เมื่อฉู่สวินหยางออกจากจวนสกุลเฉินนั้นก็เป็นยามสามเกิงแล้ว
เจี๋ยหงประคองนางที่สวมเสื้อคุลมกันลมกำลังจะขึ้นรถม้า พร้อมกับรายงานเหตุการณ์อย่างสั้นๆ ว่า “ท่านหญิง ท่านอ๋องมีข่าวให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ เป็นไปอย่างที่คาดไว้จริงๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นละครฉากหนึ่งที่ฝ่าบาทวางแผนการด้วยตนเองแล้วยังลงมาแสดงเอง ยามหัวค่ำหรงเฟยได้ถูกประทานความตายแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ สินะ” ฉู่สวินหยางยกยิ้มมุมปาก ย่างก้าวพลันหยุดชะงัก จากนั้นจึงค่อยเดินหน้าต่อไป “มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังคงไม่ยอมวางมือจากโม่เป่ยจริงๆ”
เดิมทีฮ่องเต้นั้นเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ การที่เขาไม่ละเว้นทั่วป๋าหรงเหยาเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว ซ้ำยังมีความคิดจะยึดโม่เป่ยในคราเดียวกัน?
“ดูแล้วเขาน่าจะแก่แล้วจริงๆ กลับคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ จึงได้เลอะเลือนถึงเพียงนี้” ฉู่สวินหยางกล่าว และทอดถอนใจ
น้ำเอียงอ่อนเบานั้นไม่ได้มีความรู้สึกสับสนยุ่งยากใดๆ
เฉี่ยนลวี่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเปิดประตูรถม้า
ฉู่สวินหยางถูกเจี๋ยหงประคองขึ้นรถม้า ทว่ากลับรู้สึกตาพร่า
หันกลับมา เห็นในตรอกด้านนอกมีแสงจากคบไฟส่องสว่าง มีคนขบวนหนึ่งที่ไม่นับว่าใหญ่นักกำลังเดินเข้ามา
สายตาของเจี๋ยหงเต็มไปด้วยความสงสัย จ้องมองไปข้างหน้า กล่าว “ดูเหมือนจะเป็นราชรถขององค์รัชทายาทหนานฮวาเพคะ”
“เฟิงเหลียนเซิ่ง?” ริมฝีปากของฉู่สวินหยางโค้งลง หยุดการก้าวเดิน
ขบวนของเฟิงเหลียนเซิ่งครั้งนี้ไม่นับว่าใหญ่ เขาเพียงนำพาคนมาหนึ่งกลุ่มราวๆ สิบกว่าคน องครักษ์และราชรถหยุดอยู่ปากตรอก
“ท่านหญิง ฝ่าบบาทของข้าน้อยเรียนเชิญขอรับ” หลี่เหวยพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินเข้ามารายงาน
ฉู่สวินหยางมองผ่านเขาไป มองไปยังรถม้าคันนั้น
ผ้าโปร่งหลายชั้นที่ปลิวสะบัด มองให้เห็นร่างของผู้ที่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งในรถคันนั้น
ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยวาจาตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ
หลี่เหวยเองไม่รู้ว่าจะเร่งอย่างไร ขณะที่เขากำลังลำบากใจ คนที่อยู่บนรถม้ากลับยกมือขึ้นเปิดผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่ง ปรากฏให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ซีดขาวและเย็นชา
“อย่างไรเล่า เปิ่นกงมาเชิญด้วยตนเอง ทำขนาดนี้แล้วท่านหญิงจะไม่ให้หน้าหรือไร?” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าว น้ำเสียงนั้นฟังแล้วเรียบเรื่อยเย็นชายิ่งนัก ไร้ซึ่งความเป็นมิตร
ขณะที่พูด สายตาของเขาแอบๆ กวาดมองไป มองเรือนของจวนสกุลเฉินครั้งหนึ่ง
ฉู่สวินหยางอยู่ที่นี่จนดึกดื่นไม่ยอมกลับ…
เรื่องส่วนตัวของนางนั้นเขารู้ดียิ่ง แต่มีเรื่องบางเรื่องนั้นไม่สามารถรับได้ ต้องทำการแก้ไขและอธิบาย
ฉู่สวินหยางมองตามสายตาของเขาไป ในใจนั้นครุ่นคิด
เมื่อเห็นดวงตาของนางทอประกาย เจี๋ยหงร้อนใจ กำลังจะเอ่ยวาจาออกไป ฉู่สวินหยางเดินขึ้นไปหนึ่งแก้วเสียแล้ว แต่ละย่างก้าวที่เดินไปยังรถม้าของเฟิงเหลียนเซิ่งนั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
ขาของนางได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดีนัก การเดินเหินเคลื่อนไหวยังไม่ค่อยสะดวกนัก ถูกเจี๋ยหงและชิงเถิงประคองด้านซ้ายและด้านขวา ท่าทางเช่นนั้น…
กลับทำให้นางดูอ่อนแอลงหลายส่วน เมื่อไปแล้วราวกับได้เห็นหญิงสาวจากสกุลสูงศักดิ์
เฟิงเหลี่ยนเซิ่งเห็นอยู่ในสายตา กลับส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา แล้วเคลื่อนย้ายสายตาไปทางอื่น…
ตัวตนจริงๆ ของสาวน้อยนางนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ เขาได้รับบทเรียนมาไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้งแล้ว
ฉู่สวินหยางไม่เกรงกลัวอันใด เดินตรงขึ้นไปบนรถม้าของเขา
ทันทีที่หลี่เหวยโบกมือ นำคนทั้งหมดกลับไปอีกทิศทางหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง
ฉู่สวินหยางขึ้นรถม้าไปแล้ว เห็นเฟิงเหลียนเซิ่งสวมเพียงเสื้อบางๆ ตัวหนึ่งเอนกายอยู่บนตั่ง เหลือที่นั่งบนตั่งมุมหนึ่งไม่กว้างนักออกมา จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นแก่หน้าใดๆ “องค์รัชทายาทกำลังแกล้งป่วย ร่างกายเปิ่นกงได้รับบาดเจ็บจริงๆ และเป็นท่านที่เป็นฝ่ายมาเชิญข้า และมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้…”
นางพูดแล้ว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันมองตั่งตัวที่เฟิงเหลียนเซิ่งเอนกายอยู่ “ท่านควรจะเว้นที่ให้เปิ่นกงหรือไม่?”
หลายวันมานี้ได้แต่แกล้งป่วยเพื่อหลบลี้หนีหน้าอยู่ในเรือน เดิมทีในใจของเฟิงเหลียนเซิ่งนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ นี่ยังไม่สามารถหาที่ระบายอารมณ์ได้ กลับถูกคำพูดของนางจี้ใจดำ ทำให้อึดอัดขัดข้องขึ้นมาในพริบตา สีหน้าซีดขาวของเขาพลันเปลี่ยนเป็นดำทะมึน
ฉู่สวินหยางกลับไม่รู้สึกอันใด กลับมองเขาด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
รถม้าที่เดินอยู่โยกไปโยกมา
ต่อให้อารมณ์ในใจจะรุนแรงปานใด แต่เฟิงเหลียนเซิ่งยังเป็นคนที่พอจะมีมารยาทอยู่บ้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เขาควบคุมอารมณ์ได้แล้ว จึงนั่งตัวตรงขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา เว้นที่บนตั่งออกมากว่าครึ่ง
ฉู่สวินหยางไม่ได้เกรงอกเกรงใจอันใด เดินข้ามไป นั่งลงอย่างสบายๆ
เฟิงเหลียนเซิ่งมองมาอย่างเย็นชา ใช้เพียงหางตามองดูนาง พูดด้วยน้ำเสียงมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ว่า “เรื่องเมื่อสองคืนก่อน เจ้าควรจะให้คำอธิบายแก่เปิ่นกงหรือไม่?”
“คำอธิบาย? อธิบายอันใด?” ฉู่สวินหยางถามกลับ กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น “ข้าให้คนเปิดประตูลับของโรงเตี๊ยมให้องค์ชายหกออกมา และเขาได้มาหาข้าด้วยเรื่องนั้นแล้ว เวลานี้อย่างไรก็ไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะมาสอบถามเรื่องเหล่านี้? เท่าที่ข้ารู้มา ท่านกับน้องหกของท่านผู้นั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องลึกซึ้งอันใดต่อกัน”
เฟิงเหลียนเซิ่งเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ดังนั้นจึงทำให้โรงเตี๊ยมถูกปิดล้อม นี่เป็นฝีมือของเขาที่วางแผนเองแสดงเอง เพื่อจะยืมโอกาสจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของซีเยว่
ฝ่าบาทถูกลักพาตัว เมืองหลวงวุ่นวาย
เขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทต่างแคว้น ในฐานะแขก ไม่ใส่ใจอันใด หากว่าไปแล้ว หากเขาเข้าไปมีส่วนรู้เห็นด้วย…
เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาภายหลัง
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเหมาะสมยิ่งไปกว่าการเอาตัวเองออกมาจากเหตุการณ์ทั้งหมด
เฟิงเหลียนเซิ่งได้ยินคำพูดของนาง แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความเยียบเย็นขึ้นอีกหลายส่วน กัดฟันพูดว่า “ที่แท้เป็นเจ้า”
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้ว มองตอบด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งชนักติดหลัง
เฟิงเหลียนเซิ่งมองแววตาของนาง มือที่อยู่ในแขนเสื้อนั้นกำเป็นหมัดแน่น จ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกลับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะฮั่วกังป่วยหนักแล้วไปหาหมอเลอะเทอะ ถูกสายลับของฮ่องเต้จับได้ว่าสมคบคิดกับหรงเฟย ครั้งนี้เดิมทีเจ้าคิดจะหลอกใช้เจ้าหกเพื่อจะลงโทษเขาอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
องค์ชายหกไม่มีฐานกำลังที่ซีเป่ย ต่อให้มีองครักษ์ลับติดตามเขาเข้ามาในเมืองหลวง แต่ในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเขากลับถูกลักพาตัวไปอย่างไร้ร่องรอย…
นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
พูดออกไป ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางเชื่อ
ดังนั้นหากทำการสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป ย่อมกลายเป็นว่าเขามีสายอยู่ข้างในเป็นแน่
—————————