ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 29 สายพิณจังหวะเร่งเร้า (5)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

พวกฉู่เหล่ยทั้งสามอึ้งอยู่นานกลางท้องฟ้า ฉู่อิ่งหงได้สติคนแรกรีบพุ่งลงไป เหอหยางเห็นฉู่เหล่ยสีหน้าซีดราวกระดาษขาว รู้ว่าเรื่องนี้สะเทือนใจเขาอย่างมาก

 

 

ฉู่เหล่ยในฐานะเจ้าสำนักเส้าหยาง ได้รับความยำเกรงจากทุกคนอย่างยิ่ง ราวกับแต่ไรมาไม่เคยมีใครต่อต้านเขา เขาตั้งใจบำเพ็ญเซียนมาแม้ว่าไม่มาก แต่ก็หยั่งรากมั่นคง นำพาสำนักเส้าหยางจนมีชื่อเสียง เกือบทั้งชีวิตไม่เคยเจออุปสรรคคลื่นลมใหญ่

 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าระยะนี้เขาถูกกระทบกระเทือนหนักมาก เริ่มจากบุตรสาวคนหนึ่งกลายเป็นราวกับคนไร้ชีวิต ต่อมาถูกมารปีศาจบีบคั้นกดดันอีก สำนักเส้าหยางจะก้าวพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้หรือไม่ก็พูดยาก ยามนี้บุตรสาวกับศิษย์รักอีกคนก็ไปรนหาที่ตายที่เขาปู้โจวซาน รั้งก็รั้งไม่อยู่

 

 

เหอหยางคิดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ส่ายหน้าไม่กล่าวอันใด

 

 

ฉู่อิ่งหงพลันร้องเรียก “ศิษย์พี่ เจ้าสำนัก! พวกท่านรีบมาดูเร็ว!”

 

 

ฉู่เหล่ยหน้าบึ้งมองไปยังแท่นบูชาเทพ เห็นเพียงวงแสงเทียนหน้ากระถางที่ฉู่อิ่งหงชี้ไป สีหน้าไม่เข้าใจ กล่าวว่า “เจ้าสำนัก ท่านดู…นี่คืออะไร?”

 

 

ฉู่เหล่ยก้มลงไปหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมา ใช้นิ้วมือค่อยๆ ถูไปมา พลิกดูด้านบนสลักวันเดือนปีและเวลาเกิดไว้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “อืม…อันนี้ เหมือนว่าเป็นเทียนที่ทำแบบวิธีโบราณกาล”

 

 

ฉู่อิ่งหงหยิบเล่มหนึ่งวางบนฝ่ามือ แสงเทียนกระตุกวูบไหว ลมพัดมาเป็นระยะ แต่ถึงกับเป่าไม่ดับ

 

 

“ข้ารู้ว่าเทียนเป็นสูตรลับที่ใช้ชาดแดงกับเลือดสุนัขดำผสมขึ้น…แต่ แท้จริงไว้เพื่อการใด?”

 

 

ฉู่เหล่ยส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่กระจ่าง”

 

 

เหอหยางเดินเข้ามา มองไปมากล่าวเบาๆ ว่า “นี่คือเครื่องลงคาถาที่มีลงวันเดือนปีเกิด แทนชีวิตเด็กพวกนั้นที่มีชีวิตในโลกมนุษย์ จะทำให้เทพบนเขาปู้โจวซานไม่รู้ว่าพวกเขาไปยังสถานที่ต้องห้าม”

 

 

ฉู่อิ่งหงสมองคิดได้ฉับไวอย่างที่สุด สองตาเป็นประกายกล่าวว่า “เช่นนั้น…ดับไปก็เท่ากับทำให้พวกเขากลับมาได้?”

 

 

เหอหยางกล่าวสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้! ทันทีที่เทียนดับ เทพสวรรค์ก็จะรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคือผู้บุกรุก ต้องรอให้พวกเขากลับมาก่อน ไม่เช่นนั้นอาจบาดเจ็บหนัก อาจถึงชีวิต!”

 

 

ฉู่อิ่งหงได้ยินก็ได้แต่วางเทียนกลับที่เดิม เดินไปบังลมไว้ เกรงแต่ว่าเทียนนั่นจะถูกลมพัดดับ

 

 

เหอหยางเห็นธูปขนาดใหญ่ห้าต้นจุดอยู่ในกระถางสำริดควันลอยโขมง ค่อยๆ เผาไหม้ช้าๆ มีเพียงจุดแดงห้าจุดด้านบนที่ส่องแสงวูบวาบ พลันอดส่งเสียงขึ้นเสียงหนึ่งไม่ได้ ก่อนจะใช้มือลูบไปทีหนึ่ง

 

 

“เหอหยางสัมผัสอันใดได้หรือ” ฉู่เหล่ยเห็นสีหน้าเขาแปลกไปจึงรีบถามทันที

 

 

แม้ว่าเมื่อครู่เขาใช้วาจารุนแรงจะขับจงหมิ่นเหยียนออกจากสำนัก ไม่รับเสวียนจีเป็นบุตรสาว แต่เด็กสองคนก็เป็นคนที่ตนดูแลเลี้ยงดูมาแต่เล็ก ความผูกพันลึกซึ้ง ไหนเลยพอบอกว่าจะไม่รับก็ไม่รับได้ หากพวกเขามีอันเป็นไปที่เขาปู้โจวซาน ก็ย่อมทำให้ใจเขาแตกสลาย

 

 

เหอหยางกล่าวว่า “ข้าว่ามนตร์คาถานี่โบราณเก่าแก่มาก คิดว่าระหว่างทางเด็กพวกนั้นไม่รู้พบเจอคนประหลาดใด จึงใช้วิธีนี้พาพวกเขาไปเขาปู้โจวซานได้”

 

 

กล่าวจบหันกลับไปมองฉู่เหล่ยกับฉู่อิ่งหงที่ล้วนมีหน้าเป็นกังวล เขายิ้มบางกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าว่าเด็กพวกนั้นดวงดี ไม่เป็นอันตรายหรอก นับประสาอันใดกับการที่ยังมีผู้สูงส่งผู้หนึ่งคอยอยู่ข้างกาย ไม่แน่ว่าอาจช่วยหมิ่นเจวี๋ยกับหลิงหลงกลับมาได้จริง เด็กพวกนี้โตแล้ว ก็มักจะมีเรื่องที่ตนอยากทำ เราเป็นผู้ใหญ่ไหนเลยจะยังไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะเข้าใจอีก”

 

 

อาวุโสเหอหยางแต่ไรมาก็เป็นผู้มีคุณธรรมบารมีสูงส่งในสำนักเส้าหยาง พูดจาย่อมมีน้ำหนัก ท่าทางเช่นนั้นย่อมทำให้คนที่จิตใจสับสนสงบลงได้ไม่ยาก อย่าว่าแต่ฉู่อิ่งหงที่เป็นภรรยา แม้แต่ฉู่เหล่ยก็ยังให้ความเคารพเขาอย่างมาก

 

 

เห็นเขากล่าวมั่นใจเช่นนี้ ทั้งสองจึงค่อยๆ สงบลง ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “ดูไม่ออกว่าหมิ่นเหยียนที่เมื่อก่อนเป็นเหมือนลูกลิงน้อย ตอนนี้ทำการใหญ่ได้แล้ว วันหน้าไม่แน่อาจได้เป็นบุคคลยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินก็ได้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่สู้รอพวกเขากลับมาเถอะ”

 

 

ฉู่เหล่ยหน้าบึ้งตึง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “วันๆ เอาแต่เหลวไหล! ทำตัวไร้สาระ กลับไปต้องลงโทษทั้งสองคนให้หนัก!”

 

 

แต่ไรมาเขาก็เป็นคนหน้าตาเย็นชาแต่ใจอ่อน วาจากล่าวเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเก็บคืนคำสั่งขับจงหมิ่นเหยียนออกจากสำนัก เหอหยางยิ้ม สบตากับฉู่อิ่งหง ฉลาดเลือกที่จะเงียบแทน

 

 

เหอหยางมองไปยังธูปในกระถาง กล่าวว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่ ทันทีที่ธูปนั่นถูกจุดขึ้น ก็ใช้เวลาเผาไหม้นานสิบกว่าชั่วยาม รอให้ดับพวกเขาก็จะกลับมา พวกเรารีบเร่งเดินทางมามีแต่ฝุ่นติดตัว ไม่สู้พวกเราไปหาที่พักผ่อนกันก่อน เวลาพอสมควรแล้วก็ค่อยกลับมา”

 

 

ฉู่อิ่งหงร้อนใจกล่าวว่า “ไปได้อย่างไร! เทียนนี่หากเกิดดับขึ้นมาจะทำอย่างไร!”

 

 

เหอหยางยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นมนตร์คาถา ไหนเลยลมพัดจะดับได้ นับประสาอันใดกับพวกเขาไปเขาปู้โจวซานแล้ว ไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์นี้แล้ว เจ้าและข้ารออยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ที่นี่ป่าเขารกร้าง ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ ผู้ใดจะมากัน หากเจ้ากังวล ก็หาวิธีปกป้องเทียนพวกนี้สิ อย่าให้พวกสัตว์ป่าและนกบนเขามาทำให้ล้มไปก็พอ”

 

 

ฉู่อิ่งหงได้ฟังก็ได้แต่ทำตาม ยกมือควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ กัดนิ้วมือวาดคาถาลงไปบนนั้น ก่อนจะค่อยๆ โยนไปทางกองเทียน ผ้าเช็ดหน้าผืนบางนั้นราวกับมีชีวิต ราวกับแหแพรบางมีเท้า ค่อยๆ ลงครอบเทียน นิ่งไม่ขยับไหวแม้แต่น้อย

 

 

“เฮ้อ…อย่างไรข้าก็ยังกังวลอยู่…” นางมองไปยังแท่นบูชาเทพ ไม่อาจตัดใจจากไป

 

 

สองสามวันนี้พวกเขาทั้งสามไม่กินไม่นอนรีบเร่งมาที่นี่ ใช้กำลังกายไปมากมาย วันนั้นฉู่เหล่ยอยู่ที่เกาะฝูอวี้ ตอนได้รับข่าวว่าพวกจงหมิ่นเหยียนแอบหนีออกจากเกาะไปแล้ว ไม่รู้ไปไหน ในใจก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว แต่ตนเองออกจากสำนักมาครั้งนี้พาศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นมาแค่สองคน หนึ่งเจ็บหนัก สองถูกมารปีศาจจับตัวไป ระหว่างทางเหอตันผิงส่งตวนผิงกับตวนเจิ้งมาอีกสอง แม้ว่ามีความสามารถแต่ก็ยังขาดประสบการณ์ ไม่อาจพาไปเขาปู้โจวซาน ดังนั้นได้แต่เร่งเดินทางกลับสำนักเส้าหยางไปขอให้เหอหยางกับฉู่อิ่งหงออกติดตาม

 

 

แต่เขาปู้โจวซานอยู่ที่ใด พวกเขาเองก็ไม่กระจ่างนัก ยังคงถามไถ่มาตลอดทาง ดีที่ถามมาจนถึงที่นี่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง มองเห็นเด็กพวกนั้นไปเขาปู้โจวซานตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ ตนเองไม่มีหนทางจะตามไปได้

 

 

ฉู่เหล่ยถอนหายใจหันหลังกลับ หันมากล่าวว่า “เอาเถอะ ดีหรือร้าย ขึ้นกับชะตาชีวิตพวกเขาแล้ว ข้าแก่ขนาดนี้แล้ว ไม่อาจคอยดูแลเป็นห่วงต่อไปได้แล้ว”

 

 

ยามนั้นทั้งสามจึงเหินกระบี่กลับไปเก๋อเอ่อร์มู่หาโรงเตี๊ยมพักคืนหนึ่งค่อยว่ากัน

 

 

แท่นบูชาเทพกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง เสียงนกบนเขาร้อง เสียงนกฮูกร้องเศร้าในป่า แสงจันทร์ขอบฟ้าถูกเมฆดำบดบัง เบื้องหน้าเหลือเพียงหมอกดำผืนหนึ่ง เทียนดำหน้ากระถางสำริดถูกคลุมด้วยผ้าเช็ดหน้า เปลวไฟไม่วูบไหว

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร พลันมีเสียงฝีเท้าเบาๆ แว่วมา ราวกับมีคนเดินขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ แสงจันทร์สาดส่องร่างเขาทอดยาวไปกับพื้น ส่ายไปมาอรชรอ้อนแอ้นอยู่สักหน่อย ในที่สุดก็มาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เห็นแท่นบูชาเทพว่างเปล่า อยู่ๆ เขาก็ส่งเสียงหัวเราะประหลาด ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างสบายอารมณ์

 

 

เมฆดำค่อยๆ จางหายไป แสงจันทร์หม่นค่อยๆ สาดส่อง เงาเมฆบังจันทร์ค่อยๆ พาดผ่านร่างเขา เงาร่างคนผู้นั้นค่อยๆ ปรากฏชัด ชายชุดครามในมือถือพัดขนนกด้ามหนึ่ง ใบหน้ามีหน้ากากอสุราบิดเบี้ยว เป็นรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ

 

 

ปากเขาไม่รู้ฮัมท่วงทำนองประหลาดใด ส่ายหน้าส่ายเอวเดินมายังหน้ากระถางสำริดดมกลิ่นธูปทั้งห้าก้านที่กำลังเผาไหม้ อยู่ๆ ก็จามออกมา ยิ้มกล่าวว่า “คิดไม่ถึง ถึงกับมีคนช่วย ถึงกับทำสำเร็จ”

 

 

เขายองตัวลงนั่งมองเทียนดำห้าเล่มที่เผาไหม้อยู่เงียบๆ แม้ว่าเผามานานเช่นนี้ แต่เทียนยังคงไม่ลดลงแม้แต่น้อย แม้แต่น้ำตาเทียนก็ไม่มีสักหยด

 

 

เขามองอยู่เป็นนาน พลันค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบผ้าเช็ดหน้าที่คลุมไว้ด้านบน เสียง ปึก ดังขึ้น ราวกับมีสิ่งใดงับเขาจนปลายนิ้วปวดตุบ เขาหดนิ้วกลับหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “คาถาสำนักเส้าหยางก็ไม่ได้ร้ายกาจสักเท่าไรนี่”

 

 

กล่าวจบก็พลิกข้อมือ ก็ไม่รู้ใช้วิธีการประหลาดใด สองนิ้วคีบผ้าเช็ดหน้าไว้ พริบตาก็กระชากออก ผ้าอ่อนปวกเปียกร่วงลงในมือเขา เขารู้สึกกระหยิ่มได้ใจ ปากก็เริ่มฮัมเพลงทำนองประหลาด คว้าเทียนเล่มหนี่งขึ้นมามองดูชื่อด้านบน ยิ้มไปมาก่อนวางกลับไป คว้าอีกเล่มมาดู

 

 

ทำเช่นนี้ไปจนเล่มที่สี่ ในที่สุดก็ไม่วางกลับคืน แววตาลุกโชนหลังหน้ากาก ราวกับกำลังคิด

 

 

“น่าสนใจ…” เขาพึมพำกล่าว พลันตบมือราวกับคิดตัดสินใจอันใดได้