อวิ๋นนั่ว บุรุษผู้ที่อยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซีในเวลานี้นั้นรู้วิธีการสะกดจิต เขารู้ว่านางเป็นนักปรุงยาระดับกลาง แต่ก็ยังมีความกล้าที่จะสะกดจิตนาง นั่นหมายความว่าเขามั่นใจในพลังจิตของเขามากพอตัว
อย่างไรเสียแม่นางมู่เฉียนซีผู้นี้ก็คงจะต้องติดกับดักของเขาอย่างแน่นอน
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาใช้วิธีที่ผิดไป มู่เฉียนซีนางมิได้เป็นเพียงนักปรุงยาระดับกลางธรรมดาทั่วไปเท่านั้น การสะกดจิตเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะควบคุมนางนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่นางต้องทำคือแกล้งทำเป็นถูกสะกดจิตก็เท่านั้น
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววแห่งความสับสนขึ้นมา อวิ๋นนั่วรู้ได้ทันทีว่ามู่เฉียนซีนั้นติดกับแล้ว
ใบหน้าของอวิ๋นอี๋แสดงออกถึงความเหยียดหยาม นางคิดร้ายอยู่ในใจลึก ๆ ‘ใครใช้ให้เจ้าไม่สนใจข้ากันเล่า รอหลังจากที่เจ้ากลายเป็นของเล่นของพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แล้วจะถึงทีของข้าบ้าง!’
หลังจากที่อวิ๋นอี๋สนทนากับมู่เฉียนซีจบเป็นฉาก ๆ ก็ได้ผละจากไป
แน่นอนว่าละครที่น่าสนุกนั้นยังไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนนี้
…
ยามดึก แม้แต่ดวงจันทร์ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆเทาครึ้ม คุณชายอวิ๋นนั่วเดินไปยังจวนที่มู่เฉียนซีพักอยู่อย่างมั่นใจเต็มที่ เมื่อเขาก้าวเข้าไป ก็ได้สบเข้ากับดวงตาที่งดงามราวกับดวงดารายามราตรีของมู่เฉียนซี เขามองลึกเข้าไปในดวงตานาง จากนั้นบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา
“เจ้า…!”
ด้วยแววตาที่คมชัดเช่นนี้ เขาแน่ใจเป็นอย่างมากว่านางไม่ได้ถูกสะกดจิตเลย แล้ว… แล้วเมื่อยามตะวันยังไม่ตกดิน เหตุใดแววตานางจึงดูสับสนเช่นนั้น
เมื่อมู่เฉียนซีสะบัดมือ เข็มยาเข็มหนึ่งก็พุ่งมาที่คอของเขา “คุณชายใหญ่อวิ๋น ดึก ๆ ดื่น ๆ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ ?”
เวลานี้คุณชายใหญ่อวิ๋นสะดุ้งตกใจ เขากล่าวตะกุกตะกัก “เจ้า… เจ้า…”
ดวงตาคู่นั้นฉายแววอันประหลาดพิสดารออกมา
ความแข็งแกร่งของเขาไม่มีจุดใดสู้มู่เฉียนซีได้เลย เขาเป็นเพียงปรมาจารย์ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่าเขาได้เรียนวิชาลับนี้ ซึ่งเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก
— ฟื๊ด! —
หัวเข็มของเข็มยานั้นกรีดผิวหนังของเขาเปิดออก! “การสะกดจิตของเจ้าไม่ได้ผลอะไรกับข้า เลิกคิดเสียเถอะเพราะมันดูโง่งมอย่างมาก!”
เขามองมู่เฉียนซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มัน… เป็นไปไม่ได้ ขอแค่เพียงไม่ใช่ผู้ที่เป็นระดับจักรพรรดิ ข้าสามารถควบคุมได้ทั้งหมด”
“เลิกพล่ามได้แล้ว! หากไม่อยากตาย จงบอกข้ามาว่าเจ้าและน้องสาวที่แสนดีของเจ้าวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ?”
ภายใต้การคุกคามของความตาย อวิ๋นนั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกนางไป ก่อนอื่น เขาใช้การสะกดจิตเพื่อสะกดจิตนางเป็นอันดับแรก จากนั้นเขาก็ทำสิ่งที่ตนเองต้องการ และในที่สุดก็จะทำให้นางกลายเป็นหุ่นเชิด ในตอนนี้เอง เงาร่างสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าอวิ๋นนั่ว อวิ๋นนั่วมองไปที่ดวงตาเยือกเย็นไร้ซึ่งความรู้สึกของมนุษย์คู่นั้น จากนั้นอวิ๋นนั่วตกใจกลัวจนสลบร่วงลงไปกองกับพื้น
— ตุบ! —
อวิ๋นนั่วถูกทำให้ตกใจกลัวจนสลบล้มไป มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างจนปัญญา “ยังจะคิดอีกว่าตนเองนั้นได้เรียนวิชาการสะกดจิตขั้นสูงมา ช่างจิตอ่อนเสียจริง”
จิ่วเยี่ยกำลังจะลงมือทำให้ชายผู้นี้หายไป เขาผู้นี้กล้าดีอย่างไรจึงมาคิดร้ายต่อสตรีที่เขาหมายมั่นว่าจะปกป้อง เขานั้นแทบอยากจะทำลายคนผู้นั้นให้สิ้นซาก มู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย คนผู้นี้หากฆ่าให้ตายไปก็คงจะง่ายเกินไป ในเมื่อสำนักอวิ๋นเยียนคิดที่จะทำกับข้าเฉกเช่นเป็นหุ่นเชิด พวกนั้นจะต้องชดใช้ พวกนั้นคิดที่จะเอาข้าเป็นสะพานไปหาผู้อาวุโสที่เจ็ด ทำกันด้วยตนเองไม่ดีกว่าหรือไร ?”
“เสี่ยวหง ไปนำตัวอวิ๋นอี๋มา”
“ส่วนอู๋ตี้ เจ้าไปหาตาเฒ่าผู้นั้น ไปเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้าน”
“ขอรับนายท่าน”
เมื่อจะได้ทำเรื่องเลว ๆ อู๋ตี้และเสี่ยวหงนั้นก็ตื่นเต้นมากขึ้นมา …พริบตาเดียวทั้งสองก็ได้หายวับไป
— ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! —
สิ่งที่ว่าเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้านก็คือเอาพิษไปรมจนให้คนผู้นั้นสลบไป
ยอดฝีมือของสำนักนอกนิกายนั้นก็คือผู้อาวุโสที่เจ็ด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามทั้งสองตัววิ่งไปทั่วทั้งสำนักอย่างอิสระ ไม่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ มาก่อกวน
แม้แต่ผู้อาวุโสเจ็ดก็หมดสติล้มไปในทันใด จากนั้น พวกเขาก็ได้โยนอวิ๋นนั่วและอวิ๋นอี๋เข้าไปในห้องของพวกเขา
มู่เฉียนซีปรบมือ กล่าวขึ้น “อู๋ตี้ เสี่ยวหง ไปกันเถอะ”
อู๋ตี้กะพริบตาปริบ ๆ มันเอ่ย “นายท่าน ท่านจะไม่อยู่รอดูผลของเรื่องนี้ก่อนหรือ ?”
มู่เฉียนซี “สถานการณ์เช่นนี้ข้าว่ารีบไปกันก่อนจะดีกว่า ข้ามั่นใจว่าสำนักนอกนิกายแห่งแคว้นชางนั้นจะต้องตายตกไปกันอย่างน่าอนาถ” เหตุผลที่นางให้เสี่ยวชีไปจัดการสำนักนอกนิกายอื่นก็เพราะนางมั่นใจมากว่ามีคนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้สำนักนอกนิกายทั้งแคว้นชางนั้นได้รับความลำบากอย่างถึงที่สุดได้ แล้วยิ่งมีอวิ๋นอี๋กับอวิ๋นนั่วคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง นางจึงไม่รังเกียจเลยที่จะทำให้พวกเขาดูน่าอนาถมากขึ้น
เมื่อมู่เฉียนซีจัดการเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบออกจากเมืองชางเฟิง
หลังจากที่นางออกจากเมืองชางเฟิงมาได้ไม่นานนัก ก็มีข่าวที่ทำให้แคว้นชางสั่นสะท้านไปทั้งแคว้นออกมา
“คูณหนูใหญ่และคุณชายใหญ่จากสำนักนอกนิกายแห่งแคว้นชางทำการลอบสังหารผู้อาวุโสที่เจ็ด ทำให้ผู้หาวุโสที่เจ็ดสิ้นชีพที่สำนักนอกนิกาย”
“ชิ! พวกเจ้าช่างไร้เดียงสานัก ลอบสังหารรึ ? สองคนนั้นมีความสามารถที่ไหนกัน พวกเขากระจอกออกปานนั้นจะไปลอบสังหารผู้อาวุโสที่เจ็ดได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าพวกนั้นวางยาเพื่อที่จะ…” “อืม… ผู้อาวุโสเจ็ดนั้นอายุราวเจ็ดสิบปีแล้ว หากอวิ๋นปู้หลัวตัดใจลงมือได้จริง บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองของเขาก็ต้องชดใช้ด้วย”
“ข้าไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสที่เจ็ดจะไร้เรี่ยวแรงทำอะไรไม่ได้ และได้มาจบชีวิตลงเช่นนี้”
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้สำนักนอกนิกายเสียหน้าเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังทำให้สำนักอวิ๋นเยียนเองก็เสียหน้าเป็นอย่างมากเช่นกัน
เมื่อผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุดมาตายไป เช่นนั้นแล้วสำนักนอกนิกายต้องชดใช้ด้วยชีวิต
การล่มสลายของสำนักนอกนิกายสำนักหนึ่งถือเป็นข่าวใหญ่ หากผู้ใดคิดที่จะสร้างขึ้นมาอีกสำนักหนึ่ง จะต้องทุ่มเทกำลังมิใช่น้อย
แม้จะมีช่องทางของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรอยู่ แต่มู่เฉียนซีก็ยังไม่สามารถหาข่าวเกี่ยวกับหม้อเทพนิรันดร์ได้ ในที่สุดนางก็วางแผนที่จะไปฝึกฝนที่แคว้นอิ๋นเหยียน
ทางเหนือของแคว้นอิ๋นเหยียนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยผืนน้ำแข็งทอดยาว มันเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันนั้นมันก็มีผลระโยชน์ที่จะมอบให้ ที่แห่งนั้นมีสมุนไพรล้ำค่าหายากมากมาย
เมื่อเห็นว่าวันเกิดของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนใกล้จะมาถึงแล้ว นอกจากการรักษาท่านอาเล็ก นางต้องเร่งเพิ่มพลังความแข็งแกร่งของตนให้มากขึ้น
ปรมาจารย์ภูตระดับห้านั้นยังไม่พอ
สำหรับการที่มู่เฉียนซีจะเดินทางไปที่แดนแห่งความหนาวเหน็บหมื่นลี้นั้น จิ่วเยี่ยเห็นด้วยกับนาง
หลังจากที่ได้ใช้สัตว์อสูรพาโบยบิน มู่เฉียนซีก็มาถึงเมืองเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดกำเนิดของความเยือกแข็งนัก มันคือเมืองปิงเฟิง
อุณหภูมิลดลงในทันที แต่แน่นอนว่ามู่เฉียนซีที่มีพลังวิญญาณคอยปกป้องนั้นมิได้หวั่นกลัว
ในตอนนี้เอง บุรุษในชุดสีขาวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาชน แล้วจึงคว้าแขนเสื้อของมู่เฉียนซีเอาไว้ ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นมองมู่เฉียนซีพร้อมกล่าวขึ้น “แม่นางคนงาม เจ้าช่างงามยิ่งนัก โปรดแต่งงานกับข้าได้หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม เกิดเรื่องน่าขันอะไรขึ้น ?
มีบุรุษกล้ามาขอนางแต่งงานกลางถนนหนทางเช่นนี้…
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางผู้นี้ มีใบหน้าที่ทำให้สตรีทั่วทั้งใต้หล้าต้องโอดครวญกับตนเอง ใบหน้าของเขาราวกับเทพที่อยู่กลางแดนหิมะก็มิปาน ช่างละเอียดลออ ไร้ซึ่งตำหนิอันใด
แต่ทว่านั่นคือการมองข้ามท่าทางที่โง่เง่าของเขาไป รูปงามเช่นนั้นแต่กลับเป็นคนบ้าบอ ช่างน่าเสียดายใบหน้านั้นเสียจริง
มู่เฉียนซีหลบไปก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ขอโทษด้วย ข้านั้นมีคู่หมั้นแล้ว”
เดิมทีจิ่วเยี่ยที่คอยซุ่มลอบดูเหตุการณ์อยู่นั้นหมายจะทำให้ชายผู้เป็นดั่งเทพหิมะกลายเป็นผงกระดูกสีขาวไป แต่เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉียนซีสตรีผู้เป็นที่รัก จิตสังหารของเขาหายไปอย่างฉับพลัน
แม้จะรู้ว่านางนั้นกล่าวออกมาเพื่อเป็นเพียงข้ออ้าง ทว่าในก้นบึ้งหัวใจของเขากลับรู้สึกชื่นชอบ
“ที่แท้ใจของแม่นางคนงามมีเจ้าของแล้ว” บุรุษชุดขาวผู้นี้ที่เหมือนดั่งเช่นเทพหิมะคอตกประหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง
มู่เฉียนซีได้หันหลังให้พร้อมจะจากไป นางเองก็ไม่อยากที่จะมาติดพันกับคนแปลกประหลาดผู้นี้ ทว่าสุดท้ายชายผู้นี้กลับวิ่งตามขึ้นมา เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้ารอข้าก่อนแม่นางคนงาม แท้จริงแล้วข้าไม่ได้รังเกียจเลย ฆ่าคู่หมั้นผู้นั้นของเจ้าเสียก็จบแล้ว และเจ้าก็จะสามารถกลับมาเป็นโสดได้ จากนั้นก็แต่งงานกับข้า”
.