หากจะคิดขึ้นมาแล้วนั้น ที่จริงทั่วป๋าหรงเหยาไม่ได้โง่เขลานัก
อันที่จริงแผนการของนางและฮั่วกังล้วนวางหมากได้ดีทุกย่างก้าว นางยังแอบดีใจว่าตนเองนั้นใกล้จะทำสำเร็จแล้ว จนกระทั่งฉู่อี้เจี่ยนและฉู่ฉีเฟิงจับตัวเอาไว้ นางก็ยังไม่ได้สงสัยอันใด ทว่าระหว่างเดินทางกลับมาเมืองหลวงนางกลับคิดตกแล้ว…
ต่อให้แผนการที่นางวางไว้จะละเอียดรอบคอบเพียงใด นางถือดีอย่างไรว่าจะควบคุมฮ่องเต้เอาไว้ได้?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่ฉู่ฉีเฟิงจัดการเรื่องนี้…
แม้เขาจะยินยอมให้ฉู่สวินหยางไปสะสางความแค้นกับฮั่วกัง แต่การเดินทางไปราชการครั้งนั้นกลับเหมือนกับการแสดงฉากหนึ่ง เขาแสดงท่าทีจงรักภักดีต่อแคว้นตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องใดล้วนคิดถึงฮ่องเต้เป็นหลัก
หากในยามนั้นฮ่องเต้ถูกตนควบคุมเอาไว้จริงๆ หากเขาต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว ฉู่ฉีเฟิงและคนพวกนั้นใยต้องทำเช่นนี้?
ดังนั้น…
ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดมีเพียงอย่างเดียว…
คือไม่ได้เกิดเรื่องอันใดกับฮ่องเต้ เขาเพียงแต่ให้ความร่วมมือกับตนเท่านั้น เพื่อจะบรรลุวัตประสงค์บางอย่างเท่านั้น
เมื่อนางคิดตกถึงเรื่องราวทั้งหมด ทั่วป๋าหรงเหยาจึงหัวใจสลายดังเถ้าธุลี นางละทิ้งโอกาสสุดท้ายในการร้องขอชีวิต…
ไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยนางเอาไว้
“เจ้าโทษเจิ้งไม่ได้ เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเจ้าเองที่รนหาที่” ถึงเวลานี้ในที่สุดฮ่องเต้จึงตรัสขึ้นด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใดๆ สายตาของเขาจ้องมองทั่วป๋าหรงเหยาอย่างเย็นชา ชิงชังยิ่งนักที่ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ทั้งเป็น
ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของฮ่องเต้ที่ถูกลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ ผู้หญิงของเขา ชายาของเขา กลับมีร่างกายที่มีราคีมาก่อน สวมหมวกเขียว[1] ให้เขาอย่างเปิดเผย
ตั้งแต่นาทีที่รู้เรื่องนี้ เขาแทบจะทนไม่ไหวที่จะฆ่าหญิงสาวที่น่ารังเกียจนี้ให้ตาย
แต่เขาจะให้นางเอาเปรียบเขาเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนให้นางคลอดก่อนกำหนด ในขณะเดียวกันก็ปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ออกไป และให้คนส่งข่าวไปยังโม่เป่ย
เขากำลังวางเดิมพัน พนันว่าทั่วป๋าไหวอันอาจจะรำลึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า มารับทั่วป๋าหรงเหยา
เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่เพียงแต่จะล้างอายให้กับตนเองได้ ทั้งยังยิงธนูครั้งเดียวได้นกสองตัวยึดโม่เป่ยมาเป็นของตนด้วย
เพื่อแผนการนี้ เขาจึงยอมเสี่ยงอันตรายโดยไม่เสียดายตน บีบให้ทั่วป๋าหรงเหยาถึงทางตัน
แผนการของเขาที่จริงรอบคอบทุกย่างก้าว คาดไม่ถึงว่าเมื่อถึงสุดท้ายทุกอย่างกลับสูญเปล่า…
ผู้ที่ปรากฏตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอัน กลับเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ไม่รู้จักหนักเบา
กลับไม่ได้อะไรกลับมา เวลานี้ในอกของเขายิ่งเคียดแค้นชิงชัง ได้แต่นำความโกรธเกรี้ยวโยนทั้งหมดทั้งมวลลงที่ทั่วป๋าหรงเหยา
หลังจากทั่วป๋าหรงเหยาคิดตกและล่วงรู้ถึงแผนการของเขาก็ไม่คิดจะร้องขอชีวิตนานแล้ว ได้แต่หลับตาลง หัวเราะอย่างโศกเศร้า “เมื่อแรกนั้นหม่อมฉันยังเยาว์ไม่รู้ความ เรื่องที่ผิดไปแล้วไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ แต่ตั้งแต่เข้าวังมาหม่อมฉันได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจปรนนิบัติฝ่าบาท ไม่เคยมีใจคิดเป็นอื่น ฝ่าบาทรู้ทั้งรู้ว่าเด็กในท้องของหม่อมฉันเป็นเลือดเนื้อไขของพระองค์ แต่เพียงเพราะร่างกายของหม่อมฉันมีราคีมาก่อน จึงลงมืออย่างเหี้ยมโหด แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็สังหารได้หรือ?”
เมื่อพูดถึงสุดท้าย น้ำเสียงของนางกลับเย็นชาขึ้นทันใด
ริมฝีปากของฮ่องเต้ปรากฏเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอันเย็นชา ทว่ากลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “ลูกหลานของข้าเต็มบ้านเต็มเมือง ข้าไม่ต้องการสายเลือดที่มีเลือดชั่วแปดเปื้อน เมื่อเจ้าเข้าวังมาไม่ได้มีแผนการอันใดหรือไร? พูดเช่นนี้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะเชื่อ? หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักและโม่เป่ยแล้วละก็ เจ้าย่อมถูกกำจัดทิ้งในสถานที่ที่ไม่มีใครไปเก็บกวาดได้นานแล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายได้นานเช่นนี้หรือไร?”
เมื่อแรกที่ทั่วป๋าหรงเหยาเข้าวังมานั้น นางมาอย่างมีจุดประสงค์ เพียงแต่ภายหลังฮ่องเต้มีความคิดที่จะรวบโม่เป่ย ทั้งยังมีเรื่องวิวาทกับทั่วป๋าไหวอันจนกระทั่งไม่สามารถคลี่คลายความบาดหมางระหว่างกันได้ ดังนั้นหมากดีๆ ที่อยู่ในมือเช่นทั่วป๋าหรงเหยาจึงหมดค่าไปด้วย
การพูดจาระหว่างฮ่องเต้และนาง ต่างไม่เหลือโอกาสให้อีกฝ่าย
ริมฝีปากของทั่วป๋าหรงเหยาขยับราวกับจะพูดจา ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอันใดไม่ออกเพราะกินปูนร้อนท้อง
“ข้าไม่เลี้ยงผู้ที่ไร้ประโยชน์ไว้ข้างกาย ในเมื่อสุดท้ายเจ้าไม่มีแม้แต่ประโยชน์ที่จะใช้สอยได้ ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อไป” สายตาของฝ่าบาทเลื่อนออกจากตัวนาง เบี่ยงตัว เดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลังด้วยสีหน้าเย็นชาท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ทรงรับสั่งอย่างเย็นชาว่า “จัดการให้สะอาดเรียบร้อยเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์สองนายที่ติดตามมา อยู่ที่นี่เพื่อจัดการเรื่องในภายหลัง
หลี่รุ่ยเสียงเดินตามฮ่องเต้ออกไปด้านนอก
“ข่าวที่แพร่ออกไปเจ้าจะพูดอย่างไร?” ฮ่องเต้เดินไปด้วยถามไปด้วย
“เรื่องที่ฝ่าบาทถูกพาตัวออกจากวังนั้นมีเพียงองค์รัชทายาทและท่านอ๋องเพียงไม่กี่ท่านที่ร่วมช่วยเหลือเท่านั้นที่รู้ความจริง ทางด้านราชสำนักได้บอกไปว่ามีผู้บุกรุก ทำให้ฝ่าบาทท่านได้รับความตระหนกตกใจจึงไม่ได้ร่วมประชุมเช้าพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว “องค์รัชทายาทได้กำชับเอาไว้แล้ว และได้พูดกับท่านอ๋องทั้งหลายเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ให้ผู้ใดแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป สำหรับทางหรงเฟยนี้…นางเสียเลือดมากเกินไปจากการให้กำเนิดบุตรจึงเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกพระชายาของตนเองจับกุมตัวออกจากวัง หากถูกแพร่งพรายออกไปต้องเป็นเรื่องน่าขันในใต้หล้า
ดังนั้นความจริงของเรื่องนี้จะต้องถูกฝังเอาไว้
หลี่รุ่ยเสียงจัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยเสมอมา ฮ่องเต้ไม่ถามให้มากความ
เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทมของฮ่องเต้ หลี่ลุ่ยเสียงจึงเพิ่งนึกขึ้นได้บางอย่าง อดไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท เรื่องหรงเฟยนั้นไม่อาจเปิดเผยได้ หากเป็นเช่นนี้ญาติทางฮั่วกังเกรงว่า…”
ทั่วป๋าหรงเหยาและฮั่วกังนั้นถือเป็นคนๆ เดียวกัน ทันทีที่สอบสวนเอาโทษฮั่วกัง ย่อมทำให้ผู้คนคาดเดาต่างๆ นานา
แม้เขาจะได้เตรียมตัวมาโดยตลอด ไม่ให้ชีวิตของตนถูกคนทั้งสองข่มขู่ แต่อย่างไรเสียก็ยังคงโมโหอยู่นั่นเอง
“บ่าวได้ไปสืบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงสวินหยางได้ตามไปทุบตีฮั่วกังนั้น ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งท่านหญิงสวินหยางได้รับอันตรายที่แคว้นฉู่นั้นเป็นเพราะถูกฮั่วกังคิดบัญชีพ่ะย่ะค่ะ แล้วยังมีเรื่องของหลัวอี้ ใต้เท้าหลัว ดูเหมือนก็ใช่ด้วย…” หลี่ลุ่ยเสียงนำเรื่องราวที่ตนสืบมาได้เล่าให้ฝ่าบาททราบอย่างละเอียด
สายพระเนตรของฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
เขานั้นปล่อยวางความโกรธเกรี้ยวนี้ไม่ลงจริงๆ แต่สุดท้ายกลับหลับตาลงอย่างเคียดแค้น พยายามที่จะใช้สติในการควบคุมจิตใจ กล่าวอย่างจนใจว่า “ก็เป็นเพียงครอบครัวที่มีเพียงเด็กเล็กและสตรีอ่อนแอ เอาไว้ก่อนเถิด”
ไม่ต้องรีบเร่งในคราเดียว เขาอยากให้ใครตาย มีวิธีการมากมายนัก
———————————————————-
[1] หมายถึงคู่สามีภรรยาที่คู่ของตนคบชู้