ตอนที่ 235 เหวยเสียวป่าวแห่งราชวงศ์ถัง

ระหว่างทางบนเขาได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยที่จะไปบรรจบกันตรงบริเวณไหล่เขา ระหว่างทางพวกเขาไม่พบใครเลย ตรงบริเวณใกล้ๆมีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่งแต่พวกคนหนุ่มสาวที่อยู่ภายในหมู่บ้านต้องออกเดินทางไปทำงานข้างนอก ส่วนเด็กๆก็ออกไปเรียนหนังสือกันหมด คนแก่ๆที่อยู่ในบ้านก็ไม่มีใครกล้าออกมาข้างนอก

ฉินโถวเดินนำคนที่เหลือขึ้นไปบนเขา เขาลูกนี้มีพื้นผิวค่อนข้างเรียบและเป็นทางราบแต่รอบๆมีพืชรายล้อมอยู่จนทั่ว เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนเขาแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครพบเห็น

ช่วงต้นฤดูหนาวพระอาทิตย์จะตกดินเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาห้าโมงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มมืดหมดแล้ว ทว่าพวกเขาที่เดินตามหลังฉินโถวก็ไม่มีใครคิดที่จะเปิดไฟฉายเพื่อส่องทาง

 

หลังจากเดินมาจนถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรงทุกคนก็เดินขึ้นมาบนเขาแล้วและกำลังเดินมาอยู่อีกด้านนึงของเขา จู่ๆหยางโปก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่พวกเขาเริ่มเดินทางพวกเขาเริ่มต้นจากทางฝั่งเหนือ และจากการเลือกตำแหน่งหลุมฝังศพแล้วฮวงจุ้ยน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่หลบซ่อนลมและอากาศ ทางฝั่งใต้ห่างออกไปไม่ไกลก็พบว่ามีแม่น้ำสายหนึ่งที่กำลังไหลไปตามกระแสน้ำอยู่

ในที่สุดฉินโถวก็หยุดเดิน สถานที่แห่งนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีจนหยางโปเองก็ยังมองไม่เห็นร่องรอยของการขุดเจาะแม้แต่น้อย

เจี่ยงเอ้อที่ร่างกายกำยำก้าวเท้าไปด้านหน้าก่อนที่จะแหวกหญ้ากองหนึ่งออกซึ่งด้านล่างเผยให้เห็นหลุมดำหลุมหนึ่ง โหยวเสียวอู่ชายร่างผอมบางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็รีบขยับตัวก่อนที่จะลงไปด้านล่างทันที

 

ลัวย่าวหัวที่ตามมาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เขาย่อตัวลงเพื่อที่จะลงไปด้านล่าง จู่ๆฉินโถวก็ห้ามขึ้นมา “ไม่ต้องลงไป!”

ลัวย่าวหัวเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

ฉินโถวส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าบรรยากาศก็เริ่มอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิม

หลูตงซิ่งยิ้ม “ฟังที่ฉินโถวพูดแหละดีแล้วอย่าทำอะไรผลีผลาม ฉินโถวเป็นคนเปิดสุสานยังไงเขาก็ต้องรู้มากกว่าพวกเราอยู่แล้ว”

ในเวลาเพียงไม่นานภายในถ้ำนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นพร้อมกับร่างของคนๆนึงที่ปีนขึ้นมา ทว่ากลับไม่ใช่โหยวเสียวอู่ เขาออกมาก่อนที่จะกวาดตามองทุกคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปกระซิบข้างๆฉินโถว “ด้านในมีอิฐเหล็ก!”

 

ฉินโถวขมวดคิ้วเข้าหากัน “ขุดเจอตอนไหน?”

“เมื่อกี้นี้เองครับ” คนนั้นตอบ

ฉินโถวพยักหน้า “เรียกทุกคนให้ออกมา”

ฉินโถวพูดจบคนที่อยู่ด้านในก็ต่างพากันออกมาด้านนอก ซึ่งนับรวมๆกันแล้วมีทั้งหมดสามคนและเหลือเพียงโหยวเสียวอู่คนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกมา

หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่งโหยวเสียวอู่ก็ปีนออกมา ฉินโถวจึงหันไปถามเขาว่า “เห็นรึยัง?”

เขาพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะเป็นอิฐเหล็กครับ นี่ไม่ใช่สุสานคิดว่าคงจะมีไม่กี่ชั้น”

 

ฉินโถวส่ายหน้า “ต้องวางแผนให้ดีๆ ดินบนที่ราบสูงนี้กลวงมาก ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา ที่เราลงแรงกันจนเลือดตาแทบกระเด็นถึงสองเดือนกว่าได้จบเห่แน่”

โหยวเสียวอู่พยักหน้า “งั้นผมลองใช้วิธีเจาะดูก่อนก็แล้วกัน”

“โอเค ลองดู” ฉินโถวพูด

พูดจบโหยวเสียวอู่ก็หยิบสว่านไฟฟ้าก่อนที่จะกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันคนอื่นๆก็ยืนรออยู่ด้านนอก

กลางคืนมีความมืดมาก ระหว่างที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ด้านนอกลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามาจนทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเพราะความหนาว

 

หยางโปเดินก้าวเท้าไปด้านหน้าสองก้าวก่อนที่จะถามหลูตงซิ่ง “ที่นี่คงจะเป็นสุสานใหญ่แน่เลยสินะครับ? ผมคิดว่าฮวงจุ้ยในนี้ถือว่าไม่เลวเลย ด้านหลังเป็นเขาด้านหน้าเป็นแม่น้ำ แถมเขายังสูงตระหง่าน คิดว่าคงถูกล็อคฮวงจุ้ยเอาไว้แน่ๆ”

หลูตงซิ่งยิ้มออกมาก่อนที่จะอธิบาย “ฮวงจุ้ยที่นี่เทียบไม่ได้กับสุสานของจักรพรรดิหรอกนะ แต่มันเป็นสุสานของพวกตระกูลคนรวยน่ะ อันที่จริงที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวแล้วนะ ใกล้ๆที่นี่คงจะต้องมีพื้นที่สำหรับระบบศักดินาแน่ๆ แต่แค่พวกเราไม่ได้สังเกตเห็น แต่นายไม่ต้องห่วงหรอก อาจารย์ฉินโถวเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าเรามากเลยล่ะ”

การที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นอาจารย์ก็เพื่อที่จะพูดยกย่องผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุสาน และเขาเก่งในการดูฮวงจุ้ยต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็ต้องมีการตรวจสอบภูมิประเทศก่อนและดูว่าสุสานเหล่านั้นมีชั้นหินอยู่ในระดับไหน

 

และจากการอธิบายแล้วถ้าหากเป็นฮวงจุ้ยทำเลทองจริงๆก็คงจะต้องมีสุสานขนาดใหญ่อยู่แน่ๆ สุสานที่มีคุณสมบัติสูงมักจะมีสมบัติล้ำค่าและศพจำนวนมากอยู่ในนั้น นอกจากนี้ก็คงจะมีสมบัติและของของประเทศอยู่ในนั้นด้วย หยางโปไม่รู้ว่าระดับของฉินโถวอยู่ในระดับไหน แต่การที่เขาถูกหลูตงซิ่งเรียกว่า “อาจารย์” ได้ มันคงจะต้องสูงในระดับนึงอย่างแน่นอน

ฉินโถวมองมาที่เขาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “พ่อหนุ่ม เขานี้ค่อนข้างสูงแต่ฮวงจุ้ยที่นี่พวกเราเรียกมันว่าเป็นฮวงจุ้ยมังกรเลยล่ะ อย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้อาจจะเรียกว่าเฉยๆ ถึงแม้ว่ารูปแบบมันอาจจะสู้ถ้ำมังกรไม่ได้ แต่มันก็ถือว่ายากมากนะที่จะพบเห็นได้ และที่สำคัญเลยก็คือฮวงจุ้ยนี้เข้ากันได้ดีกับสุสานของเจ้าของเลยล่ะ”

 

“เจ้าของสุสานคือใครเหรอครับ?” หยางโปถาม

ฉินโถวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับมาว่า “ต้าวหวยไท่จื่อ”

หยางโปชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเขารู้สึกคุ้นชื่อนี้มากแต่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน

“ใช่หลีผู่บุตรชายของจักรพรรดิจิ้งจงของราชวงศ์ถังรึเปล่า?” หลูตงซิ่งถามขึ้นมา

ฉินโถวพยักหน้า

 

หยางโปได้ยินคำถามของหลูตงซิ่งก็นึกขึ้นมาได้ ในยุคราชวงศ์ถังตอนปลายในยุคนั้นถือว่ามีความเสื่อมโทรมแถมวงในยังเกิดความวุ่นวายและยุ่งเหยิงไปหมด จิ้งจงพ่อของหลีผู่เป็นจักรพรรดิในยุคราชวงศ์ถังได้แค่สองปีเท่านั้น ชื่อของหลีผู่ที่ปรากฎขึ้นในหนังสือประวัติศาสตร์นั้นถูกบันทึกเอาไว้เพียงสองประโยคเท่านั้น “ต้าวหวยไท่จื่อหรือหลีผู่อยู่ในช่วงป่าวลี่ซึ่งเป็นยุคของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์คนที่สิบสาม เขาเป็นคนเชื่อฟังและอ่อนน้อมจึงทำให้เหวินจงชอบหลานชายคนนี้มากจึงเลี้ยงดูเขาเหมือนกับลูกของตนเองและอยากให้เขาเป็นทายาท แต่สุดท้ายเขาก็เสียชีวิตลงจึงทำให้เหวินจงโศกเศร้าและเสียใจมาก เขาจึงตั้งชื่อให้กับหลีผู่ว่าต้าวหวยไท่จื้อ(ไว้ทุกข์ให้กับเจ้าชาย)เพื่อเป็นการระลึกถึง”

 

ลัวย่าวหัวไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่นักก็พูดขึ้นมาว่า “เป็นเจ้าชายสินะ ถ้างั้นที่นี่คงจะไม่ใช่เล่นๆแล้วน่ะสิ ถึงแม้ว่าเจ้าชายจะเสียแล้วแต่พ่อของเขาก็คงจะไม่ขี้งกกับลูกชายของเขาหรอก”

“จักรพรรดิจิ้งจงพ่อของเขาตายก่อนเขาอีกนะ” หยางโปพูดขึ้น

“หา?” ลัวย่าวหัวประหลาดใจ “ถ้าพ่อตายก่อนในฐานะของเจ้าชายเขาก็ไม่ควรจะได้สืบบัลลังก์สิ ทำไมเขาถึงยังเป็นเจ้าชายอีกล่ะ?”

“ก็เพราะว่าการตายของจักรพรรดิจิ้งจงไม่ใช่การตายแบบปกติน่ะสิ เขาถูกขันทีฆ่าตายน่ะ” เจ้าอ้วนหลิวพูด

 

“ทำไมพวกนายถึงรู้เรื่องพวกนี้กันหมดเลยเนี่ย?” ลัวย่าวหัวพูดด้วยความแปลกใจ เพราะเขารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังแค่ช่วงแรกก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายเท่านั้นและหลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

“ก็เพราะว่าจักรพรรดิองค์นี้ตายแต่ก็สร้างความเดือดร้อนน่ะสิ จักรพรรดิจิ้งจงเป็นจักรพรรดิตอนอายุสิบหกปี ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เล่นไปหมด ไม่ได้สนใจเรื่องในวังเลยสักนิด

ขันทีหลิวเค้อหมิงมีความสัมพันธ์กับขันทีหลิวกวาง แถมยังไม่ทันได้มีการตัดอัณฑะก็สามารถเข้าไปอยู่ในวังหลังได้”

ลัวย่าวหัวเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

 

“หลิวเค้อหมิงเองก็ใช้เวลาเป็นเพื่อนเล่นอยู่กับจักรพรรดิ แต่พอเขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเรื่องวังหลังเขาก็เลยเริ่มไปเกี้ยวพาราสีกับหญิงสาวที่อยู่วังหลังด้วยความเหิมเกริม หลังจากนั้นเขาก็เริ่มลุกลานไปยุ่งกับนางสนม ตอนแรกจักรพรรดิจิ้งจงก็ไม่เคยจะเข้ามาสนใจเรื่องพวกนี้แถมก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังถูกสวมเขา ตอนกลางคืนเขาก็จะนำคนไปไล่ล่าสัตว์โดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ มีอยู่ครั้งนึงเขาไม่ทันได้ระวังก็เผลอยิงธนูใส่ขาของหลิวเค้อหมิง หลิวเค้อหมิงเข้าใจว่าความลับของตัวเองถูกเปิดเผยออกมาแล้ว และจักรพรรดิจิ้งจงตั้งใจที่จะเล็งเพื่อฆ่าเขา เขาเลยหวาดระแวงมากขึ้นเรื่อยๆจนตัดสินใจก่อกบฏ”

 

“หลังจากนั้นเขาก็เรียกขันทีที่มักจะถูกจักรพรรดิจิ้งจงด่าอยู่บ่อยๆออกมาแล้วบอกให้พาจักรพรรดิไปดื่มให้เมาหลังจากที่กลับมาจากการล่าสัตว์หลังจากนั้นก็จัดการฆ่าเขา หลังจากนั้นหลิวเค้อหมิงเองก็คิดจะตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาเองก็จะถูกขันทีอีกกลุ่มหนึ่งฆ่าจนหัวกระเด็นหลุดออกจากบ่า”

“เชี่ย…” ลัวย่าวหัวสบถออกมา “ที่แท้เรื่องเหวยเสียวป่าวนั่นก็เป็นเรื่องจริงสิเนี่ย!”

หยางโปส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ อันที่จริงเรื่องหลังราชวงศ์ถังถือว่าวุ่นวายมากจริงๆ

ในเวลานั้นเองโหยวเสียวอู่ก็ปีนออกมา