ภาคที่ 4 ตอนที่ 109 ถกธรรมกับผู้คน (1)

มรรคาสู่สวรรค์

มีคนแซงหน้าจิ๋งจิ่วไป เดินตรงไปข้างหน้า

โครงร่างของคนผู้นั้นดูแข็งกร้าว คล้ายมีดคล้ายขวาน ให้ความรู้สึกมั่นคงมิอาจสั่นคลอนได้ ราวหล่อหลอมขึ้นมาจากเหล็กกล้า ดูน่ายำเกรง

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาคือไป๋เชียนจวิน

เขาคือหลานห่างๆ ของนักพรตไป๋ บำเพ็ญเพียรอยู่ภายในหุบเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่งในเขาอวิ๋นเมิ่ง

ก็เหมือนกับจัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวงมาโดยตลอด เขาถูกสำนักฝากความหวังเอาไว้

เพียงแต่จัวหรูซุ่ยเก็บตัวยี่สิบปี ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนทราบดี แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา นี่จึงยิ่งทำให้เขาดูลึกลับ

วันนี้ดูแล้วไป๋เชียนจวินท่าทีแข็งแกร่ง คล้ายจะเหนือกว่าลั่วไหวหนานเมื่อในอดีตเสียด้วยซ้ำ น่าจะอยู่ในขั้นจิตก่อรูปแล้ว

หลังจากนั้นชื่อที่เหลืออีกสามสี่ชื่ออย่างเซี่ยงหว่านซู ถงเหยียนและไป๋เจ่าก็ทยอยปรากฏขึ้นด้านบนหน้าผาโดยหมู่วิหคที่ก่อตัวกัน

ลูกศิษย์สำนักจงโจวที่เดินไปถึงด้านหน้าหุบเขา เมื่อรวมกับไป๋เชียนจวินก่อนหน้านี้แล้วมีอยู่ทั้งหมด 7 คน

เมื่อเห็นภาพแบบนี้ จึงยากที่จะไม่ให้เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาได้ ทว่าที่นี่คือเขาอวิ๋นเมิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยันต์เซียนก็เป็นของสำนักจงโจว ทุกคนจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก อีกอย่างต่อให้สำนักจงโจวไม่กำหนดจำนวนคนที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคา สำนักอื่นก็ไม่สามารถส่งศิษย์อัจฉริยะออกมาได้มากมายเช่นนี้อยู่ดี

แน่นอน คำพูดประโยคนี้ไม่ได้รวมไปถึงสำนักชิงซาน

ศิษย์ชิงซานอย่างกั้วหนานซาน กู้หาน เจี่ยนหรูอวิ๋นยืนอยู่ที่เดิม จัวหรูซุ่ยเดินเข้าไปทางด้านหน้าหุบเขา

เขาหนังตาตก สองมือกอดอก ดูคล้ายยังหลับไม่เต็มอิ่ม ร่างกายแผ่กระจายความเย็นชาออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนมิอาจเข้าใกล้ได้

ตัวแทนของวัดกั่วเฉิงเป็นสมณะหนุ่มผู้หนึ่งที่มีฉายาทางธรรมว่าเฉ่าเซ่อ เนื่องเพราะผมกับหนวดเคราถูกโกนออกไปจนเกลี้ยง จึงมีแค่ไม่กี่คนที่จำได้ว่าเขาคือเหอจาน

สภาวะของเซ่อเซ่อไม่สูงพอ สำนักต้าเจ๋อไม่มีคนเข้าร่วม สำนักกระบี่ซีไห่เองก็ไม่มีใครมา นี่กลับยิ่งทำให้สำนักดูน่าขายหน้า

ผู้แสวงมรรคาที่สำนักคุนหลุนเลือกออกมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่โบกพัดไปมา แต่งตัวเป็นบัณฑิต ดูจากกิริยาท่าทางแล้วไม่มีความน่าสนใจ แต่กลับทำเหมือนตัวเองน่าสนใจ

ผู้แสวงมรรคาของเรือนอี้เหมาคือบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ในมือไม่มีพัด หากแต่มีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง

เมื่อมองดูบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ หลายๆ คนจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเขาก็คือซีอี้อวิ๋น หนึ่งในผู้ที่มีสิทธิ์ชนะในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้

เขาเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งเรือนอี้เหมาปู้ชิวเซียว ร่ำเรียนมายี่สิบปี ว่ากันว่าได้รับการยอมรับจากของวิเศษประจำเรือนอี้เหมาชิ้นหนึ่ง หรือว่าจะเป็นม้วนหนังสือที่อยู่ในมือเขา?

เชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจงเป็นผู้ชนะในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้ว จึงได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมได้เลย

แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้หนึ่งที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานเนื่องจากเป็นผู้ชนะในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย

แม้นจะไม่มีรากฐานของสำนักและการชี้แนะจากผู้เป็นอาจารย์ แต่ก็ยังสามารถอาศัยสถานะผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักคว้าชัยชนะในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมาได้ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นเดินไปยังด้านหน้าหุบเขา มองดูเหอจาน ก่อนจะอดยิ้มพลางส่ายศีรษะขึ้นมาไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนรู้จักกัน เรียกได้ว่าค่อนข้างคุ้นเคยกัน

เหอจานมีเพื่อนฝูงมากมาย แล้วก็ยังเดินทางท่องไปบนโลกด้วยสถานะผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก นี่จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไร

คนที่เข้าร่วมงานเป็นคนสุดท้ายคือศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้หนึ่ง เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นยังอายุน้อย ร่างกายผอมดำ ให้ความรู้สึกไร้เดียงสาไม่เคยผ่านโลก

ท่านเผยพ่ายแพ้ภายใต้กระบี่ของเทพกระบี่ซีไห่อีกครั้ง จากนั้นลาโลกไปอย่างกะทันหัน อู๋เอินเหมินควรจะปิดสำนักตามคำสั่งเสียของเขามิใช่หรือ?

เหตุใดครั้งนี้สำนักอู๋เอินเหมินยังมีศิษย์เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงหลายคน อีกทั้งยังเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาด้วย?

……

……

ศิษย์หนุ่มสาวจำนวนสี่สิบกว่าคนยืนอยู่หน้าหุบเขาหุยอิน

นอกจากศิษย์ของสำนักชิงซานอย่างพวกกั้วหนานซานแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวล้วนแต่มายืนอยู่ที่นี่แล้ว

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่มองมาที่ตัวผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านี้ อย่างนั้นสายตาของพวกเขากำลังมองไปที่ใด?

ด้านหน้ามีชายหญิงสวมชุดสีขาวคู่หนึ่ง

ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านี้รู้ว่าผู้ชนะในท้ายที่สุดของงานชุมนุมแสวงมรรคาน่าจะอยู่ในสองคนนี้

สภาวะของจิ๋งจิ่วแข็งแกร่งที่สุด

แต่เมื่ออยู่ในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง มิใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้ชนะเสมอไป

สำนักจงโจวมีผู้เข้าร่วมประลองเจ็ดคน ศิษย์สำนักจงโจวซึ่งรวมไปถึงถงเหยียนและไป๋เชียนจวินจะต้องสนับสนุนไป๋เจ่าอย่างแน่นอน

ไป๋เจ่ารับรู้ได้ถึงสายตาเหล่านั้น รู้ว่าคนส่วนใหญ่ต่างกำลังมองไปที่จิ๋งจิ่ว

นางรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางจิ๋งจิ่วอย่างเป็นกังวล

การทดสอบช่วงแรกของงานชุมนุมแสวงมรรคาเหล่านั้นถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา แต่หลังจากเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันแล้ว นั่นกลับค่อนข้างยุ่งยาก

สำหรับตัวนางแล้ว มิใช่ว่าจิ๋งจิ่วเรียนรู้ลูกไม้สกปรกจำพวกข้าหลอกเจ้าเจ้าหลอกข้าเหล่านั้นไม่ได้ เพียงแต่กังวลว่าเขาจะไม่ยอมทำเช่นนั้นต่างหาก

แต่อย่างไรเสีย สุดท้ายนางก็ไม่สามารถมอบยันต์เซียนแผ่นนั้นให้แก่เขาได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ นางมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำให้มันยังอยู่ในเขาอวิ๋นเมิ่ง

นางมองจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “หลังเข้าไปแล้ว ข้าจะไม่รู้จักท่านแล้วนะ”

คำพูดประโยคนี้มีความหมายอยู่สองสามชั้น ลึกซึ้งเป็นยิ่งนัก

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากได้เจอกัน ข้าจะจำเจ้าได้”

ไป๋เจ่า ยิ้มอ่อนหวาน ในใจครุ่นคิด ไหนใครบอกว่าเจ้าพูดจาแข็งทื่อ?

……

……

ในส่วนลึกของหุบเขาหุยอินมีหออยู่แห่งหนึ่ง ลักษณะดูคล้ายตำหนัก พื้นที่ภายในกว้างขวางพอที่จะบรรจุคนได้พันคน

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตห้าสิบคนยืนอยู่ด้านใน ไม่ได้รู้สึกเบียดเสียดเลยแม้แต่น้อย

ภายในหอมีเก้าอี้จำนวนมากวางกระจัดกระจาย บนโต๊ะมีน้ำชาชนิดต่างๆ และผลไม้เซียนแปลกประหลาดวางอยู่ ไม่มีผู้ดูแลมาคอยรับใช้ ต่างคนต่างหยิบด้วยตนเอง

ผู้บำเพ็ญพรตบางคน บ้างก็มีความสุขุมอย่างแท้จริง บ้างก็เพื่อปกปิดความตื่นเต้นของตัวเอง พวกเขาเดินไปด้านหน้าโต๊ะแล้วเริ่มดื่มชา พลางพูดคุยเสียงเบาๆ

มีหลายคนที่ตื่นเต้นจริงๆ ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร

จิ๋งจิ่วเตรียมจะหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา ทันใดนั้นพลันคิดถึงคำเตือนของเจ้าล่าเยวี่ยตอนที่ประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นมา จึงหยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงไปตรงมุมหนึ่งแทน

จัวหรูซุ่ยเองก็ขยับเหมือนกัน เขาเดินตามจิ๋งจิ่วไปตรงมุมนั้น ยืนพิงประตูเอาไว้

หนังตาเขายังคงตก แต่กลับมิใช่นอนสัปหงก หากแต่คอยมองดูจิ๋งจิ่วเป็นระยะ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อถูกมองเช่นนี้อยู่หลายครั้งก็คงจะถามกลับไปแล้วว่ามีอะไรหรือเปล่า และจากนั้นก็จะมีบทสนทนาขึ้นมา

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับมิได้สนใจ เจ้าอยากมองก็ปล่อยเจ้ามอง หรือแสงแดดยามเช้าที่แปดเปื้อนไอน้ำบนภูเขาจะถูกมองเห็นน้อยลง?

เขาไม่มีการตอบสนอง แต่มีบางคนที่มีการตอบสนอง

ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินที่ตัวผอมดำผู้นั้นไม่รู้ว่ามาถึงมุมนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจ้องมองจัวหรูซุ่ยดวงตาไม่กระพริบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

คนอื่นสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวตรงนี้ เสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้น

ถงเหยียนมองดูพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่ได้สนใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน เพียงแต่สังเกตดูสีหน้าและท่าทางของคนเหล่านี้

เมื่อเทียบกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยแล้ว ผู้เข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาในครั้งนี้มีความแข็งแกร่งกว่ามาก เขาต้องเตรียมพร้อมเพื่อทำให้มั่นใจว่าศิษย์น้องจะสามารถคว้าเอาอย่างเซียนแผ่นนั้นมาได้

หลังจากที่เข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งแล้ว หากสามารถจดจำผู้เข้าร่วมการประลองคนอื่นได้เสียแต่เนิ่นๆ ย่อมต้องทำให้ตนเองมีความได้เปรียบ ในดินแดนแห่งความฝันนั้นไม่สามารถแยกแยะอีกฝ่ายจากใบหน้าและอาวุธวิเศษได้ ได้แต่ต้องดูจากนิสัยความเคยชินที่มักจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยากที่สุดเหล่านั้นของพวกเขา อย่างเช่น เวลายกถ้วยน้ำชาใช้นิ้วกี่นิ้ว ท่าทางขณะที่ยืนอยู่ ลักษณะของปอยผม…

เซี่ยงหว่านซูและศิษย์สำนักจงโจวที่เหลือไม่รู้ว่าศิษย์พี่ถงเหยียนกำลังทำอะไร ต่างฝ่ายต่างใช้สายตาทำการยืนยันเรื่องสัญญาณมือที่จะใช้ในการจดจำอีกฝ่ายเวลาที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันตามที่ได้พูดคุยตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน

ใบหน้าของไป๋เชียนจวินเย็นยะเยือก จ้องมองไปยังที่ที่หนึ่งในความว่างเปล่าที่อยู่ห่างไกลออกไป ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

“พึบพับ! พึบพับ!”

เสียงกระพือปีกของนกดังมาจากด้านนอกหอ

ทุกคนมองออกไป

เสียงนั้นดังแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามีนกอยู่มากน้อยเท่าไหร่

เสียงกระพือปีกของฝูงนกดังลอดเข้ามาด้านในหอราวกับสายลม ดังสนั่นแก้วหู

หมู่วิหคจำนวนนับไม่ถ้วนบินมาจากด้านนอกหุบเขา มืดฟ้ามัวดิน บดบังแสงอาทิตย์ ดูน่าตกตะลึง

ผู้บำเพ็ญพรตบางคนที่สภาวะจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เหลียวมองไปรอบด้านในทันที

ผู้เข้าร่วมการประลองจำนวนมากต่อให้รู้สึกสงสัย แต่เมื่อคิดถึงว่านี่อาจจะเป็นการทดสอบของงานชุมนุมแสวงมรรคา พวกเขาจึงไม่ขยับเขยื้อน

ไป๋เจ่าคิดในใจว่าพวกเจ้าเดาถูกแล้ว นี่ก็คือด่านที่หนึ่งในงานชุมนุมแสวงมรรคา ถึงแม้การทดสอบจะไม่ใช่นกเหล่านั้นก็ตาม

………………………………………………………………….