บทที่ 276 ใครคือผู้บงการ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 276 ใครคือผู้บงการ
คิ้วของฉีเฟยอวิ๋นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย : “หงเถา แม้ว่าเจ้าจะเป็นเด็กของข้า แต่ในสายตาของข้า สถานะของเราล้วนเท่าเทียม ข้าไม่ขอให้ใครในพวกเจ้าเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว มีฐานันดรสูงศักดิ์ และไม่หวังให้พวกเจ้าเป็นอะไรไปเพราะข้า ขอแค่พวกเจ้าไม่ทรยศข้า ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตยืนยาวร้อยปีก็พอแล้ว

จวินฉูฉู่นางดูหมิ่นข้าก่อน เจ้าออกหน้าเพราะข้าไม่ได้รับความยุติธรรม นั่นคือความดีของเจ้า เจ้าไม่ต้องตำหนิตนเองหรอก”

หงเถาอยากจะร้องไห้ จึงรีบกล่าวว่า : “ขอบพระคุณชายาเจ้าค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไป : “เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้อีก พวกเจ้าแค่จำไว้ว่าพวกเจ้าเป็นคนของข้า ข้าไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกพวกเจ้าทั้งนั้น รังแกพวกเจ้าก็เท่ากับรังแกข้าด้วย ข้าไม่ยอมเด็ดขาด

ท่านอาจารย์ข้าเคยกล่าวว่า รังแกข้าได้ รังแกคนของข้า ไม่ได้!”

ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงคำกล่าวของซูมู่หรง และยิ้มออกมา

นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ออกไปกินข้าวข้างนอก มีคนเห็นนางดูท่าทางบอบบาง จึงคิดว่าคงจะรังแกนางได้ง่าย ๆ จึงผลักนาง นางไม่ได้สนใจนัก ถึงอย่างไรมันก็มาหาเรื่องแล้วก็แค่ต้องจัดการ ให้มันจบ ๆ ไปเท่านั้น

ผลสุดท้ายซูมู่หรงเห็นเข้า ซูมู่หรงจึงจับแขนและขาของคนนั้นหักอย่างไร้ความปรานี

อีกฝ่ายจ้องเขม็งไปทางซูมู่หรง เขาจึงข่มขู่อีกฝ่ายว่าแน่จริงก็ทิ้งชื่อไว้สิ

ซูมู่หรงพูดออกไปเช่นนั้น

“พระชายา ท่านยิ้มอะไรหรือเจ้าคะ?”

ลี่ว์หลิ่วคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นอะไรไป จึงอดเอ่ยถามไม่ได้

“ไม่มีอะไร นึกถึงท่านอาจารย์เฉย ๆ”

“พระชายา ท่านอาจารย์มีลักษณะเช่นไรหรือ เขาเป็นผู้เฒ่า ผมขาว มีเครายาวใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หงเถาถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า : “เขายังวัยเยาว์นัก บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ แข็งแรงและน่าเกรงขาม…”

“หึ….เขาหล่อเหลาเท่าข้าหรือไม่?” หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ฉีเฟยอวิ๋นฉลาดนัก กลัวอะไรมักได้เช่นนั้น เขามาได้อย่างไรเนี่ย?

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยใบหน้าเย็นชา และมองนางด้วยความไม่พอใจ

ดวงตาคู่นั้นของเขาดำสนิทราวกับหมึก จ้องเขม็งฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาคมกริบดุจมีด ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มด้วยความอึดอัดใจ : “แน่นอนว่าท่านต้องหล่อเหลากว่า ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”

“พูดไปเรื่อย? ข้าว่าไม่น่าใช่นะ” หนานกงเย่เดินเข้ามาใกล้ ออกแรงดึงมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยากดึงมือกลับ ผลสุดท้ายก็ถูกบีบแรงขึ้น

“เจ้ายังกล้าหลบเลี่ยง? ข้าน่ารังแกมากใช่หรือไม่?”

“……..”

ฉีเฟยอวิ๋นสับสน เขาน่ารังแกตรงไหน?

เมื่ออาอวี่และคนอื่น ๆ เห็นสถานการณ์นี้ กลับไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ต่อ พากันหมุนตัวและรีบเดินจากไปทันที

ทิ้งฉีเฟยอวิ๋นให้ต่อสู้เพียงลำพัง ฉีเฟยอวิ๋นอดวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อครู่เพิ่งเอาความดีความชอบ พริบตาเดียวก็พาหันหมุนตัวเดินจากไปแล้ว จะแย่กันเกินไปแล้วนะ!

เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ แค่สหาย ก็ยังเชื่อถือไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นคลี่ยิ้ม : “หม่อมฉันก็แค่พูด”

“ข้าได้ยินหมดแล้ว” หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ ด้วยความไม่พอใจ กล้าชมผู้ชายคนอื่นยามเขาไม่อยู่ อยากให้เขาตายนักใช่หรือไม่!

“ก็ได้ ท่านอยากคิดอย่างไรก็อย่างนั้น ข้าแค่พูดความจริง ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านถึงมักกัดข้าไม่ปล่อยอยู่เรื่อย?”

ฉีเฟยอวิ๋นจะเดินจากไป หนานกงเย่กลับจนปัญญา กลัวนางจากไป จึงยิ่งขุ่นเคืองที่นางนึกถึงผู้อื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ใจนิ่งนัก

หมัดของเขากลับชกลงไปบนปุยฝ้าย เนื่องจากออกแรงอย่างหนัก ใยฝ้ายกลับกระจายกระจายออกมา นั้นทำให้เขายิ่งโกรธ!

ฉีเฟยอวิ๋นอยากเดินออกไปแต่หนานกงเย่ไม่ยอม ต่างคนต่างดื้อดึง จนฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงจนเจ็บ

“เจ็บ” ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนออกไป มือของหนานกงเย่รีบดึงตัวนางมาดูทันที

“ข้าไม่ดีเอง ทำเจ้าบาดเจ็บ แต่ข้าก็ไม่พอใจ เจ้าคิดถึงเขา!”

หนานกงเย่รีบพูดจนจบ และลูบไปบนมือของฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ่อนโยน

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่ง : “ท่านอย่าพูดเหลวไหล หม่อมฉันไม่ได้คิดถึงเขา หม่อมฉันแค่นึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาเท่านั้น มีแต่ท่านที่ปล่อยวางอดีตไม่ได้”

“ข้าไม่มีอดีต” หนานกงเย่ยังคงยืนหยัด

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเขา : “ก็ถือว่าใช่ ต่อไปหม่อมฉันจะเปลี่ยนมันเอง ตกลงไหมเจ้าคะ?”

“ไม่อนุญาตให้นึกถึง หากจะนึกถึงก็นึกถึงข้า” หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นกลับมาด้วยความขุ่นมัว ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปอย่างว่าง่าย ถือว่าสงบศึกแล้ว

เดินไปไม่ถึงครึ่งทาง หนานกงเย่ก็ยื่นมือออกไปดึงนางไว้ และใช้มืออีกข้างลูบอย่างอ่อนโยน สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้น ก่อนจะเลื่อนมือของฉีเฟยอวิ๋นมาตรงปากและพรมจูบเล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน อารมณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางใบหน้าที่เคร่งขรึมของหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ เขาดูราวกับป่วยจิต ไม่ต้องให้ตนปลอบก็ดีขึ้นแล้ว

“อวิ๋น อวิ๋น…”

เดินไปอีกไม่กี่ก้าว หนานกงเย่ก็จริงจังขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “อะไรหรือเจ้าคะ?”

“ไปที่นั่นแล้วรึ?”

หนานกงเย่เอ่ยถาม ราวกับว่าระหว่างพวกเขาสองคนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชมจนอยากจะก้มตัวลงกราบเสียจริง

“ข้าไปเยี่ยมท่านพ่อ ระหว่างทางได้ผ่านจวนอ๋องตวนพอดี จึงถูกตงเอ๋อร์ลากตัวเข้าไป….” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากถกเถียงกับเขา จึงเล่าเรื่องที่ผ่านมาหนึ่งวันให้ฟังหนึ่งรอบ

หนานกงเย่หยุดเดิน : “เจ้าไปตรวจอาการป่วยให้แก่พระชายาตวนเช่นนั้นรึ?”

“อื้อ”

หนานกงเย่จึงเดินต่อ พลางใช้นิ้วโป้งลูบไปบนมือของนาง

“พระชายาตวนคิดอยากตั้งครรภ์ก่อน ต่อมาจึงได้ปิดปากพระชายารองอวิ๋น พระชายารองอวิ๋นคิดลอบโจมตีนาง นั่นเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองดั่งที่อวิ๋นอวิ๋นเคยกล่าวไว้ใช่หรือไม่?”

เพียงประโยคเดียวก็ปลุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจในทันที

“จวินฉูฉู่ชั่วช้ายิ่งนัก!”

ฉีเฟยอวิ๋นจะพูดอะไรได้

หนานกงเย่ก็ไม่สนใจนาง พานางกลับไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถามหนานกงเย่ว่าวันนี้เขาไปทำอะไร เขาบอกว่าไปนั่งอยู่ในโรงน้ำชาทั้งวัน ข้าวไม่ได้แต่สักเม็ด

ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นได้ยิน ก็รีบพาเขากลับไปกินข้าว

หลังจากกินข้าวเสร็จทั้งสองคนก็ไปพักผ่อน

ยามพลบค่ำทั้งสองคนออกไปเดินเล่นด้วยกัน เดินวนอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็ไปฟังนักเล่าเรื่องในโรงน้ำชา

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่นั่งอยู่ภายใน มีเมล็ดทานตะวันผลไม้แห้ง น้ำชาสองจอกวางอยู่บนโต๊ะ หนานกงเย่ดื่มของตัวเอง ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่จิบเท่านั้น

นักเล่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับอ๋องแปด ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงันไป องอาจยิ่งนัก ที่กล้าเล่าเรื่องนี้

นางอดหันกลับไปมองหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกายไม่ได้ แววตาของเขานิ่งสงบ ไม่แยแสสิ่งใด

นักเล่าเรื่องเล่าได้อย่างน่าประทับใจและสมจริง ราวกับเป็นประสบการณ์ของตนเอง

ฉีเฟยอวิ๋นสรุปออกมาได้หนึ่งเรื่อง อ๋องแปดก่อการกบฏ ปฐมกษัตริย์ถูกลอบโจมตี ต่อมาก็เห็นแก่ความรักที่เปรียบเสมือนพี่น้อง จึงไว้ชีวิตอ๋องแปด

ความวุ่นวายของท่านอ๋องแปด ในที่สุดก็สงบลง

ฉีเฟยอวิ๋นออกจากโรงน้ำชา ระหว่างทางกลับได้เอ่ยถามว่า : “ท่านอ๋อง เหตุใดพวกเขาถึงได้องอาจถึงเพียงนั้น กล้าเล่าเรื่องเหล่านี้ในโรงน้ำชาได้อย่างไร?”

“ปฐมกษัตริย์ไม่ได้ห้ามพวกเขาพูดเสียหน่อย มีคนคิดอยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ ความวุ่นวายของท่านอ๋องแปดเป็นเรื่องจริง ย่อมกล้าพูดเป็นธรรมดา”

“มิน่าล่ะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่า ท่านอ๋องแปดถูกบังคับกระทั่งหมดหนทาง พวกเขาไม่มีแม้แต่หนทางเอาชีวิตรอด

“ท่านอ๋อง จริง ๆ แล้วการรู้จักท่านอ๋องแปดถือว่าไม่เลวเลย อย่างน้อยท่านก็ยังมีเวลาเตรียมตัว ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้ท่านอ๋องก็ไม่ได้ทำอะไรพวกท่าน ข้าว่า พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น

หนานกงเย่จึงเอ่ยถาม : “แล้วอย่างไร?”

“เมื่อครั้งท่านอ๋องยังวัยเยาว์เป็นดั่งนกอินทรีหนุ่มที่มีปีกอันทรงพลัง หากคิดฆ่าช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด พวกเขายังไม่พบโอกาสที่ดีที่สุด บัดนี้เจอแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

“ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็เถอะ แต่สุดท้ายข้าก็เด็กเกินไป พวกเขาไม่มีเวลา ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ประกอบกับที่ตอนนั้นพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงพลังชีวิต จึงสร้างโอกาสให้แก่ข้า

บัดนี้หากไม่ใช่เพราะข้าตัดหญ้าถอนโคน พวกเขาก็คงจะตัดหญ้าถอนโคนข้าเช่นกัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องยังรออะไรอีกละเจ้าคะ?”

“รอโอกาสเข้าไป พวกเขาไม่มีหลักฐาน ทั้งยังมีจิตใจโหดเหี้ยม ไม่เพียงแต่จะแทรกคนเข้าไปในไส้ศึกในวังไม่น้อยแล้ว แม้แต่ว่าข้างกายข้าไม่มีใครก็ใช่ว่าจะไม่มี

บัดนี้ฮองเฮานับว่าเป็นคนหนึ่ง แต่ฝ่าบาทกลับไม่ห่างจากนางแม้ก้าวเดียว

ข้าต้องหาเบาะแสของพวกเขาให้จงได้ และค่อย ๆ ทำลาย

คนที่พวกเขาต้องการปกป้อง คือคนที่ข้ากำลังตามหา

ข้าแค่เดาไม่ออก ว่าใครคือคนผู้นั้น”

“ไม่ใช่คนในอาณัติของท่านอ๋องแปดหรอกนะเจ้าคะ?”