ตอนที่ 339 ขอแต่งงานกลางถนน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

อวิ๋นนั่ว บุรุษผู้ที่อยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซีในเวลานี้นั้นรู้วิธีการสะกดจิต  เขารู้ว่านางเป็นนักปรุงยาระดับกลาง แต่ก็ยังมีความกล้าที่จะสะกดจิตนาง นั่นหมายความว่าเขามั่นใจในพลังจิตของเขามากพอตัว

อย่างไรเสียแม่นางมู่เฉียนซีผู้นี้ก็คงจะต้องติดกับดักของเขาอย่างแน่นอน

ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาใช้วิธีที่ผิดไป  มู่เฉียนซีนางมิได้เป็นเพียงนักปรุงยาระดับกลางธรรมดาทั่วไปเท่านั้น  การสะกดจิตเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะควบคุมนางนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่นางต้องทำคือแกล้งทำเป็นถูกสะกดจิตก็เท่านั้น

ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววแห่งความสับสนขึ้นมา อวิ๋นนั่วรู้ได้ทันทีว่ามู่เฉียนซีนั้นติดกับแล้ว

ใบหน้าของอวิ๋นอี๋แสดงออกถึงความเหยียดหยาม  นางคิดร้ายอยู่ในใจลึก ๆ ‘ใครใช้ให้เจ้าไม่สนใจข้ากันเล่า รอหลังจากที่เจ้ากลายเป็นของเล่นของพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แล้วจะถึงทีของข้าบ้าง!’

หลังจากที่อวิ๋นอี๋สนทนากับมู่เฉียนซีจบเป็นฉาก ๆ ก็ได้ผละจากไป

แน่นอนว่าละครที่น่าสนุกนั้นยังไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนนี้

ยามดึก แม้แต่ดวงจันทร์ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆเทาครึ้ม คุณชายอวิ๋นนั่วเดินไปยังจวนที่มู่เฉียนซีพักอยู่อย่างมั่นใจเต็มที่  เมื่อเขาก้าวเข้าไป ก็ได้สบเข้ากับดวงตาที่งดงามราวกับดวงดารายามราตรีของมู่เฉียนซี  เขามองลึกเข้าไปในดวงตานาง จากนั้นบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา

“เจ้า…!”

ด้วยแววตาที่คมชัดเช่นนี้ เขาแน่ใจเป็นอย่างมากว่านางไม่ได้ถูกสะกดจิตเลย  แล้ว… แล้วเมื่อยามตะวันยังไม่ตกดิน เหตุใดแววตานางจึงดูสับสนเช่นนั้น

เมื่อมู่เฉียนซีสะบัดมือ เข็มยาเข็มหนึ่งก็พุ่งมาที่คอของเขา “คุณชายใหญ่อวิ๋น ดึก ๆ ดื่น ๆ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ ?”

เวลานี้คุณชายใหญ่อวิ๋นสะดุ้งตกใจ เขากล่าวตะกุกตะกัก “เจ้า… เจ้า…”

ดวงตาคู่นั้นฉายแววอันประหลาดพิสดารออกมา

ความแข็งแกร่งของเขาไม่มีจุดใดสู้มู่เฉียนซีได้เลย เขาเป็นเพียงปรมาจารย์ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่าเขาได้เรียนวิชาลับนี้ ซึ่งเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก

— ฟื๊ด! —

หัวเข็มของเข็มยานั้นกรีดผิวหนังของเขาเปิดออก! “การสะกดจิตของเจ้าไม่ได้ผลอะไรกับข้า เลิกคิดเสียเถอะเพราะมันดูโง่งมอย่างมาก!”

เขามองมู่เฉียนซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มัน… เป็นไปไม่ได้ ขอแค่เพียงไม่ใช่ผู้ที่เป็นระดับจักรพรรดิ ข้าสามารถควบคุมได้ทั้งหมด”

“เลิกพล่ามได้แล้ว!  หากไม่อยากตาย จงบอกข้ามาว่าเจ้าและน้องสาวที่แสนดีของเจ้าวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ?”

ภายใต้การคุกคามของความตาย อวิ๋นนั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกนางไป  ก่อนอื่น เขาใช้การสะกดจิตเพื่อสะกดจิตนางเป็นอันดับแรก จากนั้นเขาก็ทำสิ่งที่ตนเองต้องการ และในที่สุดก็จะทำให้นางกลายเป็นหุ่นเชิด ในตอนนี้เอง เงาร่างสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าอวิ๋นนั่ว  อวิ๋นนั่วมองไปที่ดวงตาเยือกเย็นไร้ซึ่งความรู้สึกของมนุษย์คู่นั้น จากนั้นอวิ๋นนั่วตกใจกลัวจนสลบร่วงลงไปกองกับพื้น

— ตุบ! —

อวิ๋นนั่วถูกทำให้ตกใจกลัวจนสลบล้มไป มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างจนปัญญา “ยังจะคิดอีกว่าตนเองนั้นได้เรียนวิชาการสะกดจิตขั้นสูงมา ช่างจิตอ่อนเสียจริง”

จิ่วเยี่ยกำลังจะลงมือทำให้ชายผู้นี้หายไป  เขาผู้นี้กล้าดีอย่างไรจึงมาคิดร้ายต่อสตรีที่เขาหมายมั่นว่าจะปกป้อง เขานั้นแทบอยากจะทำลายคนผู้นั้นให้สิ้นซาก มู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย คนผู้นี้หากฆ่าให้ตายไปก็คงจะง่ายเกินไป  ในเมื่อสำนักอวิ๋นเยียนคิดที่จะทำกับข้าเฉกเช่นเป็นหุ่นเชิด พวกนั้นจะต้องชดใช้   พวกนั้นคิดที่จะเอาข้าเป็นสะพานไปหาผู้อาวุโสที่เจ็ด ทำกันด้วยตนเองไม่ดีกว่าหรือไร ?”

“เสี่ยวหง ไปนำตัวอวิ๋นอี๋มา”

“ส่วนอู๋ตี้ เจ้าไปหาตาเฒ่าผู้นั้น ไปเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้าน”

“ขอรับนายท่าน”

เมื่อจะได้ทำเรื่องเลว ๆ อู๋ตี้และเสี่ยวหงนั้นก็ตื่นเต้นมากขึ้นมา  …พริบตาเดียวทั้งสองก็ได้หายวับไป

— ปั้ก!  ปั้ก!  ปั้ก!  ปั้ก! —

สิ่งที่ว่าเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้านก็คือเอาพิษไปรมจนให้คนผู้นั้นสลบไป

ยอดฝีมือของสำนักนอกนิกายนั้นก็คือผู้อาวุโสที่เจ็ด  สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามทั้งสองตัววิ่งไปทั่วทั้งสำนักอย่างอิสระ  ไม่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ มาก่อกวน

แม้แต่ผู้อาวุโสเจ็ดก็หมดสติล้มไปในทันใด จากนั้น พวกเขาก็ได้โยนอวิ๋นนั่วและอวิ๋นอี๋เข้าไปในห้องของพวกเขา

มู่เฉียนซีปรบมือ  กล่าวขึ้น  “อู๋ตี้ เสี่ยวหง ไปกันเถอะ”

อู๋ตี้กะพริบตาปริบ ๆ มันเอ่ย “นายท่าน ท่านจะไม่อยู่รอดูผลของเรื่องนี้ก่อนหรือ ?”

มู่เฉียนซี “สถานการณ์เช่นนี้ข้าว่ารีบไปกันก่อนจะดีกว่า ข้ามั่นใจว่าสำนักนอกนิกายแห่งแคว้นชางนั้นจะต้องตายตกไปกันอย่างน่าอนาถ” เหตุผลที่นางให้เสี่ยวชีไปจัดการสำนักนอกนิกายอื่นก็เพราะนางมั่นใจมากว่ามีคนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้สำนักนอกนิกายทั้งแคว้นชางนั้นได้รับความลำบากอย่างถึงที่สุดได้  แล้วยิ่งมีอวิ๋นอี๋กับอวิ๋นนั่วคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง  นางจึงไม่รังเกียจเลยที่จะทำให้พวกเขาดูน่าอนาถมากขึ้น

เมื่อมู่เฉียนซีจัดการเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบออกจากเมืองชางเฟิง

หลังจากที่นางออกจากเมืองชางเฟิงมาได้ไม่นานนัก  ก็มีข่าวที่ทำให้แคว้นชางสั่นสะท้านไปทั้งแคว้นออกมา

“คูณหนูใหญ่และคุณชายใหญ่จากสำนักนอกนิกายแห่งแคว้นชางทำการลอบสังหารผู้อาวุโสที่เจ็ด ทำให้ผู้หาวุโสที่เจ็ดสิ้นชีพที่สำนักนอกนิกาย”

“ชิ! พวกเจ้าช่างไร้เดียงสานัก ลอบสังหารรึ ? สองคนนั้นมีความสามารถที่ไหนกัน พวกเขากระจอกออกปานนั้นจะไปลอบสังหารผู้อาวุโสที่เจ็ดได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าพวกนั้นวางยาเพื่อที่จะ…” “อืม… ผู้อาวุโสเจ็ดนั้นอายุราวเจ็ดสิบปีแล้ว หากอวิ๋นปู้หลัวตัดใจลงมือได้จริง  บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองของเขาก็ต้องชดใช้ด้วย”

“ข้าไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสที่เจ็ดจะไร้เรี่ยวแรงทำอะไรไม่ได้ และได้มาจบชีวิตลงเช่นนี้”

เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้สำนักนอกนิกายเสียหน้าเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังทำให้สำนักอวิ๋นเยียนเองก็เสียหน้าเป็นอย่างมากเช่นกัน

เมื่อผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุดมาตายไป เช่นนั้นแล้วสำนักนอกนิกายต้องชดใช้ด้วยชีวิต

การล่มสลายของสำนักนอกนิกายสำนักหนึ่งถือเป็นข่าวใหญ่  หากผู้ใดคิดที่จะสร้างขึ้นมาอีกสำนักหนึ่ง จะต้องทุ่มเทกำลังมิใช่น้อย

แม้จะมีช่องทางของกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรอยู่  แต่มู่เฉียนซีก็ยังไม่สามารถหาข่าวเกี่ยวกับหม้อเทพนิรันดร์ได้ ในที่สุดนางก็วางแผนที่จะไปฝึกฝนที่แคว้นอิ๋นเหยียน

ทางเหนือของแคว้นอิ๋นเหยียนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยผืนน้ำแข็งทอดยาว มันเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันนั้นมันก็มีผลระโยชน์ที่จะมอบให้  ที่แห่งนั้นมีสมุนไพรล้ำค่าหายากมากมาย

เมื่อเห็นว่าวันเกิดของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนใกล้จะมาถึงแล้ว นอกจากการรักษาท่านอาเล็ก  นางต้องเร่งเพิ่มพลังความแข็งแกร่งของตนให้มากขึ้น

ปรมาจารย์ภูตระดับห้านั้นยังไม่พอ

สำหรับการที่มู่เฉียนซีจะเดินทางไปที่แดนแห่งความหนาวเหน็บหมื่นลี้นั้น จิ่วเยี่ยเห็นด้วยกับนาง

หลังจากที่ได้ใช้สัตว์อสูรพาโบยบิน มู่เฉียนซีก็มาถึงเมืองเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดกำเนิดของความเยือกแข็งนัก มันคือเมืองปิงเฟิง

อุณหภูมิลดลงในทันที แต่แน่นอนว่ามู่เฉียนซีที่มีพลังวิญญาณคอยปกป้องนั้นมิได้หวั่นกลัว

ในตอนนี้เอง  บุรุษในชุดสีขาวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาชน แล้วจึงคว้าแขนเสื้อของมู่เฉียนซีเอาไว้ ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นมองมู่เฉียนซีพร้อมกล่าวขึ้น “แม่นางคนงาม เจ้าช่างงามยิ่งนัก  โปรดแต่งงานกับข้าได้หรือไม่ ?”

มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม  เกิดเรื่องน่าขันอะไรขึ้น ?

มีบุรุษกล้ามาขอนางแต่งงานกลางถนนหนทางเช่นนี้…

บุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางผู้นี้ มีใบหน้าที่ทำให้สตรีทั่วทั้งใต้หล้าต้องโอดครวญกับตนเอง ใบหน้าของเขาราวกับเทพที่อยู่กลางแดนหิมะก็มิปาน ช่างละเอียดลออ ไร้ซึ่งตำหนิอันใด

แต่ทว่านั่นคือการมองข้ามท่าทางที่โง่เง่าของเขาไป รูปงามเช่นนั้นแต่กลับเป็นคนบ้าบอ ช่างน่าเสียดายใบหน้านั้นเสียจริง

มู่เฉียนซีหลบไปก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ขอโทษด้วย ข้านั้นมีคู่หมั้นแล้ว”

เดิมทีจิ่วเยี่ยที่คอยซุ่มลอบดูเหตุการณ์อยู่นั้นหมายจะทำให้ชายผู้เป็นดั่งเทพหิมะกลายเป็นผงกระดูกสีขาวไป  แต่เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉียนซีสตรีผู้เป็นที่รัก จิตสังหารของเขาหายไปอย่างฉับพลัน

แม้จะรู้ว่านางนั้นกล่าวออกมาเพื่อเป็นเพียงข้ออ้าง ทว่าในก้นบึ้งหัวใจของเขากลับรู้สึกชื่นชอบ

“ที่แท้ใจของแม่นางคนงามมีเจ้าของแล้ว” บุรุษชุดขาวผู้นี้ที่เหมือนดั่งเช่นเทพหิมะคอตกประหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง

มู่เฉียนซีได้หันหลังให้พร้อมจะจากไป นางเองก็ไม่อยากที่จะมาติดพันกับคนแปลกประหลาดผู้นี้  ทว่าสุดท้ายชายผู้นี้กลับวิ่งตามขึ้นมา  เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้ารอข้าก่อนแม่นางคนงาม แท้จริงแล้วข้าไม่ได้รังเกียจเลย  ฆ่าคู่หมั้นผู้นั้นของเจ้าเสียก็จบแล้ว  และเจ้าก็จะสามารถกลับมาเป็นโสดได้ จากนั้นก็แต่งงานกับข้า”

.