ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 250 บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองสือเถี่ยที่เงียบเชียบไม่เอื้อนเอ่ย ตนเองก็ตกเข้าสู่ห้วงความนิ่งเงียบ ทอดถอนใจไร้สุ้มเสียง

การสนทนาแลกเปลี่ยนของทั้งสอง ล้วนพูดคุยผ่านการส่งกระแสจิต คนรอบข้างยากล่วงรู้เนื้อหา

เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่เบื้องหลังเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่รับรู้สาเหตุสักนิด

อาจารย์ลุงใหญ่สือเถี่ยที่แต่ไหนแต่ไรมาประหนึ่งดังขุนเขา ราวกับสามารถยกผืนฟ้าขึ้นได้ บัดนี้หมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอย่างหาได้ยาก แม้แต่นางยังมองออกได้

ราวกับเขาสูงตระหง่าน ถูกอาทิตย์อัสดง ฉาบย้อมสีตะวันสายัณห์ไว้ชั้นหนึ่ง

หากแต่ไม่นานนัก นัยน์ตาทั้งสองของสือเถี่ยที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นอีกครั้ง

เขาลืมตาครั้งนี้ราวกับราชสีห์ในห้วงนิทราตื่นตัว ความหดหู่สิ้นหวังก่อนหน้าเลือนหายหมดสิ้นไม่พบ ที่ปรากฏเบื้องหน้าผู้คนยังคงเป็นราชสีห์โลหะที่ทรงอำนาจมากกำลังผู้นั้น

เฟิงอวิ๋นเซิงมองดูภาพฉากนี้ ถึงขนาดนึกว่าภาพที่ตนเห็นสักครู่ ล้วนเป็นความรู้สึกลวง

สายตาสือเถี่ยเพ่งมองดินแดนบรรพชนของตระกูลหวังที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยด้วยความสงบนิ่งว่า “อย่าให้มหาค่ายกลแดนมารตั้งขึ้น ทำลายมันเสีย”

“ข้าบุกจู่โจม พวกเจ้าล้อมกวาดจากทั้งสี่ด้านก็พอ เหลือคนเฝ้าไว้รอบนอก ยกระดับการระวังภัย เตรียมพร้อมเหตุกะทันหันทุกเมื่อ”

เสียงของเขาไม่ได้ดังชัดเท่าใดนัก และก็ไม่ได้ทอดเสียงออกไปไกล หากแต่กลับทำให้จอมยุทธ์กว่างเฉิงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ยินกระจ่างชัดกันถ้วนทั่ว ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจแน่วแน่จากน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำหนักแน่นเสียงนั่น

พวกเยี่ยนจ้าวเกอรับปากอื้ออึง ครั้นสือเถี่ยกล่าวจบ ก็เหินขึ้นจากยอดเขาอันแห้งแล้ง

ในร่างกายของเขามีแสงวาวโรจน์ฉายออกมาจากภายนอกสู่ภายนอก ทั่วทั้งร่างราวกับกลายเป็นเทพสวรรค์และปฐวีเทพที่หล่อหลอมจากเพชรองค์หนึ่ง

ชั่วขณะถัดมา สือเถี่ยสาวเท้า ส่องแสงสุกสกาวทั่วฟ้าดิน การขยับขยายของหมอกมารสีดำถูกสกัดกั้นฉับพลัน

ผู้คนมาถึงยังกลางอากาศเหนือดินแดนบรรพชนตระกูลหวังโดยตรงแล้ว ตามการสืบเท้า ลงเหยียบพื้นดินก้าวหนึ่งนี้ของสือเถี่ย

ด้วยการกดอัดจากพลังที่ควบแน่นแข็งแกร่งทรงพลังถึงที่สุด บนพื้นดินบรรพชนตระกูลหวังพลันมีลวดลายค่ายกลส่องสว่างขึ้นมา ก่อตัวเป็นค่ายกลแนวรับมโหฬารค่ายหนึ่งกลางอากาศ พยายามจะต้านทานพลังกดอัดที่สือเถี่ยนำพามา

ทว่าครั้นปะทะกับสือเถี่ยผู้กล้าแกร่ง ก็แทบจะไม่มีความเฉื่อยชาแม้แต่น้อย มหาค่ายกลเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเครื่องลายคราม ส่งเสียงดังโครมคราม!

ร่างของสือเถี่ยไม่ได้ว่องไว เขาลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง ราวกับไม่มีอะไรสามารถขัดขวางฝีเท้าของเขาได้

อย่างน้อยที่สุด มหาค่ายกลดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง ก็ต้านทานไว้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใด รังเก่าผ่านการวางแผนจัดการอย่างตั้งใจ สั่งสมจัดแต่งรุ่นต่อรุ่น ล้วนมีพลังอันแก่กล้ายิ่งเพียบพร้อม กลายเป็นข้อได้เปรียบของตน

ยอดฝีมือตระกูลหวังอาศัยมหาค่ายกลดินแดนบรรพชนที่วางแผนและจัดการมานานหลายปี ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายของสำนักเขากว่างเฉิงมาเยือน ก็สามารถขัดขวางไว้ได้ครู่หนึ่งเช่นกัน

ถึงแม้ว่าจะยังคงถูกโจมตีแตกพ่าย ทว่าจะไม่ถึงขั้นไม่มีพลังตอบโต้โดยสิ้นเชิงเป็นแน่

แต่น่าเสียดาย มหาค่ายกลที่สามารถก่อเกิดการกีดขวางแก่ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายซึ่งอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่เจ็ด ขั้นรูปญาณระยะต้น กลับไม่ต่างอะไรกับกระดาษที่แค่แตะก็ขาด เมื่ออยู่เบื้องหน้าสือเถี่ยที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย

ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางหมอกดำอันเชี่ยวกราก มีเสียงอำมหิตเสียงหนึ่งดังออกมา “ราชสีห์โลหะ!”

ค่ายกลวิญญาณที่สาดแสงสีดำพร่างพราวนับไม่ถ้วน ยามนี้พุ่งทะยานขึ้นมาจากดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง แล้วจึงประกอบขึ้นเป็นค่ายกลยันต์แต่ละค่ายตรงใจกลางอย่างฉับไว อีกทั้งเผยพลังปราณน่าพรั่นพรึงออกมา

ค่ายกลวิญญาณค่ายหนึ่งซ้อนด้วยอีกค่ายหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวกอปรขึ้นกลายเจดีย์สูงองค์หนึ่ง รูปร่างคล้ายกับแท่นบวงสวงอย่างไรอย่างนั้น

ภายในแท่นประกอบพิธี ปรากฏเงาร่างหนึ่งวับวาบ มือถือหอกยาวสีดำเล่มหนึ่ง ก่อนจะแทงหอกนั่นไปทางสือเถี่ย!

ปรากฏว่าเป็นยอดฝีมือสุดยอดมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายคนหนึ่ง ซึ่งได้หล่อรูปญาณเป็นหอบวงสรวงเทวะแล้ว!

ดวงหน้าสือเถี่ยเรียบเฉย ประหนึ่งหินผาแข็งแกร่งนิรันดร์ไม่มีเปลี่ยน “ราชันมังกรคะนองน้ำ ซือหม่าฉุย เจ้าอุทิศตนให้นพยมโลกแล้วเช่นกันรึ?”

อีกฝ่ายแทงหอกยาวสีดำในมือออก ราวกับมังกรน้ำเหินฟ้า ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ชั่วขณะนั้นแสงสีดำเปล่งประกายพร่างพราว ประหนึ่งขีดกรีดปากแผลสีดำสายหนึ่งออกมา บนโลกหล้า

สีหน้าท่าทางสือเถี่ยไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย รอบกายตนเองก็ถูกแท่นพิธีที่โปร่งใสดุจสีเคลือบ เผยเห็นแววแข็งแกร่งไม่อาจตีแตกได้แท่นหนึ่งคลุมครอบไว้เช่นกัน

ทว่าก็เขายังทุบกำปั้นหนึ่งลงอย่างดุดันโหดร้าย สั่นคลอนปลายหอกของอีกฝ่ายทันใด!

ทั้งสองฝ่ายชนกระแทกประสานงาอย่างดุเดือด กลุ่มคนเยี่ยนจ้าวเกอมุงชมอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้ ต่างก็รู้สึกว่าโลกหล้าที่ตนยืนอยู่สั่นไหวไปพักหนึ่ง

เฟิงอวิ๋นเซิงมองจนนัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ “ข้าเคยได้ยินชื่อของซือหม่าฉุย ‘ราชันมังกรคะนองน้ำ’ สุดยอดยอดฝีมืออันน้อยนิดท่ามกลางจอมยุทธ์สันโดษ พลังพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย และก็เป็นคนไม่กี่คนที่มีอาวุธวิญญาณระดับสูงอันหาได้ยาก ท่ามกลางบรรดาจอมยุทธ์สันโดษขั้นรูปญาณเช่นกัน”

“หอกยาวสีดำเล่มนั้น คืออาวุธวิญญาณระดับสูงของเขา? นึกไม่ถึงเลยว่ามหาปรมาจารย์จะหลับหูหลับตาต่อกรกับการรุกโจมตีของยอดฝีมือระดับเดียวกัน ซึ่งขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับสูงด้วยมือเปล่า!”

ระดับขั้นยิ่งสูง ไม่เพียงสถานการณ์ที่ศัตรูระดับข้ามชั้นจะยิ่งน้อย ความต่างชั้นพลังความสามารถของจอมยุทธ์ระดับขั้นเดียวกันก็มักจะยิ่งน้อยเช่นกัน

ผู้ที่สามารถเดินไปถึงระดับขั้นสูงล้ำ จะมีสักกี่กลุ่มที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขั้นพื้นๆ?

การต่อสู้ในระดับเดียวกันระหว่างยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ระดับขั้นรูปญาณ เสริมเข้าไปด้วยอาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นหนึ่ง โดยส่วนมากเพียงพอให้ตัดสินแพ้ชนะ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “หาไม่แล้วจะเรียกราชสีห์โลหะได้อย่างไร? ผสมผสานรุกโจมตีและตั้งรับเป็นหนึ่ง”

สือเถี่ยจดจ้องอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น ช่วงเอวและเข็มขัดส่องแสงสว่างโรจน์ขึ้น เกราะเทวะแสงลึกล้ำ อาวุธวิญญาณระดับสูงของเขาถูกขับเคลื่อน ชั่วเสี้ยวขณะแสงดำหลากสายกลายสภาพเป็นเสื้อเกราะ ครอบไปบนร่างของเขา

พลังของอาวุธวิญญาณ รวมเป็นหนึ่งกับจิตใจแน่วแน่และวรยุทธ์ของสือเถี่ย ทำให้พลังของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลันทันใด ครั้นทุบหมัดหนึ่งลงไป ก็กดอัดจนซือหม่าฉุย ‘ราชันมังกร’ ต้องถอยพรวด

หลังจากหมัดหนึ่งของสือเถี่ย เขาก็ไม่ได้รีบร้อนไล่ตามศัตรู หากแต่ย่ำเท้าหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น การป้องกันของดินแดนบรรพชนตระกูลหวังพังทลายลงโดยสิ้นเชิง!

ใบหน้าซือหม่าฉุยเหี้ยมอำมหิต พลังหอกแปรเปลี่ยน กลายสภาพเป็นแสงดำมากมายเวียนว่อนอยู่ในโลกหล้า ไม่หลับหูหลับตาโจมตีสือเถี่ยต่อไปอีก ทว่าใช้วิธีเคลื่อนที่โจมตีแทน

ถึงแม้ว่าซือหม่าฉุยจะไม่อาจต้านทานสือเถี่ย ทว่าในที่สุดก็ไม่ให้สือเถี่ยเข้าใกล้เบื้องล่างดินแดนบรรพชนตระกูลหวังมาได้อีก

ฉับพลันนั้นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ดินแดนบรรพชนตระกูลหวังตั้งอยู่ ถูกหมอกดำปกคลุมอีกครั้ง ในหมอกดำส่องสว่างสายฟ้าสีแดงหลากสายขึ้น

ส่วนลึกในหมอกดำ มีลวดลายค่ายกลมหึมาค่ายหนึ่งปรากฏวาบวับ

เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันน่าประหวั่นพรั่นพรึ่ง ในตอนที่อยู่ ณ ทะเลสาบปิดนภาตอนนั้น ในขณะที่ประตูนพยมโลกตระเตรียมมาถึง ก็มีพลังปราณเช่นเดียวดันนี้ส่งกระจายออกมาทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญผวา

“พวกเราไป” ขณะเยี่ยนจ้าวเกอกล่าว ร่างกายของเขาประดุจสายฟ้า พุ่งถลันนำหน้าไปยังดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิงกับพ่านพ่านตามติดอยู่หลังกายเขา

มีจอมยุทธ์กว่างเฉิงปรากฏกายจากทั่วทุกทิศ ต่างก็มียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์นำทัพ ล้อมดินแดนบรรพชนตระกูลหวังไว้พร้อมกัน

ชายหนุ่มกางปีกเซียนกระเรียน ความเร็วฉับไว ไม่นานนักก็มาถึงรอบนอกดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง

มหากลค่ายกลป้องกันของดินแดนบรรพชนตระกูลหวังถูกสือเถี่ยทำลายลงแล้ว ผู้คนด้านในประจันหน้าจอมยุทธ์กว่างเฉิง ทำได้เพียงกรูกันมาตะลุมบอนสกัดกั้น

หลังจากกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้ แสงสว่างในหมอกดำนับไม่ถ้วนมืดครึ้มฉับพลัน ราวกับห่าฝนตั้งเค้ามาอย่างไรอย่างนั้น

ฝูงชนต่างสำแดงฝีมือแต่ละคน เข้าต้านทาน

ฝีเท้าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดทั้งสิ้น ครั้นปีกทั้งสองข้างกางออก ส่วนปลายปีกพลันเล็งยังเบื้องหน้า ขนนกกระเรียนแต่ละเส้นประหนึ่งแสงฝนเทกระหน่ำก็ไม่ปาน

ขนนกแสงสีทองอ่อนและแสงมืดสลัวเกิดการปะทะกันอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา

จนนกแสงมากมายแตกละเอียดกลายสภาพเป็นธารแสงสลายไป ส่วนคันศรเหล็กแสงสลัวมากมายบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป ร่วงหล่นปรอยๆ ลงบนพื้น ราวกับฝนตกอย่างไรอย่างนั้น

มีปลาติดหลังแหอยู่น้อยนิด เสื้อเกราะภูผาวิญญาณเปล่งแสงขึ้น ต้านทานโดยพลัน

เยี่ยนจ้าวเกอก้าวยาวๆ รุดหน้ามาถึงยังรอบนอกอาคารสูงใหญ่ของดินแดนบรรพชนตระกูลหวังโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ก่อนจะถีบเท้าหนึ่งออกไป กำแพงล้อมอาคารถล่มโครมลงมาเกิดเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่ง!

———————————–