ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 31 สายพิณจังหวะเร่งเร้า (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทุกคนเห็นจิ้งจอกม่วงร่วงจากกระบี่ไปก็ส่งเสียงร้องตกใจพร้อมกัน กำลังจะเข้าไปช่วยก็ไม่ทันเสียแล้ว มองนางหลุดจากกระบี่ร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา ผีร้ายหนาแน่นโดยรอบกรูกันเข้าไปจะรุมดึงทึ้งเสื้อผ้าและผมนาง

 

 

บรรดาผีร้ายเบื้องหน้ายังไม่ทันได้ลงมือ ผีร้ายด้านหลังก็กรูกันเข้ามาอีก ขบวนด้านหน้าที่เรียบร้อยก็แตกฮือวุ่นวายไปหมด บรรดาผีร้ายส่งเสียงคำรามร้องดัง พากันคิดลงมือแย่งสัตว์ที่มีเลือดเนื้อเป็นๆ เซินซูและอวี้ลวี่เหมือนรู้สึกได้ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง แส้ในมือตวัดขึ้น ‘ขวับ’ ฟาดลงพื้นทีหนึ่ง พริบตาผีร้ายที่มารุมส่งเสียงร้องนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นเถ้าถ่านดำ

 

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นแส้ฟาดไม่สนใจทิศทาง มองดูแล้วก็อาจฟาดโดนจิ้งจอกม่วง นั่นเป็นถึงเทพศาสตรา และยังท่อนใหญ่เพียงนั้น หากจิ้งจอกม่วงโดนฟาดแม้เพียงนิด เกรงแต่ว่าไม่ตายก็ต้องตาย เขาได้แต่ร้อนใจเหงื่อท่วมกาย กัดฟัน ไม่รู้ควรเข้าไปช่วยไหม ลังเลครู่หนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ พุ่งออกไปนานแล้ว กระโดดหลบแส้ใหญ่นั่นก่อนลงสู่พื้น แสงกระบี่ในมือส่องประกาย บีบให้บรรดาผีร้ายต้องถอยออกไปอย่างไม่ยินยอม อีกมือก็คว้าจิ้งจอกม่วงที่ไม่ได้สติโยนขึ้นไปด้านบนสุดแรง

 

 

“เสวียนจี!”

 

 

เขาเรียกเสร็จ นางเคลื่อนไหวรออยู่ก่อนแล้ว หมุนตัวกลับมาตั้งหลักมั่นคงกลางท้องฟ้า ชุดขาววาดผ่านเป็นมุมโค้งงดงามสายหนึ่ง เริงร่าราวห่านป่า พอยกมือขึ้นก็รวบเอาจิ้งจอกไม่ได้สติเข้าสู่อ้อมกอดแน่น

 

 

ทุกคนเห็นว่าช่วยกลับมาได้อย่างไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ก็พากันอดวางใจไม่ได้ เสวียนจีกำลังจะหาที่ว่างกลับไปหลบ พลันได้ยินเหนือศีรษะมีคนฮัมเพลงเบาๆ ขึ้น เสียงนั่นกระจ่างใสแจ่มชัด ยิ่งร้องก็ยิ่งดัง ค่อยๆ ราวกับร้องพร้อมกันนับพันหมื่นคน

 

 

นางตะลึงงันเงยหน้าขึ้นมองเห็นเพียงเซินซูและอวี้ลวี่หยุดอยู่ตรงนั้น พากันลูบคมกระบี่ กระบี่วิเศษมีแสงกำจายหมื่นสาย เสียงฮัมเพลงนั่นคือเสียงว่าคาถาของพวกเขา ผีร้ายบนพื้นดินตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หนีกันจ้าละหวั่นราวกับแมลงวันไร้หัว ราวกับเร่งหาที่กำบัง

 

 

เทพทั้งสองค่อยๆ ชักกระบี่วิเศษออกมากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ราชันสวรรค์มีบัญชา คนและผีคนละเส้นทาง ที่แห่งนี้เป็นสถานที่เวียนว่าย มนุษย์ธรรมดาไม่อาจบุกรุกเขาปู้โจวซาน ผู้ละเมิด สังหารสถานเดียว!”

 

 

เสวียนจีเห็นเขาทั้งสองคนกล่าววาจาดังก้อง น้ำเสียงก้องกังวานไกลออกไปนับหมื่นลี้ ยังไม่ทันฟังว่าอะไร อวี่ซือเฟิ่งด้านหลังก็ตกใจยิ่ง น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “เขาพบเราแล้ว! เสวียนจีรีบหลบเร็ว!”

 

 

ในใจนางกระตุกวูบ พอหันกลับไปก็สายไปเสียแล้ว เหนือศีรษะราวกับมีสิ่งประหลาดหนักพันหมื่นชั่งกดทับลงมาอย่างแรง ทั้งร่างนางสะดุ้งเฮือก เลือดในกายไหลพล่าน สองตาแดงก่ำ หูได้ยินเสียงอึงอล อดคุกเข่าลงบนกระบี่ไม่ได้

 

 

ข้างหูราวกับมีเสียงมากมาย มีคนกำลังเรียกนาง ยังมีเสียงลมหายใจเร่งร้อน ใจเต้นโครมคราม และเสียงลมที่ราวกับภูตผีคร่ำครวญหวนไห้ นางฝืนลืมตาหนักอึ้งขึ้นเงยหน้ามองไป เห็นกระบี่วิเศษมุ่งมาทางนี้ ยามเทพศาสตราขนาดใหญ่นั่นตวัดมาท่วงท่าแปลกประหลาด เพียงแค่พลังกระบี่ก็บีบนางจนไม่อาจขยับร่างได้แล้ว

 

 

แม้แต่คนโง่ก็ย่อมรู้ หากถูกกระบี่นี่ฟันใส่จะส่งผลเช่นไร อย่าว่าแต่พวกนางที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศราวใบไม้ปลิดปลิวเลย แม้แต่พวกอวี่ซือเฟิ่งทั้งสามด้านหลัง หรือแม้กระทั่งผืนป่าใหญ่ด้านหลัง ก็ล้วนเป็นเถ้าในพริบตา

 

 

นางไม่อาจนิ่งอยู่กับที่ นางต้องขยับ ต้องหนี ไม่เช่นนั้นทุกคนย่อมต้องตายกันหมด แต่ตอนนี้นางกลับได้แต่คุกเข่าอยู่บนกระบี่ ตามองจ้องไปยังกระบี่วิเศษที่กวัดแกว่งเข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

กระบี่ด้ามยาวกึ่งโปร่งแสง ประกายแสงนับหมื่น เข้าใกล้ตำแหน่งกระบี่ก็จะเห็นอักษรโบราณแบบต้าจว้านที่สลักตวัดราวมังกรหงส์เริงระบำอยู่บนนั้น นางถึงกับไม่ต้องมองก็รู้ได้เองว่าอักษรเหล่านั้นคืออักษรอะไร

 

 

วันวานนานมาแล้ว ไป๋ตี้นำเอาหินประหลาดสองก้อนมาจากแม่น้ำสวรรค์ หลอมด้วยเพลิงนิพพานเฟิ่งหวง พร้อมด้วยเกล็ดมังกรเจียวหลงทะเลลึก หลอมออกมาเป็นกระบี่ปราบมารสองเล่มชื่อจูเสียและชวีหมอ มอบให้เซินซูและอวี้ลวี่ไว้เฝ้าประตูแดนปรภพ

 

 

จูเสียและชวีหมอ…จูเสียและชวีหมอ…นางเคยเป็นมารเมื่อใดกัน แดนสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาล มีกฎเกณฑ์จำกัดนับพันหมื่น นางทนไม่ได้ หนีออกมา…ในเมื่อหนีออกมาครั้งหนึ่งก็ต้องหนีอีกครั้งหนึ่ง ผิดตรงไหน?!

 

 

เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ในอกราวกับมีคลื่นนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ อารมณ์ซับซ้อนมากมายพริบตาก็กระหน่ำโจมตี ทั้งไม่ยินยอม แค้นใจ ทำตามใจ ไร้ใจ โอ้อวด…อารมณ์นับไม่ถ้วนกระหน่ำทับถมลงมา กระบี่เปิงอวี้ที่เอวเริ่มสั่นไหว ส่งเสียงเสียดแก้วหู ราวกับพร้อมจู่โจมอย่างไม่อาจระงับได้ อยากจะปล่อยพลังทั้งหมดนี้ออกไปให้หมดสิ้น

 

 

ความหนักอึ้งบนร่างอยู่ๆ พลันหายไปอย่างไร้วี่แวว นางยืนตรงขึ้นชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา ประกายวาวราวหยกมุก ลำกระบี่ส่องแสงสีเงินกระจายรอบสี่ทิศ

 

 

ลมบ้าคลั่งม้วนหอบ กระบี่จูเสียมาถึงตรงหน้า นิ่งไปพักหนึ่งราวกับลังเล นางถึงกับไม่อ่อนข้อ เหินกระบี่ขึ้นไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าปะทะกระบี่จูเสีย วาดวงโค้งใหญ่คมกริบกลางท้องฟ้า กระบี่เปิงอวี้ฟันด้านบนลงปะทะเกิดประกายไฟนับไม่ถ้วน นางรู้สึกเพียงแค่มือนางผ่อนคลายมาก ราวกับฟันก้อนเต้าหู้ ไม่ได้มีอันใดกีดขวาง พลันกระบี่กวาดวงออกไปจนแขนเสื้อยกลอย หยุดนิ่งกลางท้องฟ้า

 

 

หันกลับไปมอง เห็นกระบี่จูเสียเล่มใหญ่ถูกนางฟันขาดสองท่อน เสียงตึงดังสนั่นหวั่นไหวร่วงลงพื้น ก็ไม่รู้ทับภูตผีตายไปเท่าไร ด้านล่างสภาพเอนจอนาถไปทั่ว

 

 

กระบี่เปิงอวี้ในมือราวกับตื่นขึ้นอย่างเต็มกำลัง สั่นไหวรุนแรงอยู่ในมือนางไม่หยุด ดีใจราวกับไม่ได้ใช้มานาน ฝ่ามือนางเปียกชื้นไปหมด ในใจเต้นเร็วอย่างที่สุด แทบจะโบยบินออกมา ในอกเต้นโครมครามรุนแรงยากระงับ

 

 

เซินซูก้มลงมองกระบี่จูเสียของตนที่ถูกทำลายลงแวบหนึ่ง พึมพำกล่าวว่า “กระบี่ติ้งคุน…หรือว่าเจ้าก็คือแม่ทัพผู้นั้น”

 

 

เสวียนจีไม่กล่าวอันใด ความจริงนางเองก็ไม่รู้ควรกล่าวอันใด

 

 

เซินซูและอวี้ลวี่สองคนสบตากันไปมา กล่าวพร้อมกันว่า “แม้ว่าเป็นท่านแม่ทัพก็ไม่อาจละเมิดกฎ เชิญกลับ!”

 

 

เสวียนจีกำกระบี่เปิงอวี้ไว้แน่นไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย แม้แต่นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดยามนี้จึงได้ดื้อดึงเช่นนี้ อีกฝ่ายเห็นชัดว่าไม่คิดต่อสู้กับนางก็ไว้หน้ามากพอแล้ว ไม่เอาโทษนางที่บุกเขาปู้โจวซาน ยังให้นางกลับไป แต่นางไม่คิดถอยแม้สักนิด ความดื้อดึงนี้เปล่งออกมาจากทุกอณูร่างกาย นางส่งเสียงคำรามดังราวกับการถอยแม้ก้าวเดียวก็เป็นการหลู่เกียรติตน แสดงให้เห็นว่านางแพ้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่มีทางเลือก

 

 

“ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่เห็นกฎข้อห้ามในสายตา พวกข้าก็ได้แต่ขอล่วงเกิน อย่างไรก็ต้องขับไล่ออกไป!”

 

 

เสวียนจีเห็นเขาทั้งสองคนยังคงจะชักกระบี่เข้าสู้ กายพลันอดกระตุกไม่ได้ คิดว่าจะบุกต่อ ในกายกลับมีเสียงหนึ่ง ราวกับไม่พอ นางยังคงเรียกร้อง…เรียกร้องคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจยิ่งกว่า เรียกร้องการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่งขึ้น ควรจะมากอีกหน่อย มากอีกหน่อย…

 

 

จิ้งจอกม่วงในอ้อมกอดอยู่ๆ กุมขมับดิ้นรนขึ้นจากอ้อมกอดนาง เสวียนจีไม่ทันคว้าไว้ ตกใจหันกลับมาเห็นนางโดดลงจากกระบี่ พลางพึมพำกล่าวว่า “อย่าทิ้งชีวิตเจ้าไว้ที่นี่! แต่ไรมาข้าไม่ได้พูดความจริง…รังมารปีศาจพวกนั้น…อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ…ดูแลตัวเองให้ดีนะ! อย่าตายเด็ดขาด!”

 

 

เสวียนจี “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง รีบก้มตัวลงคว้าไว้ แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง ข้างหูได้ยินเพียงเสียงลมเสียดหู แส้ในมืออวี้ลวี่ฟาดมา เดิมนางคิดจะหลบ ผู้ใดจะรู้ว่าแส้นั่นเพียงบิดเล็กน้อยก็วาดมาใต้ฝ้าเท้านางทันทีราวกับงูเลื้อย กระแสลมหอบใหญ่ทำนางแทบล้มคว่ำราวกับใบไม้ที่ปลิวอยู่กลางท้องฟ้า กว่าจะยืนนิ่งได้ ก็เห็นแส้นั้นเกี่ยวโดนจิ้งจอกม่วง นางร่วงลงไปทันที ร่างกายพลันค่อยๆ โปร่งแสง ถูกแส้เกี่ยวไป ตอนปล่อยออก ก็หายวับไป

 

 

ในใจเสวียนจีตกใจมาก คิดว่านางตายไปแล้ว ตกใจจนน้ำตาไหลพราก กำลังจะเข้าไปดูให้กระจ่าง ก็พลันเห็นแส้ฟาดใส่นาง นางหลบไม่ทัน รู้สึกเพียงแค่ถูกแถบลำแสงใหญ่ฟาดโดนร่างจนกระดูกในกายส่งเสียงดังลั่นราวกับแตกสลายสิ้นในพริบตา ความเจ็บปวดยากทานทน ยามนั้นเบื้องหน้าดับวูบ ถูกแส้ฟาดกระเด็นออกไป

 

 

อยู่ๆ มีคนคว้ามือนางไว้เต็มแรง จับนางกดลงในอ้อมกอด เสวียนจีแน่นหน้าอกขยับตัวไม่ได้ ฝืนลืมตาเห็นเพียงอวี่ซือเฟิ่งร้อนใจสีหน้าซีดขาวอยู่ตรงหน้า

 

 

นางกะพริบตาปริบๆ พลันน้ำตาไหลออกมา พึมพำกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…จิ้งจอกม่วงตายแล้ว…”

 

 

วาจาไม่ทันจบ รู้สึกเพียงแค่ลำคอหวาน พ่นเลือดออกมากองโตราดรดใบหน้า ลำคอและหน้าอกของเขา สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งขาวราวกระดาษ ประคองท้ายทอยนางไว้ กอดนางไว้แน่น รู้สึกเพียงแค่นางเลือดไหลออกจากปากนางไม่หยุด ซึมหน้าอกเขาเปียกชุ่มราวกับไฟแผดเผาจนเขาปวดแสบไปทั้งใจ

 

 

“นางต้องไม่ตาย! เจ้าเองก็ต้องไม่ตาย!” เขาเอ่ยแผ่วเบา เหินกระบี่เร่งบินห่างออกจากประตูแดนปรภพแสนน่ากลัว ไร้สิ้นความกล้าหาญที่จะหันกลับไปมอง