กู้ชิงเก็บกระบี่บิน ลืมตาขึ้นมา มองเห็นผู้เป็นอาจารย์ยืนอยู่เบื้องหน้าตน จึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้ รีบลุกขึ้นยืนทำการคารวะ จากนั้นเขารับรู้ได้ว่าไอพลังของจิ๋งจิ่วมีความดุดันกว่าในเวลาปกติเล็กน้อย น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้มา จึงเกิดความรู้สึกระแวดระวัง เรียกกะบี่บินออกมาแล้วถามว่า “อาจารย์ เกิดเรื่องหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เรื่องของจัวหรูซุ่ย”
กู้ชิงงุนงง พลางถามอย่างไม่แน่ใจ “แก้ไขแล้วหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
กู้ชิงดีใจ
แม้นจะเป็นศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างเหมือนกัน แต่เรื่องที่เขาคิดมีมากกว่าหยวนฉวี่ เผลอๆ อาจจะมากกว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเสียด้วยซ้ำ
ยอดเขาเสินม่อไม่มีผู้อาวุโสที่มีสภาวะสูงส่ง ท่านไป๋กุ่ยก็ไม่สามารถอยู่ที่ยอดเขาไปตลอดได้ อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องอดทนผ่านความยากลำบากไปด้วยตัวเอง
การอดทนจำเป็นต้องใช้เวลา และเวลาก็ได้แต่ต้องพึ่งพาบารมีที่เหลืออยู่ของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง เช่นนั้นยอดเขาเสินม่อก็มิอาจแพ้ได้
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับศิษย์สำนักเดียวกันหรือว่าผู้บำเพ็ญพรตสำนักอื่น แพ้ยิ่งน้อยยิ่งดี ถ้าเกิดแพ้ ก็ต้องรีบชนะกลับมาให้เร็วที่สุด
เหมือนอย่างอาจารย์
แต่แน่นอน ก็มีเพียงอาจารย์อีกเช่นเดียวกันที่ทำแบบนี้ได้
กู้ชิงคิดในใจ
จิ๋งจิ่วมองดูกระบี่บินของเขา กล่าวถามว่า “จะเปลี่ยนไหม?”
สภาวะขั้นคเนจรต้องเริ่มเลี้ยงผีกระบี่ ดังนั้นหากผู้ฝึกกระบี่อยากจะเปลี่ยนกระบี่ ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นคเนจร
กู้ชิงมองกระบี่ในมือ ครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวว่า “ไม่ดีกว่าขอรับ”
เขารู้ว่าในเมื่ออาจารย์พูดเช่นนั้น อย่างนั้นอาจารย์ก็ต้องหากระบี่ที่ดีมาให้ตนได้แน่นอน เผลอๆ อาจจะเป็นกระบี่ชั้นเซียนเหมือนอย่างกระบี่ทะเลคราม
ไม่เปลี่ยนกระบี่ เช่นนั้นภายหลังเขาก็ได้แต่ต้องใช้กระบี่ธรรมดาเล่มนี้ไปตลอด
แต่เขาก็ยังปฏิเสธ
เขามีความผูกพันกับกระบี่บินเล่มนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นอีก
“หลักการกระบี่แข็งแกร่งตามคน ศิษย์มิกล้าลืมแม้เพียงครู่เดียวขอรับ”
กู้ชิงมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง “อาจารย์ใช้กระบี่อัปลักษณ์ที่ธรรมดาเล่มนี้ยังสามารถเอาชนะศิษย์พี่จัวได้ ข้าเองก็ทำได้เช่นกัน”
จิ๋งจิ่วพลันพบถึงปัญหาหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยไล่ตามสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้อย่างยุติธรรม พยายามสะกดพลังของกระบี่มิคำนึงเอาไว้ ถึงได้พ่ายแพ้ให้แก่จัวหรูซุ่ย
กู้ชิงไม่ยอมเปลี่ยนกระบี่
หยวนฉวี่มักจะถูกศิษย์น้องอวี้ซานด่าบ่อยๆ
วานรเหล่านั้นเมื่อก่อนก็เคยถูกวานรที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยรังแกบ่อยๆ
บนยอดเขาเสินม่อมีแต่พวกซื่อบื้อ รวมไปถึงหลิ่วสือซุ่ยที่วัดกั่วเฉิงในตอนนี้ด้วย
ไม่รู้ว่าพวกเขาเลียนแบบใครมา
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เดินออกมาด้านนอกเรือน หยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา
ภาพจากไข่มุกคืนสวรรค์ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน เพียงแต่ดูจางกว่าในตอนกลางวัน ตอนนี้กำลังฉายภาพดวงดาว ทับซ้อนกับดวงดาวของจริง ยากจะแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นของจริงอันไหนของปลอม มีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตา
ในค่ำคืนที่งดงามเช่นนี้ จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเอายันต์เซียนวัฒนะมาให้ได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องแย่งชิงกับผู้แสวงมรรคาเหล่านั้น และอาจจะต้องสู้กัน ไม่แน่อาจจะต้องใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกออกมา
คืนนี้เขาใช้ชิงซานมาเป็นพยานว่าวิชาที่ตนเองใช้คือร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด ก็เพราะไม่อยากให้สำนักจงโจวพบเห็นถึงปัญหา
แต่เหตุใดภายในใจกลับยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง?
เขาหลับตา นิ้วมือเคาะไปเบาๆ บนที่พักแขนของเก้าอี้ไม้ไผ่ เริ่มทำการคิดคำนวณ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาลืมตาขึ้น มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถคำนวณได้ว่าความรู้สึกนั้นมาจากไหน
……
……
หลังจากนั้นสิบวัน งานเลี้ยงก่อตั้งสำนักสามหมื่นปีของสำนักจงโจวก็ดำเนินมาถึงช่วงท้าย
การสาธยายธรรมของนักพรตแต่ละท่านได้จบสิ้นลงแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ และผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักเหล่านั้นไม่มีใครจากไปแม้แต่คนเดียว เพราะส่วนที่สำคัญที่สุดของงานกำลังจะเริ่มขึ้น
วันนี้คือวันที่จะแสวงมรรคา
ว่ากันว่ายันต์เซียนวัฒนะเป็นยันต์เซียนที่เซียนไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้ในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียน ถึงแม้จะเป็นแค่ยันระดับสอง แต่ยังคงเป็นของล้ำค่าในโลกมนุษย์
ใครจะได้ยันต์เซียนวัฒนะไปครอบครอง? นี่คือเรื่องที่ทั่วทั้งเขาอวิ๋นเมิ่งไปจนถึงทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้
ยอดฝีมือหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงมาเป็นเวลานานเหล่านั้นย่อมต้องเป็นที่จับตามอง อย่างเช่นจัวหรูซุ่ย
เก็บตัวมายี่สิบปี พอออกมาจากการเก็บตัวก็เอาชนะเจ้าล่าเยวี่ยได้ ทำให้ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความรู้สึกลึกลับและความเป็นตำนาน
จัวหรูซุ่ยยืนอยู่ในกลุ่มคน หนังตาตกลงมา ท่าทางดูเซื่องซึม
เรื่องที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่วเมื่อหลายวันก่อนได้แพร่กระจายไปทั่ว ผู้บำเพ็ญพรตหลายคนที่ไม่รู้จักเขานึกว่าเขาเซื่องซึมเพราะว่าเสียใจที่พ่ายแพ้
สีหน้าของคนอื่นๆ อย่างฟางจิ่งเทียนและไป๋หรูจิ้งดูค่อนข้างตึงเครียด เรียกได้ว่าดูแย่
มิใช่เป็นเพราะว่าจัวหรูซุ่ยพ่ายแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วไม่อยู่ที่นี่
บนแท่นหินที่อยู่ไกลออกไปมีศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสิบกว่าคนยืนอยู่ ชายกระโปรงพริ้วไหวแผ่วเบา มีที่นั่งอยู่เพียงที่เดียว จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนนั้น
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่เขา เสียงถกเถียงพูดคุยจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาเพราะเขา
เขาคือคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วก็เป็นผู้เข้าร่วมการประลองที่ถูกมองว่ามีสิทธิ์จะคว้าชัยชนะมากที่สุดในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้
อายุเพียงเท่านี้ก็บรรลุเข้าสู่สภาวะคเนจรระดับกลาง ย่อมต้องเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุด
อัจฉริยะเช่นนี้ โลกบำเพ็ญพรตไม่เคยมีมาก่อน เชื่อว่าหลังจากนี้ก็ยากจะพบได้
เจ้าสำนักชิงซานไม่ได้ปรากฏตัว ได้ยินว่าเขาและยอดคนอย่างผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย เจ้าสำนักคุนหลุน กำลังสนทนาธรรมอยู่กับนักพรตถาน
เห็นได้ชัดเจนว่านักพรตหลิ่วไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจของจิ๋งจิ่ว การที่ไป๋หรูจิ้งเคยบอกว่าจะไล่จิ๋งจิ่วออกจากสำนักจึงยิ่งกลายเป็นเรื่องตลกที่น่าขัน
ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่มีใครคิดถึงว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นตัวแทนสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยลงประลองจริงๆ หากเขาได้ยันต์เซียนวัฒนะมาจริงๆ เช่นนั้นยันต์จะเป็นของสำนักไหน?
……
……
เสียงเสียงหนึ่งดังสะท้อนอยู่ด้านนอกหุบเขา ดังเข้าไปในหูของผู้บำเพ็ญพรตทุกคน ชัดเจนจนคล้ายว่ามีตัวหนังสือปรากฏขึ้นตรงหน้า
ผู้ดำเนินงานชมรมแสวงมรรคาคือผู้อาวุโสของสำนักจงโจวเยวี่ยเชียนเหมิน สภาวะขั้นสูญตาสุดลึกล้ำมิอาจประมาณ หากอยู่ในโลกมนุษย์นั้นเรียกได้ว่าเป็นเซียนอย่างแท้จริง
หมู่วิหคจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากรอบๆ เขาอวิ๋นเมิ่ง ตอบสนองต่อพลัง บินวนอยู่เหนือผาหินที่อยู่ด้านนอกหุบเขา จับกลุ่มกลายเป็นเส้น สุดท้ายกลายเป็นชื่อชื่อหนึ่ง
เสียงของเยวี่ยเชียนเหมินดังขึ้น หมู่วิหคกระพือปีกโผบิน กลายเป็นชื่อใหม่อีกชื่อหนึ่งบนหน้าผา
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตส่งเสียงอุทานตกใจ ในใจครุ่นคิดว่ามิเสียทีที่เขาอวิ๋นเมิ่งเป็นสำนักพลังจักรวาล เป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ วิธีการช่างลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งนัก
หนานว่างไม่ค่อยสบอารมณ์ กล่าวว่า “นี่จะมาเล่นกลหรือไง?”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่นางรู้ดีว่าเมื่อเทียบกับเขาอวิ๋นเมิ่งแล้ว ชิงซานนั้นดูน่าเบื่อหน่ายกว่าจริงๆ
ไม่อย่างนั้นเหตุใดยอดเขาชิงหรงถึงต้องขอให้เปิดข่ายพลังในตอนที่ฝนฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้าน ลมฤดูใบไม้ผลิและหิมะฤดูหนาวด้วย?
……
……
“จิ๋งจิ่ว”
ในที่สุดเยวี่ยเชียนเหมินก็พูดชื่อนี้ออกมา
กลุ่มคนฮือฮาเล็กน้อย สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปทางศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นเดินไปทางด้านหน้าหุบเขา
หมู่นกที่อยู่เหนือหน้าผาคิดไม่ถึงว่าจำนวนขีดของชื่อนี้จะน้อยเพียงนี้ ขณะที่กำลังเร่งรีบจึงไม่รู้ว่าควรจะจับกลุ่มอย่างไร
สุดท้ายนกหลายตัวก็ไม่สามารถเบียดเข้ามาได้ จึงได้แต่ต้องบินอยู่ด้านนอก ดูค่อนข้างวุ่นวาย
เดิมเขารู้สึกพึงพอใจชื่อนี้ของตัวเองอย่างมาก ตอนนี้ยิ่งรู้สึกพอใจมากกว่าเดิม
ในเวลานี้หมู่นกที่อยู่เหนือผาหินเปลี่ยนรูปขบวนอีกครั้ง จับกลุ่มเป็นตัวหนังสือสามตัว
“ไป๋”
“เชียน”
“จวิน”
นี่คือชื่อชื่อหนึ่ง
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าด้านหลังมีไอพลังที่รุนแรง กระหายเลือดและเหม็นเน่าสายหนึ่งแผ่มา
ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของชื่อคนนั้น
…………………………………………………………..