หนานกงเย่ส่ายหน้า : “ไม่ใช่ น่าจะเป็นคนในรุ่นเดียวกับข้า น่าเสียดายที่พวกเขาลงมือได้อย่างไร้ที่ติ หากข้าหาเบาะแสบางอย่างได้ พวกเขาจะต้องพาคนที่เจอมาให้ข้าประหารอย่างแน่นอน เพื่อปกป้องตนเอง
ข้าหมดปัญญาที่จะหาต่อ คนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็อาจจะเป็นไปได้ คนที่น่าเป็นไปได้ก็อาจจะเป็นไปได้ หาไม่เจอง่าย ๆ หรอก
ท่านอ๋องแปดได้ฝึกฝนคนรุ่นต่อไป หนึ่งในคนเหล่านี้ได้รับการอบรมให้สามารถควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง คนผู้นี้จึงเป็นคนที่ข้าตามหา
แม้ว่าแมลงร้อยขาต่อให้ตายก็ไม่มีวันล้ม แต่ก็ไม่มีหัว เขาเป็นแมลงที่รอวันตายตัวหนึ่งเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นหดหู่ใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แค่ข้ามเวลามา ต้องวางแผนทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ราวกับออกรบอย่างไรอย่างนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ดึกมาแล้วเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปหาหัวแมลงนั้นอีกนะเจ้าคะ”
“อื้อ”
เช้าวันที่สองฉีเฟยอวิ๋นได้รับข่าวจากจวนอ๋องตวน บอกว่าพระชายาตวนเชิญนางไปตรวจดูอาการในจวน
ฉีเฟยอวิ๋นพากล่องยาไปด้วย และตรงไปยังจวนอ๋องตวน
วันนี้จวินฉูฉู่มายืนรอฉีเฟยอวิ๋นอยู่หน้าประตู ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าก็เห็นจวินฉูฉู่ยืนรออย่างสง่างามอยู่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นนางก็พยักหน้าเล็กน้อย : “เจ้ามาแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจวินฉูฉู่จะวางอุบายอะไรอีก แต่ที่แน่ ๆ บรรยากาศโดยรอบเริ่มร้อนระอุขึ้นมาแล้ว
“เจ้าให้คนไปเรียกข้ามารตรวจดูอาการ เมื่อวานเจ้ากินยาแล้วใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นถามตรงประเด็น พลางเดินเข้าไป
จวินฉูฉู่กล่าวว่า : “กินแล้ว วันนี้มือเท้าของข้าเริ่มดีขึ้นมากแล้ว”
“ฉะนั้นที่เจ้าเรียกข้ามา ก็เพื่อให้ข้ามาดูอาการเจ้าใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดได้
“ไม่ใช่แค่เรื่องกินยา ยังมีอีกเรื่อง เมื่อวานข้าส่งคนกลับจวนราชครูจวินไปแล้ว มามาที่ทำหน้าที่ดูแลข้าบอกว่า จริง ๆ แล้วตอนข้าหกขวบข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าได้รับการฝึกวรยุทธ์เมื่อครั้งข้าหกขวบ ท้องของข้าถูกไม้ตะบองฟาด บาดเจ็บราวครึ่งเดือน เดิมทีข้าคิดว่าต้องตายเป็นแน่ หมอได้ตรวจอาการข้าอีกครั้ง ผลปรากฏว่าผ่านไปครึ่งเดือนข้าไม่เป็นอะไรเลย”
“เช่นนั้นก็ไม่ต่างกัน น่าจะประมาณหกเจ็ดขวบ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจจะเฉลิมฉลองอะไรกับจวินฉูฉู่ นอกจากตั้งใจร่ำเรียนการแพทย์เท่านั้น
“เชิญพระชายาเย่”
จวินฉูฉู่เชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปยังตำหนักฉู่เซวียน
หลังจากที่ตรวจอาการให้แก่จวินฉูฉู่แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวขึ้นว่า : “เจ้าต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเตรียมจะเดินจากไป แต่จวินฉูฉู่กลับลุกขึ้นยืน : “พระชายาเย่ได้โปรดช้าก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักลง จากนั้นก็หมุนตัวไปมองจวินฉูฉู่ ในตอนนั้นจวินฉูฉู่ได้หยิบกล่องใบหนึ่งให้แก่ฉีเฟยอวิ๋น : “นี่คือของที่ข้าอยากมอบให้เจ้า ข้าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณ จึงอยากให้เป็นสินน้ำใจแก่เจ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังกล่องใบนั้นแวบหนึ่ง : “ข้าคงรับของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้ หากเจ้ารู้สึกไม่ดีที่ติดหนี้ข้า ให้เงินเถอะ ข้าชอบเงินมากกว่า ไม่ต้องมากมาย ข้าออกตรวจก็หนึ่งพันตำลึง ก็พอแล้ว”
“หนึ่งพันตำลึง?” จวินฉูฉู่ตื่นตกใจ : “เจ้ารีดไถข้าหรือ?”
“หรือพระชายาตวนคิดว่าแค่หนึ่งพันตำลึงไม่คุ้มค่าพอ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากตำหนักฉู่เซวียน นางกล่าวต่อว่า : “หากตัดใจไม่ได้ก็ช่างเถอะ ข้ามาตรวจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหลังจวินฉูฉู่ออกมา กล่องที่อยู่ในมือวางลงบนมือของฉีเฟยอวิ๋น : “เงินไม่ใช่ปัญหา สิ่งนี้คือความตั้งใจของข้า เจ้าอย่าได้ทอดทิ้งมันเลย”
จวินฉูฉู่หมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนักฉู่เซวียน ฉีเฟยอวิ๋นมองกล่องใบนี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็เปิดดู พบว่าเป็นที่กลัดผมไข่มุกชิ้นหนึ่ง จึงหยิบออกมาดู ไข่มุกสองสามเม็ดด้านบนงดงามไร้ที่ติ เป็นของดีเสียด้วย น่าเสียดายที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ชอบ สุดท้ายก็มองหาที่ว่าง และวางที่กลัดผมไว้ด้านข้าง
นางไม่ต้องการ ใครชอบก็เอาไป
ฉีเฟยอวิ๋นกลับจากจวนอ๋องตวน นางนั่งอยู่ในรถม้าเพียงลำพัง อาอวี่บังคับรถม้าอยู่ด้านนอก ระหว่างนั้นฉีเฟยอวิ๋นเกิดรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย จนกระทั่งถึงจวนอ๋องเย่ อาอวี่จึงเรียกฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า แต่บนรถม้ากลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ อาอวี่รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงกระโดดขึ้นไปบนรถม้าและเปิดม่านออก พบว่าฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่ในรถม้า บนรถม้าเต็มไปด้วยคราบเลือด
“พระชายา” อาอวี่ตื่นตกใจสุดขีด ไม่กล้าแตะต้อง
จากนั้นอาอวี่ก็หมุนตัววิ่งออกจากรถม้าไปเรียกคนที่อยู่ในจวน เมื่อคนในจวนออกมา อาอวี่ก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในจวนอ๋องเย่ทันที
เมื่อพ่อบ้านอาวุโสเห็นเลือดก็ตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก : “ท่านอ๋อง ไปตามท่านอ๋องมาเร็วเข้า”
คนที่อยู่นอกจวนวิ่งไปหาหนานกงเย่ด้วยความตื่นตระหนก เมื่อหนานกงเย่ผลักประตูเข้ามา บนร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นก็เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดจำนวนมากแล้ว หมอประจำจวนไม่สนว่าเด็กในครรภ์จะไหลออกมาหรือไม่ เขาเชื่อว่าฉีเฟยอวิ๋นจะต้องไม่เป็นอะไร หากเป็นอะไรชีวิตของเขาคงจบสิ้นแน่
หนานกงเย่เข้ามาด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง จากนั้นก็เรียกชื่ออวิ๋นอวิ๋นพลางรีบวิ่งเข้าไปหา กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับมองไปบนร่างกายของนาง เสื้อผ้าสีขาวถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง น่ากลัวยิ่งนัก
หมอประจำจวนรีบกล่าวว่า : “ท่านอ๋องได้โปรดวางใจ นางจะต้องไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
หงเถาและลี่ว์หลิ่วตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หนานกงเย่เชื่อว่านางจะต้องไม่เป็นอะไร แต่เขาก็ยังเป็นกังวล
หนานกงเย่โบกมือ ทุกคนจึงออกไป ประตูถูกปิดลงหนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาจากเตียง เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ใบหน้าที่ซีดเผือดของฉีเฟยอวิ๋นพิงไหล่ของหนานกงเย่ เขาพยายามฝืนยิ้ม ยิ้มอย่างชั่วร้ายอย่างผิดปกติ ดวงตาของเขาเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา
“ข้าจะฆ่าพวกเขา ฆ่าทุกคน อวิ๋นของข้าถึงจะปลอดภัย”
หัวคิ้วของฉีเฟยอวิ๋นขยับเล็กน้อย พยายามจะตื่น น่าเสียดายที่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง
นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย ล้วนถูกบิดไปทุกส่วน
ฉีเฟยอวิ๋นปวดร้าวจนแทบจะไร้ความรู้สึก
แต่นางคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว คือต้องปกป้องลูกของนาง
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น ฉีเฟยอวิ๋นถูกกอดนานหลายชั่วยาม จึงค่อย ๆ อุ่นขึ้นเล็กน้อย
หนานกงเย่ลูบอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็วางนางลง
“ทหาร ไปจวนอ๋องตวน เชิญท่านอ๋องตวนและพระชายาตวนมาเดี๋ยวนี้ นำตัวพระชายารองอวิ๋นมาด้วย”
หนานกงเย่ในชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อน เวลานี้เปื้อนไปด้วยเลือดกว่าครึ่ง อาอวี่ที่อยู่ด้านนอกรีบน้อมรับคำสั่งไปจัดการทันที
ท่านอ๋องตวนถูกเชิญตัวระหว่างทาง
คนในจวนกั๋วกงรวมทั้งแม่นมเว่ยอยู่เป็นเพื่อนกับอวิ๋นหลัวฉวน ส่วนคนอื่นไปเป็นเพื่อนจวินฉูฉู่
จวินฉูฉู่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น อย่างมากก็แค่โดนฉีกหน้า จะทำอะไรได้?
ทุกคนมาถึงสวนดอกกล้วยไม้ ประตูเรือนของฉีเฟยอวิ๋นถูกเปิดออก หนานกงเย่ในชุดที่เปื้อนไปด้วยเลือดได้เดินออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ท่านอ๋องตวนตื่นตกใจ จนอดถามไม่ได้ : “เจ้าเป็นอะไร?”
หนานกงเย่เอามือไขว้หลัง ใบหน้าเย็นยะเยือก : “วันนี้อวิ๋นอวิ๋นไปทำการตรวจร่างกายให้แก่พระชายาตวนถึงจวนอ๋องตวน ตอนไปนางยังแข็งแรง แต่ระหว่างทางกลับมาดันเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เลือดที่เปื้อนอยู่บนร่างกายของข้าคือเลือดจากในท้องของนาง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงอยากไถ่ถามพระชายาตวน เลือดของนางที่เปื้อนอยู่บนตัวข้าเกิดอะไรขึ้น?”
จวินฉูฉู่เพิ่งเคยเห็นใบหน้าเช่นนี้ของหนานกงเย่เป็นครั้งแรก โหดร้ายราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคน น่าหวาดกลัวมากยิ่งนัก
จวินฉูฉู่หวาดกลัวเล็กน้อย พร้อมถอยหลังหนึ่งก้าว : “ท่านอ๋องเย่ชักจะล้อหม่อมฉันเล่นเกินไปหน่อยนะเพคะ”
“ล้อเล่นรึ? ข้าล้อเล่นตอนไหนไม่ทราบ? อุบายของพระชายาตวนเป็นเช่นนี้ ข้าจึงมองไม่เห็น
อาอวี่บอกว่าเจ้ามอบกล่องใบหนึ่งให้แก่อวิ๋นอวิ๋น ด้านในคือที่กลัดผม จึงเกิดสงสัย เข็มกลัดชิ้นนั้นไม่มีแล้ว อวิ๋นอวิ๋นก็มาสลบไสลไม่ได้สติ ไม่มีหลักฐาน ข้าไม่มีขุนนางติดตัว ย่อมทำอันใดเจ้าไม่ได้”
สีหน้าของท่านอ๋องตวนค่อย ๆ เคร่งขรึมลง : “ฉูฉู่ ฝีมือเจ้ารึ?”
“ท่านอ๋อง ฉูฉู่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรละเพคะ หลักฐานก็ไม่มี นี่ไม่เป็นการใส่ร้ายหน่อยหรือ? ท่านอ๋อง หรือท่านไม่เชื่อฉูฉู่หรือเพคะ?” จวินฉูฉู่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ท่านอ๋องกุมมือนาง และมองไปยังหนานกงเย่ เขาเองก็ลำบากใจมากเช่นกัน
“เรื่องนี้อาจมีการเข้าใจผิดก็ได้?”
หนานกงเย่เดินออกไป เขาไม่อยากกล่าวอะไร เขาอยากจะฆ่าคน
จวินฉูฉู่เดินถอยหลัง : “ท่านอย่าเข้ามา อย่าเข้ามานะเพคะ”
“อาอวี่ ไปเอาดาบของข้ามา” หนานกงเย่เดินบีบเข้าไปทีละก้าว จวินฉูฉู่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
อาอวี่โยนดาบให้แก่หนานกงเย่ เขาถือมันด้วยมือข้างเดียว
“ระหว่างข้ากับเจ้าต้องตายกันไปข้าง วันนี้เจ้ากับข้าต้องตายกันไปข้าง”