พวกเสวียนจีทะลุเข้าไปทาง ‘ประตู’ ตรงกลางแท่นบูชาเทพ รู้สึกเพียงแค่รอบๆ มีแสงสว่างวาบ ถึงกับไม่อาจลืมตาได้ ร่างกายไม่อาจบังคับได้ ราวกับร่วงลงไปอย่างเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าบินขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด รสชาตินี้ไม่อาจบรรยายด้วยวาจาได้
ทุกคนพากันหลับตาแน่นไม่กล้าขยับ จริงๆ แล้วก็คือไม่อาจขยับ ในใจอยากขยับแต่ทำไม่ได้
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร รู้สึกเพียงแค่สองขาราวกับค่อยๆ เหยียบลงบนพื้น ยืนนิ่งมั่นคงยังที่แห่งหนึ่ง แสงรอบๆ ราวกับค่อยๆ จางหายไป เสวียนจีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเขาปู้โจวซานอย่างสังเกตด้วยความงุนงงและอยากรู้อยากเห็น
รู้สึกเพียงแค่ที่นี่ท้องฟ้าหมองหม่น เงียบกริบไร้สำเนียง ถึงกับไม่ได้ยินเสียงอันใดแม้แต่น้อย จันทร์เพ็ญกลมราววงล้อน้ำแข็งเผยอยู่หลังก้อนเมฆสูง ถึงกับใหญ่ยิ่งและใกล้ยิ่ง ราวกับหากยกมือก็แตะต้องได้ แสงเย็นเยียบและเงียบเหงาสาดทั่วพื้นดิน รู้สึกเพียงแค่ทุกสิ่งที่นี่ล้วนดำมืด ความดำทิ้งตัวทอดยาวไปยังเทือกเขาดำทะมึนหมื่นลี้ที่เหมือนกำลังหลับใหลอย่างเงียบๆ ไร้สำเนียง ไม่มีลมหายใจ…ราวกับผืนแผ่นดินที่ตายไปแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิต
“อา…ที่นี่…” จงหมิ่นเหยียนพึมพำกล่าวขึ้นเสียงหนึ่งแล้วก็ไม่อาจกล่าวต่ออีก เหมือนกับทุกคนที่ตกใจและสับสน กำลังพากันคาดเดาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณบรรพกาลแห่งนี้
เขาปู้โจวซาน! ที่นี่เชื่อมต่อแดนปรภพกับแดนมนุษย์ ตั้งแต่เบิกฟ้ามาก็มีเขาปู้โจวซานที่กั้นฟ้าและดิน!
ทุกคนตกใจก็ตกใจไป ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นไป ตะลึงก็ตะลึงไป จิ้งจอกม่วงไม่คิดสนใจเพื่อนร่วมทางงี่เง่าเช่นพวกเขานานแล้ว นางเดินไปข้างหน้าพลางหันมากล่าวว่า “แค่เชิงเขาก็เอาแต่ตะลึงแล้ว ถึงบนนั้นไม่รู้พวกเจ้าจะเป็นเช่นไร! ไม่เข้าใจพวกผีน้อยไม่เข้าใจโลกอย่างพวกเจ้าเลยจริงๆ!”
ทุกคนค่อยๆ ได้สติคืนมา เสวียนจีเห็นจิ้งจอกม่วงเดินเร็วมาก อดรีบตามไปไม่ได้ ถามว่า “เจ้า…เจ้าจะรีบไปแดนปรภพหรือ ต้องการไปคนเดียวจริงหรือ?”
จิ้งจอกม่วงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ย่อมต้องคนเดียว ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าตามมา ล้วนเป็นตัวถ่วง”
รั่วอวี้เห็นโลกมามาก แต่พวกเขาสี่คนไม่รู้รังมารปีศาจพวกนั้นอยู่ตรงไหนของเขาปู้โจวซาน ก่อนหน้าบอกแค่ว่ามาถึงเขาปู้โจวซานก็จะหาพบ ไหนเลยจะรู้ว่ากว้างใหญ่เพียงนี้ แค่พวกเขาไม่กี่คน ยังไม่รู้จะหาพบตอนไหน ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “ข้าว่าอย่างนี้แล้วกัน พวกเราเป็นเพื่อนจิ้งจอกม่วงไปประตูแดนปรภพก่อน ระหว่างทางก็คอยดูว่ามีร่องรอยมารปีศาจพวกนั้นไหม อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้นางไปคนเดียว อย่างไรทุกคนก็เป็นสหายร่วมทางกันมา”
ทุกคนได้ยินก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าจิ้งจอกม่วงพลันแดง แต่เพราะเป็นคืนเดือนมืดก็ไม่รู้ว่ามองผิดไหม นางอึกอักกล่าวว่า “ผู้ใด ผู้ใดต้องการพวกเจ้าเป็นเพื่อน! ข้าใช่ว่าเป็นเด็กน้อยไม่รู้ทางเสียเมื่อไร!”
เสวียนจีกอดแขนนางไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าได้กล่าวเช่นนี้ จริงๆ แล้วเจ้าก็ไม่อยากแยกจากพวกเราใช่ไหม คนเดียวคลำทางขึ้นไปก็คงต้องหวาดกลัว คนมากจึงไม่หวั่น!”
จิ้งจอกม่วงถูกนางพูดแทงใจ ตนเองลนลานอยู่บ้างจริง ดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้าสะบัดหูยู่ปากกล่าวว่า “ข้า…อย่างไรข้าก็ไม่สนแล้ว! พวกเจ้าอยากตามมาก็ตามมาแล้วกัน!” กล่าวจบก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจ หน้าตาราวกับมองดูพวกไม่เอาไหน ไม่ได้ดังใจ “เจ้าฝูงเด็กน้อย ต้องให้คนเขาคอยดูแลเรื่อย!”
คนที่ต้องคอยถูกดูแลเห็นชัดว่าเป็นนาง เสวียนจีอดยิ้มไม่ได้
ยอดเขาปู้โจวซานมีเซินซูและอวี้ลวี่เฝ้าประตูแดนปรภพ อวี่ซือเฟิ่งมองดูเขาปู้โจวซานน่าจะสูงนับหมื่นลี้ สูงตระหง่านเทียมฟ้า มองไม่เห็นยอดแต่อย่างใด อดตกใจไม่ได้กล่าวว่า “ขึ้นยอดเขาตอนนี้…ต้องใช้เวลานานเท่าไร”
จิ้งจอกม่วงแค่นเสียงฮึ “เขานี่ถูกก้งกงชนหักนานแล้ว เมื่อก่อนก็แค่เสาค้ำแดนสวรรค์! หากเดินเท้าเช่นนี้ มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าเดินทั้งชีวิตก็ไม่ถึง ด้านหน้ามีค่ายเวทพาตรงขึ้นยอดเขาได้ ยามนี้ ประตูแดนปรภพกำลังเปิด เซินซูและอวี้ลวี่กำลังยุ่ง ไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา แอบเข้าไปก็พอ”
ไม่เป็นไรจริงหรือ จงหมิ่นเหยียนจ้องมองนางด้วยแววตาสงสัย จิ้งจอกม่วงโมโหกล่าวว่า “พวกเจ้าจะตามมาก็ตามมา! ไม่ตามมาก็ไปจัดการเรื่องของพวกเจ้าเอง! ราวกับข้าหลอกลวงเสียอย่างนั้น!”
ทุกคนได้แต่เดินตามนางไป เดินไปได้ไม่นาน อยู่ๆ จิ้งจอกม่วงก็หยุดลง หูกระดิกไปมา จมูกฟุดฟิด ตกใจกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน! พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม?!”
เสวียนจีตั้งสติฟังเป็นนาน นอกจากเสียงลมแล้วก็ไม่มีเสียงใด ดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้า
จิ้งจอกม่วงตกใจมาก ยกนิ้วคำนวณ ตกใจกล่าวว่า “ไม่ได้การ! ข้าลืมไปว่ายามนี้คือเดือนสอง!” อยู่ๆ ก็หดนิ้วเก็บ หน้าตาดีใจและหวาดกลัวในคราเดียว กัดฟันกล่าวว่า “ก็ดี! สู้สักครั้ง!”
กล่าวจบก็รีบวิ่งไว้ข้างหน้า ทุกคนไม่เข้าใจแต่ก็รีบตามไป เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เดือนสองทำไมหรือ เกิดเรื่องใหญ่ใดหรือ”
จิ้งจอกม่วงพลางเร่งรีบวิ่งไปพลางหันมากล่าวว่า “เดือนสองไม่เปิดประตูข้าง แต่เปิดประตูหน้า! ปล่อยภูตผีที่ถูกจองจำออกมา! พวกเจ้าระวัง!”
ระวังอะไร? ทุกคนยังไม่ทันได้ถาม พลันเห็นร่างนางล้มลงกับพื้น ในใจพลันแตกตื่นตกใจ กำลังคิดเข้าไปประคอง รู้สึกเพียงแค่ตนเองก็ยืนไม่มั่น พากันล้มลงกับพื้นเช่นกัน
พื้นดินถึงกับเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง ราวกับคลื่นทะเลใหญ่ ระลอกแล้วระลอกเล่ากระหน่ำถาโถมเข้ามา สะเทือนไปทั่วป่าส่งเสียงดังลั่น อย่าว่าแต่ยืน แม้แต่นอนก็ยังไม่นิ่ง จากตรงนี้กลิ้งไปตรงนั้น
ท้องฟ้าส่งเสียงร้องดังราวกับมีคนตัวใหญ่มากส่งเสียงคำรามเบาๆ ท้องฟ้าหมองหม่นพลันมีแสงสว่างวาบราวกับสองมือยักษ์เบิกม่านอนธการออก ตามมาด้วยแสงทองนับหมื่นสายสาดส่องลงมา เสวียนจีตกใจคว้าต้นไม้ไว้แน่น ในที่สุดก็ไม่กลิ้งไปมาบนพื้นอีก นางเงยหน้ามองไปยังแสงสีทองกลางท้องฟ้าอย่างงุนงง แสงทองราวกับมีร่างคนค่อยๆ ก่อตัว เกราะทองคำ หมวกเกราะ ที่เอวยังมีกระบี่วิเศษเล่มใหญ่เหน็บอยู่ คนหนึ่งทางซ้าย คนหนึ่งทางขวา สูงราวครึ่งหนึ่งของเขาปู้โจวซาน นางตกใจจนลืมหายใจ รู้สึกเพียงแค่สองคนนั้นกลางลำแสงสีทองมีสีหน้าตาเย็นเยียบ ท่าทางเข้มงวด เหมือนเทพเซียนในศาลเจ้าอยู่แปดส่วน ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย
พริบตานั่นเอง อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแผ่คลุมจิตใจ ในใจนางราวกับถูกคนชกเข้าเต็มแรง อดหลุดเรียกชื่อออกมาไม่ได้ “เซินซู! อวี้ลวี่!”
ทั้งสองคนพลันก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แส้มังกรเขียวลายมังกรชัดเจน ตามมาด้วยซ้ายขวาคว้า เขาปู้โจวซานที่สูงตระหง่านเทียมเมฆาไว้ ราวกับนั่นคือประตูใหญ่ยักษ์ พวกเขาต้องดึงเปิดออก
ได้ยินเพียงเสียงดังก้องกัมปนาทสนั่นฟ้าดิน เขาปู้โจวซานถูกพวกเขาดึงไว้ซ้ายขวา แยกออกเป็นช่องทางหนึ่ง ภูเขาใหญ่ยักษ์ที่ราวกับเป็นดังประตูบานหนึ่งถูกดึงเปิดออก
เสียงคำรามต่ำนั่นค่อยๆ จางหายไป ท้องฟ้าราวกับมีคนเริ่มเป่าขลุ่ยท่วงทำนองประหลาด ลมชื้นอับม้วนหอบมา นำพาความหนาวเหน็บที่ทำให้คนขนลุกชันตามมาด้วย เดิมท้องฟ้าหมองหม่นอยู่แล้วก็ยิ่งราวกับมีหมึกดำเข้มทาทาบทับอีกชั้น มืดจนแทบมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าแล้ว
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ในใจเต้นแรงสับสน ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่กักเก็บไว้นานมาแล้วเริ่มค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาในร่างกายนาง ไหล่นางเกร็งแน่น มีคนคว้าไหล่นาง คนผู้นั้นเข้ามากระซิบข้างหูนางแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เป็นอวี่ซือเฟิ่ง นางฝืนยิ้มยิ้ม “ไม่เป็นไร…”
อยู่ๆ จิ้งจอกม่วงก็ส่งเสียงแหลมว่า “พวกเจ้าอึ้งกันอยู่ทำไม! ผู้ใดก็ห้ามขยับ! ข้า…ข้าจะไปแล้วนะ! พวกเจ้าอย่าได้ตามมาเด็ดขาด!”
ในความมืดรู้สึกเพียงแค่มีคนเคลื่อนไหวรวดเร็วบุกเข้าไป เสวียนจีร้อนใจกำลังจะลุกยืนก็ต้องล้มลงกับพื้นอีกครั้ง นางร้องว่า “เจ้ารอก่อน! พวกเราไปด้วยกัน…ข้า…ข้าเหินกระบี่ส่งเจ้าไป!”
ยามนี้ผู้ใดยังคิดเรื่องเหินกระบี่ได้ไหม กว่านางจะดึงต้นไม้ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนได้ก็นาน ยามนั้นรีบเหินกระบี่ขึ้นไป ทุกคนด้านล่างพากันตะโกนเรียกนาง แต่นางไม่สนใจ บินไปยังข้างกายจิ้งจอกม่วงทันที จิ้งจอกม่วงเห็นเสวียนจีมาก็รีบตะโกนด่าออกมา แต่ก็ยังถูกนางคว้าหลังเอาไว้ได้ ยกนางมาวางบนกระบี่
จิ้งจอกม่วงกำลังคิดจะดิ้นรน ข้อมือพลันถูกกำแน่น ถูกนางบีบแน่นราวกับห่วงเหล็ก ทำเอานางขยับไม่ได้
“อย่าขยับ ข้าส่งเจ้าไป” เสวียนจีเอ่ยเสียงเบา
จิ้งจอกม่วงพลันคิดถึงตอนอยู่เขาเกาซื่อซาน ตนถูกนางบีบจนไร้หนทาง ยามนี้ถึงกับกล่าวไม่ออกสักคำ ได้แต่ยอมตามนางไปแต่โดยดี
ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหลังยังมีเสียงตามมา พวกจงหมิ่นเหยียนถึงกับไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา พากันเหินกระบี่ไล่ตามมา พลางร้องเรียก “พวกเราไปด้วย!”
นางทั้งตกใจ ทั้งโมโห ทั้งดีใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กน้อยเช่นพวกเขาคิดไปเองถึงขั้นนี้ได้ ประตูหน้าแดนปรภพเปิดกว้าง เซินซูและอวี้ลวี่เฝ้าอยู่หน้าประตูคอยขับไล่ภูตผีชั่วร้าย ใช่เรื่องเด็กเล่นอีกหรือ อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยพวกเขาไปรนหาที่ตายเปล่า
“เหินต่ำหน่อย! อย่าให้พวกเขาเห็นเข้า!” นางสั่งเบาๆ ดังคาด พวกเขาเหินแนบไปตามยอดไม้อย่างเงียบที่สุด รู้สึกเพียงแค่ยิ่งเข้าใกล้ด้านหน้ามากขึ้น ความเย็นเยียบหนาวเหน็บก็ยิ่งมากขึ้น
ไม่ใช่ความเยียบเย็นเช่นน้ำแข็งเดือนสิบสองในหน้าหนาว หรือความหนาวเหน็บในถ้ำลึก เป็นความหนาวที่ทำให้คนขนหัวลุกหวาดกลัว ราวกับหากขยับก็จะทะลุเข้าอวัยวะภายในทั้งหมด ราวกับต้องยาพิษ
เสวียนจีอยู่ๆ ก็ร้อง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ชี้ไปข้างหน้าอย่างตกใจ นางไม่ต้องพูด ทุกคนก็มองเห็นเขาปู้โจวซานที่ถูกดึงออกกลายเป็นถ้ำลึกกว้างใหญมาก ด้านในมืดดำราวกับหมึกดำเข้ม มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ในถ้ำมีผีร้ายตาสีเขียวจำนวนมาก บนหัวมีเขาประหลาดงอกอยู่ บ้างก็มีลิ้นแลบอยู่ตรงหน้าอกตลอดเวลา…แต่ละตนล้วนมีสภาพแปลกประหลาด ไม่เคยพบไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผีร้ายพวกนี้ส่งเสียงคร่ำครวญหวนไห้ บ้างก็นิ่ง บ้างก็หัวเราะบ้าคลั่ง แย่งกันออกมาจากในถ้ำ ในคุกลึกเข้าไปราวกับมีภูเขาไฟกำลังระเบิดทะลักออกมา พากันวิ่งกรูออกสู่ใต้หล้าอิสระเสรีที่หาได้ยาก
ในมือเซินซูและอวี้ลวี่สะบัดแส้ท่อนมหึมาไปมา ไล่ตีมาด้านหลังพวกเขาเป็นระลอก แส้นั่นส่งเสียงก้องกัมปนาท เสียงแสบแก้วหูดังสายฟ้าฟาด แม้แต่ใบหน้ายังรู้สึกได้ถึงคลื่นใหญ่กระแทกใส่
เสวียนจีเห็นพวกเขาค่อยๆ มุ่งมาทางนี้ ก็รีบหลบร่างเข้าหลังใบไม้ ดีที่พวกเขาเดินเร็วมาก ราวกับไม่ทันสังเกตว่าต้นไม้ใต้ฝ่าเท้ามีแขกไม่ได้รับเชิญแฝงกายอยู่ รอพวกเขาเดินไปไกลแล้ว เสวียนจีจึงได้เหินออกมาอย่างรวดเร็ว ร้อนใจกล่าวว่า “จิ้งจอกม่วง! เจ้ารีบเข้าไป!”
จิ้งจอกม่วงบนหลังนางไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น เอาแต่บีบมือนางไว้แน่น นางกล่าวอันใดไม่ออกจริงๆ
เห็นว่าเบื้องหน้ากำลังจะเหินเข้าช่องแยกของเขาปู้โจวซานแล้ว แต่ตัวกระบี่พลันวูบไหว ทั้งสองเกือบร่วง จิ้งจอกม่วงตกใจสีหน้าซีดเผือด คว้าแขนเสื้อนางไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น?!”
วาจาไม่ทันจบ ก็พลันสะดุ้งในใจราวกับถูกกระทบกระเทือนอันใด อึ้งมองไปยังท้องฟ้า
“มีคน…ดับเทียนข้า!”
นางพูดทันเพียงแค่ประโยคเดียว จากนั้นทั้งร่างก็ราวกับว่าวที่หลุดลอยจากกระบี่ไป