ตอนที่ 234 แผนดำเนินการห้าปี

“เกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน” เหล่าอู๋พูด

ชุยซื่อหยวนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีกพร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า “8 พฤศจิกายน…8 พฤศจิกายน…”

“เหล่าชุยอย่าเพิ่ง… เด็กในรูปนี้ตอนที่ยังเป็นเด็กๆ หน้ากับจมูกคล้ายกับนายเลยว่ะ!” เหล่าอู๋ไม่ทันได้ยินเสียงที่ประหลาดใจของชุยซื่อหยวนก็พูดแทรกขึ้นมา

ชุยซื่อหยวนก้มหน้ามองสมุดบันทึก ตอนที่หลานชายของเขาไปหาข้อมูลมา แม่แท้ๆของหยางโปบอกว่าเขาเกิดเดือนกุมภาพันธ์ อีกอย่างเขาคิดว่าถ้าหากหยางโปเกิดจริงๆควรจะเป็นเดือนกรกฎาคม อีกอย่างตอนที่พวกเขาทิ้งหยางโปไปก็เป็นเดือนพฤศจิกายนด้วย ถ้าดูจากข้อมูลพวกนี้วันเกิดที่ระบุเอาไว้ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามันเป็นวันที่เขาถูกรับไปเลี้ยง

 

แต่ทำไมแม่ของหยางโปต้องโกหกเขาด้วย หรือว่าเป็นเพราะต้องการจะปิดบังเรื่องที่หยางโปถูกเลี้ยงดู? ถ้าเป็นแบบนี้การที่หลานของเขาไม่เคยเห็นข้อมูลส่วนตัวของหยางโปมาก่อนและหาข้อมูลยังไม่ละเอียดพอคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชุยซื่อหยวนก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เหล่าอู๋นายช่วยส่งข้อมูลของเด็กคนนั้นมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

เหล่าอู๋แปลกใจ “เหล่าชุยนี่นายมั่นใจแล้วเหรอ?”

ชุยซื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้น “ก็เกือบจะมั่นใจ แต่ฉันคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นเขา”

 

เหล่าอู๋พยักหน้า “โอเคเดี๋ยวฉันส่งไปให้ แต่ทางนี้ไม่มีไฟล์ของเขานะ ฉันว่านายไปหาไฟล์แฟ้มประวัติของเขาหน่อยก็ดี อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสิน ฐานะกับสถานะของนายตอนนี้ ฉันคิดว่าถ้าหากเด็กคนนั้นเป็นหุ่นเชิดของใครอยู่ นายควรจะค่อยๆแอบช่วยเขาน่าจะดีกว่าที่จะเปิดตัวออกไปโพล่งๆ”

“อื้อ ฉันจะตรวจสอบอย่างละเอียด” เขาพยักหน้า ตอนนี้เขาอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายมาก แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นเวลาที่สมควรและดีที่สุดแล้วหรือยัง อีกอย่างเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าการที่จู่ๆจะมีลูกโผล่มาอีกคนผู้หญิงที่นั่งอยู่ห้องรับแขกคนนั้นจะรับได้หรือไม่

หลังจากได้ข้อมูลของหยางโปมาแล้ว ทันทีที่เขาเห็นรูปเขาก็ชะงักไปในทันที ภายในใจของเขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่พลั่งพรูออกมา เขามั่นใจมากว่าเด็กชายคนนี้จะต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแน่ๆ

 

ระหว่างที่เขากำลังอ่านข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆใบหน้าของเขาก็อาบไปด้วยน้ำตา

เสียนหยางตั้งอยู่ในเขตชนบทของฉินชวนซึ่งอยู่ห่างออกไป 800 ไมล์ ข้ามไปทางทิศใต้ก็จะเป็นแม่น้ำ ส่วนทางตอนเหนือก็จะเป็นภูเขาการที่มีภูเขาและแม่น้ำประกบทั้งสองฝั่งจึงทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าเสียนหยาง

เป็นเพราะเสียนหยางอยู่ใกล้กับเมืองโบราณฉางอานจึงทำให้พบอิฐและกระเบื้องได้ทุกที่ ดังนั้นจึงสามารถพบวัตถุโบราณซึ่งเป็นของในราชวงศ์ฉินได้ทั่วทุกพื้นที่ อีกทั้งยังมีจุดชมวิวทางวัฒนธรรมมากกว่า 4,900 จุด ห้าภูเขาบนที่ราบสูงมีสุสานของจักรพรรดิห้านกาวแห่งราชวงศ์ฮั่น สุสานหยางหลิงของจักรพรรดิจิ่งแห่งราชวงศ์ฮั่น สุสานของจักรพรรดิอู๋แห่งรางวงศ์ฮั่น สุสานจ้าวของจักรพรรดิไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง สุสานจักรพรรดิกาวจงแห่งราชวงศ์ถังและสุสานของจักรพรรดิเฉียนหลิงรวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งฮั่นและถาง 28 องค์เป็นที่รู้จักกันในนาม ปีรามิดแห่งเมืองหลวงของจีน

 

หยางโปและคนอื่นๆรีบเดินทางมายังเสียนหยาง หลังจากที่เดินทางมาถึงที่นี่ก็มีคนมาต้อนรับโดยพาไปทานมื้อเที่ยง หลังจากทานทุกอย่างแล้วพวกเขาก็นั่งรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังชานเมืองทันที

หลังจากที่รถมาจอดที่โรงงานที่อยู่ใกล้ชานเมืองแล้วทุกคนก็เดินลงมาจากรถก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนรถตู้อีกคันนึง

ระหว่างที่ขับไปตามเส้นทางด้านนอกหน้าต่างก็เริ่มเงียบลงเรื่อยๆ หลูตงซิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะกดปิดเครื่องพร้อมกับหันมาบอกกับทุกคน “เดี๋ยวอาจจะมีคนมาเก็บโทรศัพท์ของพวกนายนะ ไม่ต้องตกใจ”

หยางโปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากไม่เห็นว่ามีข้อความส่งมาเขาก็ปิดเครื่องด้วยความสบายใจ อันที่จริงเขาเองก็พอจะเดาได้แล้วว่า’งาน’ ในครั้งนี้ไม่ใช่งานที่หลูตงซิ่งเป็นคนจัดขึ้นมา แต่อีกฝ่ายก็คงจะไว้ใจเขา ในขณะที่พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถสร้างความไว้ใจให้กับอีกฝ่ายได้จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเก็บโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ติดต่อสื่อสารหรือบันทึกภาพใดๆภายในงานซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

จู่ๆหยางโปก็นึกถึงเหตุผลที่หลูตรงซิ่งพาพวกเขามาที่นี่ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ากำไรที่จะได้รับจากสุสานนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถจับต้องได้ มากที่สุดก็คงจะเป็นได้แค่ผู้ชม แต่เมื่อเขานึกขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพวกเขาเป็นผู้ซื้อ และเมื่อมาที่นี่เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ก็อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากจะขายมันออกไปเร็วๆ

หลังจากที่รถมาจอดลงตรงบ้านซึ่งอยู่ตรงเชิงเขาแล้วทุกคนก็เดินลงจากรถ หลังจากที่เดินลงมาหยางโปก็กวาดตามองไปรอบๆ ที่จริงเขาเองก็เคยเห็นข่าวที่พูดว่าพวกโจรขโมยหลุมศพจะอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นเชิงเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเจาะรูภายในบ้านเพื่อเชื่อมกับเขาใหญ่โดยตรง

หลังจากที่เดินลงมาจากรถแล้วภายในบ้านก็มีชายชราที่มีหนวดเขลาเดินออกมา ท่าทางของเขาดูผอมและซีดเซียวมากทว่าดวงตากลับเป็นประกายและดูมีไหวพริบมาก ชายคนนั้นเดินออกมาพร้อมกับจับมือทักทายหลูตงซิ่ง “เถ้าแก่หลูรักษาสัญญาจริงๆด้วย ยินดีต้อนรับนะ”

 

หลูตงซิ่งยิ้ม “ฉินโถวอุตส่าห์เชิญจะไม่มาได้ยังไงกันล่ะ”

พูดจบหลูตงซิ่งก็หันมาแนะนำคนที่อยู่ด้านหลังของเขา

ฉินโถว “ผู้ที่มาที่นี่ถือเป็นแขกทุกคน แต่ธุรกิจของเราเป็นแบบพิเศษอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องระวัง หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะ”

หยางโปและคนอื่นๆยื่นมือไปทักทายอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็มีผู้ชายเดินเข้ามาสองคนซึ่งมีท่าทางกำยำและสูงยาว ส่วนอีกคนนึงเป็นชายร่างเล็ก ทั้งสองคนเดินมาพร้อมกับซองเอกสารพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “รบกวนปิดโทรศัพท์แล้วใส่เอาไว้ในซองนี้ด้วยครับ หลังจากจบงานแล้วพวกเราจะคืนให้”

 

ก่อนหน้านี้หยางโปและคนอื่นๆได้ยินหลูตงซิ่งเตือนแล้วพวกเขาจึงปิดเครื่องพร้อมกับส่งมอบให้อีกฝ่ายแต่โดยดี

ชายร่างผอมบางถือเครื่องตรวจจับโลหะเอาไว้ในมือพร้อมกับกำมือเพื่อแสดงความเคารพ “ขอประทานโทษนะครับทั้งสามท่าน รบกวนช่วยนำเครื่องโลหะต่างๆมาวางตรงนี้ด้วยครับ ผมขออนุญาตตรวจสักครู่ครับ”

ทั้งสามคนได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่ก็หยิบกุญแจและเหรียญในกระเป๋าออกมา

ชายร่างบางหยิบของเหล่านั้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งกลับไป

เขาหันไปพยักหน้าให้กับฉิวโถว ทันใดนั้นฉิวโถวก็หันมาพูดกับทุกคนว่า “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะ”

 

หลูตงซิ่งยิ้ม “ฉินโถวเกรงใจเกินไปแล้ว”

ฉินโถวหันไปด้านในห้องก่อนที่จะผายมือ “เชิญเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ”

พูดจบทุกคนก็เดินตามฉิวโถวเข้าไปด้านใน หยางโปมองไปรอบๆก็พบว่าภายในนี้มีการตกแต่งครบครัน หลังจากที่นั่งลงแล้ว หลูตงซิ่งก็ถามขึ้นมาว่า “บ้านนี้คุณเช่ามาจากคนอื่นอีกทีเหรอ?”

“เปล่า เป็นบ้านที่ฉันสร้างเองน่ะ” ฉิวโถวพูด

หยางโปและคนอื่นๆรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ เพราะพวกเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการสร้างบ้านขึ้นมาที่นี่เขาไม่กลัวว่าจะถูกสงสัยบ้างเลยรึไงกันนะ?

 

ฉินโถวดูเหมือนว่าจะอ่านสายตาของทุกคนออกเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันมาสำรวจภูมิประเทศที่นี่เมื่อห้าปีก่อนน่ะ แต่เป็นเพราะมีช่วงวันหยุดด้วย ฉันก็เลยซื้อที่ดินที่นี่แล้วก็สร้างบ้านขึ้นมา ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมาทุกๆต้นฤดูหนาวฉันจะมาพักที่นี่ และแต่ละปีฉันก็จะขับรถคันเดิมมาที่นี่และใช้เส้นทางเดิมมาโดยตลอดแถมยังทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ”

“ระยะเวลาห้าปีมันทำให้ฉันสามารถเตรียมทุกอย่างได้เรียบร้อย ตอนนี้ก็ใช้เวลาขุดพื้นไปได้ครึ่งเดือนแล้ว ถ้าหากการคำนวณไม่ผิดพลาดอะไรคิดว่าคือนี้ก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ”

ทุกคนมองหน้ากัน มีเพียงหลูตงซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจกับคำพูดของเขา ทว่าอีกสามคนที่เหลือกลับดูเหมือนจะไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

 

หยางโปเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความขยันมากถึงขนาดนี้ เขาใช้เวลาถึงห้าปีเพื่อขุดสุสานบนเขา ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นบนเขานั้นคงจะต้องมีประวัติความเป็นมาอะไรแน่ๆ

หลูตงซิ่งเองก็นึกถึงเรื่องนี้เขาจึงหันไปมองฉินโถว “หลังจากนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อ?”

“พวกนายไปพักกันก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวมากินข้าวเย็นตอนสี่โมงเย็น สี่โมงครึ่งพวกเราค่อยออกเดินทางเพื่อขึ้นไปด้านบนเขากัน” ฉินโถวพูด