เห็นนางมองมา ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ดวงตาสีเทาเงินฉายแววเลื่อนลอย

นางถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวเนือยๆ ว่า “นั่นเป็นไต้ซือหยวนเจ๋อ”

คำว่าไต้ซือนี้ ถ้าหยวนเจ๋อไม่คู่ควรก็คงไม่มีใครคู่ควรแล้ว

แต่ไรมาหนิงชิวเป็นคนกรุ้มกริ่มคล่องแคล่ว บวกกับเป๋าเป่าเคยเล่าให้ฟังคร่าวๆ นางจึงรีบเข้าไปย่อกายคารวะอย่างยิ้มแย้ม “คุณชายโจวกับไต้ซือหยวนเจ๋อโปรดตามข้ามาเถิด”

พูดจบ นางก็ส่งสายตาให้คนในสำนักที่สวมชุดดำเหมือนกันหมดที่อยู่ด้านข้าง ศิษย์ในสำนักหลายคนก้าวออกมาทันที ประสานมือคารวะต่อโจวอวี่กล่าวว่า “คุณชายโจว ไต้ซือไม่ค่อยสบาย พวกเราเตรียมแคร่หามไว้แล้ว ท่านหมอก็มาแล้ว”

โจวอวี่เห็นพวกเขาขมับนูนสูง ก็รู้ว่าพวกเขาล้วนเป็นมือดีที่กำลังภายในสูงล้ำ แต่สีหน้าท่าทางต่างจากคิ้วคางของชาวยุทธจักรที่ยากจะปกปิดความดิบเถื่อนไว้มิได้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเรียบง่าย

เขาพยักหน้าแล้วมอบหยวนเจ๋อให้คนชุดดำหลายคนนั้น ให้พวกเขาแบกขึ้นแคร่หามจากไปทันที

หลังจากนั้นชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวโหลว เป๋าเป่า โจวอวี่ และสองหญิงรับใช้ ก็ขึ้นรถม้าหลายคันที่เตรียมไว้แล้วมุ่งสู่หมู่บ้านน้อย

หลังรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยมที่สำนักหอซ่อนกระบี่เหมาไว้แล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว

ขณะชิวเยี่ยไป๋ตื่นนอนเตรียมล้างหน้าล้างตา เห็นหนิงชิวหิ้วกล่องสำรับมาคอยปรนนิบัติ พลันรู้สึกเลื่อนลอยราวกับนางยังอยู่ในหอซ่อนกระบี่

วันเวลาที่สงบสุข ผ่านไปแล้ว แม้จะยังคงขัดสนบ้างเป็นบางครั้ง แต่เป็นวันเวลาของชีวิตใน

ยุทธจักรที่ไม่ต้องห่วงพะวงใดๆ

หนิงชิวเห็นชิวเยี่ยไป๋สีหน้าสะทกสะท้อนอยู่บ้าง นัยน์ตาที่เหมือนองุ่นดำกลอกรอบหนึ่งแล้วกล่าวอย่างยิ้มว่า “คุณชายสี่กำลังหวนคะนึงถึงวันเวลาที่พวกพี่น้องสองสาวช่วยเติมเครื่องหอมอ่านหนังสือยามราตรีหรือ วันหน้ามีเราสองพี่น้องคอยติดตาม ก็มิต้องสะทกสะท้อนเช่นนี้แล้ว”

ยามนี้หนิงตงยกอ่างน้ำล้างหน้าเข้ามา เห็นหนิงชิวพูดเช่นนี้จึงกล่าวว่า “พวกเจ้าติดตามไปก็พอ ข้ายังต้องอยู่เฝ้าหอซ่อนกระบี่แทนคุณชายสี่นะ”

ไม่ว่าหนิงตงกับหนิงชิวจะมีตำแหน่งอะไรในหอซ่อนกระบี่ แต่การปรนนิบัติชิวเยี่ยไป๋พวกนางไม่เคยยืมมือผู้อื่นเลย

ชิวเยี่ยไป๋รับผ้าขนหนูที่หนิงตงส่งให้แล้วเช็ดหน้า กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ตงเอ๋อร์หนักแน่นเยี่ยงนี้เสมอ”

ใบหน้างดงามสำรวมของหนิงตงแดงระเรื่อเล็กน้อยอย่างยากจะพบเห็น จากนั้นก็กลับคืนสู่ปกติ

หนิงชิวจัดสำรับพลางเช็ดปากกล่าวว่า “เอาเถิด หนิงตงเจ้าเป็นคนดีตลอดกาล”

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อพลางยื่นนิ้วดีดใส่หน้าผากหนิงชิว “เจ้าขี้อิจฉา”

จนกระทั่งชิวเยี่ยไป๋กินอาหารเช้าเสร็จลงไปที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยม ก็มีชายชุดดำนั่งรออยู่เป็นร้อยแล้ว ในมือทุกคนล้วนมีหน้ากากลักษณะพิกลอันหนึ่ง นั่งกินเงียบๆ ราวกับรูปปั้น ไม่มีใครส่งเสียงเลย แต่กลิ่นอายหนาหนัก บนตัวทำเอาผู้คนระย่อ

ส่วนบรรดาคนหยิบหย่งที่ทยอยกันมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เวลานี้กำลังเบียดเสียดกันอยู่ชั้นบนและมองลงมารอบๆ ซุบซิบกันถึงที่มาของชายชุดดำและความสัมพันธ์กับเจ้านายตน

พวกเขาดูเหมือนจะรู้สึกอย่างเร้นลับถึงบรรยากาศหนักอึ้งที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน

ขณะชิวเยี่ยไป๋มือไพล่หลังพาหญิงรับใช้สองคนเดินสู่ชั้นล่าง คนชุดดำทุกคนลุกขึ้นพร้อมเพรียงกัน คุกเข่า ข้างเตียงประสานมือคารวะต่อชิวเยี่ยไป๋อย่างนอบน้อม “คุณชายสี่!”

เสียงกังวานดุจระฆัง กลิ่นอายที่เคร่งขรึมทำเอาพวกหยิบหย่งสะดุ้ง และสงบปากสงบคำมองดูคนชุดดำเรียงกันสลอนที่ชั้นล่าง

ชิวเยี่ยไป๋โบกมือกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พี่น้องทุกท่านลำบากแล้ว อีกสักครู่จะออกรบต้องลำบากแล้ว!”

บรรดาคนชุดดำประสานมือพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง “ขอรับ!”

ชิวเยี่ยไป๋ผงกศีรษะเนือยๆ โบกมือให้ “ลุกขึ้น!”

พวกคนชุดดำลุกขึ้นพร้อมกันและยืนตรงเงียบกริบ

ชิวเยี่ยไป๋คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มเงยหน้ามองดูพวกหยิบหย่งชั้นบนที่อ้าปากค้างแวบหนึ่ง “นี่เป็นสหายที่ข้าเชิญมาช่วยหนุนพวกต้าสู่ อีกสักครู่จะมีใครอยากตามข้าไปดูความครึกครื้นไหม”

บรรดาคนหยิบหย่งพากันงงงัน จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าของตนจะทรงอำนาจถึงเพียงนี้ พลานุภาพคุกคามผู้คน สามารถบงการพวกคนชุดดำที่ดูแล้วร้ายกาจมาก เป็นแค่สหายจริงหรือ

บรรดาหยิบหย่งมองหน้ากันเลิ่กลั่กครู่หนึ่งก็มีหลายคนก้าวออกมาแสดงตนว่าพวกเขาจะไปด้วย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยเห็นความสามารถของชิวเยี่ยไป๋มาแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แทบจะเป็นสภาพหนึ่งทวนหนึ่งม้ายังสามารถช่วยพวกเขาออกจากกับดักได้ และคลี่คลายอันตรายจนปลอดภัย

บัดนี้นางแน่ใจถึงเพียงนี้ อาจไม่แน่ว่าจะได้ชมดูความครึกครื้นจริงและยังได้ชื่อว่าไปช่วยมิตรสหายด้วย

สมองของคนหยิบหย่งฝูงหนึ่งไม่คิดเป็นอื่น เพียงคิดได้แค่นี้

ชิวเยี่ยไป๋มองปราดเดียวก็รู้ความคิดของพวกเขาแต่ไม่ถือสา เพียงสั่งหนิงตงให้ไปเลือกออกมาสิบคน

หนิงตงผงกศีรษะแล้วเลือกออกมาสิบคนอย่างรวดเร็ว ให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นชุดดำ

ชิวเยี่ยไป๋วันนี้ก็สวมชุดสีดำขรึมเช่นกัน เห็นทุกคนเตรียมพร้อมแล้วจึงหัวร่อเบาๆ รับหน้ากากครึ่งหน้าสีทองรูปปีศาจที่หนิงชิวยื่นให้แล้วสวมกับใบหน้า จากนั้นยกมือกล่าวเสียงหนักว่า “ไป!”

บรรดาคนชุดดำสวมหน้ากากโดยพร้อมเพรียงกันทันที แล้วเดินตามหลังชิวเยี่ยไป๋อย่างเป็นระเบียบ ออกไปเป็นขบวนยาวเหมือนมังกรดำสองตัว พลิกตัวขึ้นม้ายกพลเอิกเกริกราวกับเมฆดำกลุ่มหนึ่งถูกลมหอบไป

จนกระทั่งพวกเขาขับม้าลับไปในที่ห่างไกล บรรดาคนหยิบหย่งที่เหลือยืนนิ่งอยู่เนิ่นนานสติยังคงไม่กลับคืนมา

หนิงตงกับหนิงชิวมองดูคนกลุ่มนี้แวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววดูแคลน หนิงชิวจ้องมองพวกเขาตรงๆ กล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้า รีบไปจัดแจงข้าวของนี้เตรียมลงเรือ!”

เฝยหลงถูกคนพยุงไว้ กำลังฟุบกับระเบียงหวนนึกถึงฉากอานุภาพระทึกใจเมื่อครู่ ถอนหายใจอย่างสลดในใจ ถ้าเขามิได้รับบาดเจ็บ จะต้องตามไปชมความครึกครื้นแน่ ขณะกำลังอัดอั้นพลันได้ยินคำพูดของหนิงชิวเขาก้มลงดู ที่แท้เป็นดรุณีน้อยหน้าตางดงามคล่องแคล่ว

เขาพลันทำหน้าเป็นกล่าวว่า “ไอ้หยา นี่มิใช่สาวน้อยที่ติดตามใต้เท้าหรอกหรือ เสียงไพเราะจริง เจ้าคิดจะให้พี่น้องเราไปไหน ดูท่าทางแล้วเจ้าแม้จะเคยปีนขึ้นเตียงใต้เท้า แต่ยังคงมิใช่ฮูหยินของใต้เท้ากระมัง มาออกคำสั่งเยี่ยงนี้ออกจะใหญ่ตามนายเหมือนจิ้งจอกอ้างราชสีห์เกินไปกระมัง…”

เขาพูดยังไม่ทันจบ แววตาหนิงชิวฉายประกายเย็นเยียบแวบหนึ่งสะบัดมือ เฝยหลงรู้สึกตาลายวูบหนึ่งแล้วรู้สึกเย็นวูบที่คอเหมือนถูกอะไรกรีดผ่าน

เขาก้มลงดู ถึงกับเป็นแส้ยาวเก้าท่อนเส้นเล็กเส้นหนึ่ง เฉียดผ่านลำคอของตนแล้วปักตรึงผนังข้างหลังตน

ถ้าของนี้ปักเข้าลำคอของตน…

พริบตานั้นเฝยหลงเหงื่อเย็นไหลโชก

หนิงชิวหน้าเย็นแค่นเสียงหัวร่อ “คำพูดข้าไม่เคยซ้ำสอง!”

เฝยหลงรีบผงกศีรษะเหมือนตำกระเทียม หนิงชิวมองดูเขาร้องเฮอะอย่างดูแคลนแล้วสะบัดมือ แส้เก้าท่อนเส้นนั้นก็หดกลับมาทันที

หนิงชิวคร้านมองสักแวบ หันกายจากไป

ส่วนเฝยหลงเพิ่งได้สติ ได้ยินข้างหลังเหมือนมีเสียงของแตกหัก เขากุมลำคอหันไปดู ก็เห็นผนังนั่นแตกเป็นรูเบ้อเริ่มในพริบตา