกต้อง ตอนด้านนั้นคับขัน เขาหันกายจะลงเรือยังอุตส่าห์หารือเรื่องนี้กับข้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขึ้นจากเรือพลางเผยรอยยิ้มอย่างสุขใจเป็นครั้งแรกในหลายวันนี้ “จื่อเฟยเติบโตเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย!”

 

 

นางดูคนไม่ผิด จื่อเฟยเป็นคนปั้นได้จริงๆ

 

 

นางเพิ่งขึ้นจากเรือก็เห็นท่าเรือที่สว่างไสวด้วยแสงไฟ มีเงาสองร่างยืนอยู่ ดรุณีหนึ่งเหลืองหนึ่งม่วงในชุดเสื้อแขนสามส่วนปลายแคบและกระโปรงยาวกรอมเท้าแบบเดียวกันกำลังเข้ามาหา น้ำเสียงล้วนดีใจจนสะอื้นราวกับนกขมิ้นออกจากหุบเขา “คุณชายสี่! คุณชายสี่เจ้าขา!”

 

 

พอชิวเยี่ยไป๋เห็นเข้า พริบตานั้นสีหน้าเผยแววยินดี “หนิงชิวหนิงตง!”

 

 

ดรุณีเสื้อม่วงอดพลุ่งพล่านมิได้ โถมเข้าอ้อมอกนางกอดเอวนางไว้ ใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามราวบุปผาฤดูใบไม้ผลิน้ำตานองกล่าวกระเง้ากระงอดว่า “คุณชายสี่เจ้าขา ปีกว่าแล้วนะ ไม่เห็นท่านเรียกตัวพวกเราเข้าเมืองหลวงสักครา ท่านลืมเราสองพี่น้องแล้วหรือไร”

 

 

ดรุณีเสื้อเหลืองใบหน้าสดใสค่อนไปทางเหลี่ยม คิ้วคางราวกับแช่ในน้ำค้างหิมะสมกับชื่อ เพราะสดใสเย็นเยียบราวกับเหมยหิมะฤดูหนาว แต่ยากจะปิดบังความทระนงที่มีมาแต่กำเนิด พอเห็นชิวเยี่ยไป๋แม้ดวงตาจะฉายแววพลุ่งพล่าน แต่ยังคงคารวะอย่างเป็นทางการแล้วกล่าวว่า “หนิงตง หัวหน้าหน่วยเสวียนอู่ถังเรียนต้อนรับท่านหัวหน้าสำนัก”

 

 

ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะรู้นิสัยนางจึงไม่ยับยั้ง ปล่อยให้นางคารวะแล้วจึงประคองมือนางขึ้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ตงเอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด”

 

 

หนิงตงจึงลุกขึ้นแลดูชิวเยี่ยไป๋ และไม่ปิดบังความปีติในแววตาของตนอีก เผยรอยยิ้มที่นุ่มนวล “คุณชายสี่!”

 

 

ดูเหมือนหนิงชิวจะไม่พอใจที่บรรยากาศการออดอ้อนของตนเมื่อครู่ถูกหนิงตงขัดจังหวะ จึงกล่าวอย่างแง่งอนว่า “เจ้าจงวางมาดรักษาการเจ้าสำนักของเจ้าต่อไปเถิด!”

 

 

สีหน้าหนิงตงยังคงปกติและมิได้ตอบหนิงชิว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ “วันนี้ข้าหิวแล้ว คิดถึงของว่างชิวเอ๋อร์”

 

 

หนิงชิวย่อมฟังเป๋าเป่าเล่ามาแล้วถึงเหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้ พอได้ยินก็ถอนตัวจากอ้อมอกของชิวเยี่ยไป๋แล้วพินิจพิเคราะห์นางรอบหนึ่งจึงกล่าวว่า “คุณชายสี่เจ้าขา ท่านผอมลงนะ คงลำบากมากเลย วันนี้ชิวเอ๋อร์ทำเผือกหอมใยทองม้วน เกี๊ยวกุ้งเตรียมไว้ บนเตายังมีน้ำแดงรากบัวอุ่นไว้ เพราะเกรงว่าท่านกลับมาอาจจะยังไม่ได้กินอาหาร แต่นี่ก็สายมากแล้ว ตอนนี้ถ้ากินมากไปจะย่อยยาก”

 

 

อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นของว่างที่ชิวเยี่ยไป๋โปรดปราน นางแลดูหนิงชิวกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ยังคงเป็นชิวเอ๋อร์ที่รู้ใจข้าที่สุด”

 

 

หนิงชิวกล่าวอย่างแง่งอนว่า “หากท่านคิดว่าข้าน้อยรู้ใจก็คงไม่พาแต่หนิงซย่าไป เอ้อ ตอนนี้นางใช้ชื่อหนิงชุนแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางแง่งอนของนางก็รู้สึกขัน จึงปลอบใจนางอีกหลายคำ หนิงชิวจึงสิ้นความคาใจ

 

 

บนเรือ โจวอวี่เพิ่งพยุงหยวนเจ๋อค่อยๆ ขึ้นจากเรือ ก็เห็นชิวเยี่ยไป๋กำลัง ‘เกี้ยวพาราสี’ กับดรุณีงดงามสองคน ท่าทางสนิทสนมเป็นพิเศษ ดรุณีคนหนึ่งงดงามกรุ้มกริ่ม อีกคนสดสวยสำรวมหนักแน่น เขารู้สึกขมฝาดอย่างมิรู้สาเหตุแล้วรีบปรับคืนสู่ท่าทางปกติ ทักทายชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้าขอรับ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินก็แลดูโจวอวี่และยิ้มให้ “ไปพักพร้อมหยวนเจ๋อก่อนเถิด”

 

 

พูดจบนางก็หันไปกล่าวกับหนิงตงและหนิงชิวว่า “นี่โจวอวี่ ข้างๆ เป็น…” หางตานางชำเลืองมองหยวนเจ๋อที่ดูเหมือนยังสะลึมสะลืออยู่ ไอ้หมอนี่มิรู้ว่าเพราะโดนลมเมื่อครู่ใช่หรือไม่ ยามนี้จึงดูท่าจะไม่ไหว