จิ้งจอกม่วงรู้สึกเพียงแค่ร่างกายโงนเงนไปมาราวกับจิตวิญญาณถูกฉีกออก ไม่รู้ลอยไปที่ใดแล้ว
นางตายแล้ว? ตายแล้วจริงหรือ? แม้ประตูแดนปรภพก็ยังไม่ทันได้ข้ามผ่านก็ตายอย่างไม่ทันรู้ตัว…รู้สึกไม่อาจยอมรับได้ แต่ก็ดี หลังตายไปแม้ว่าไม่อาจช่วยเขา แต่อย่างน้อยก็จะได้ไปเป็นเพื่อนเขาที่แดนปรภพ รับทุกข์ด้วยกัน ดีกว่าทิ้งให้เขาทรมานโดดเดี่ยวคนเดียวนับพันนับหมื่นปี
กำลังคิดจนตกในภวังค์นั้นเอง เบื้องหน้าพลันมีแสงวาบส่องสว่าง นางไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างก็หนักอึ้ง ร่วงลงสู่พื้นดินกระแทกฟันเกือบหัก
“ยังไม่ตายนี่…” นางพึมพำ ค่อยๆ ตะกายขึ้นจากพื้น รู้สึกเพียงแค่ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง เหมือนเอวเจ็บปลาบ ที่แท้ถูกแส้อวี้ลวี่ฟาดโดนนิดหน่อย แม้ว่าบาดเจ็บไม่หนัก แต่ก็เพียงพอทำให้นางขยับตัวไม่ได้
“โอย เป็นไอ้บัดซับคนใดที่กล้าดับเทียนมารดามันกัน ข้าต้องสับมันทิ้งแน่…”
นางลุกไม่ขึ้น ได้แต่ล้มนอนกลับลงไปเช่นเดิม อึ้งมองไปยังรอบกาย แท่นบูชาเทพที่เดิม กระถางสำริดวางอยู่เหมือนเดิม ธูปห้าต้นยังเผาไหม้อยู่ เผาไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอบกระถาง…เทียนดำรอบกระถางไม่อยู่แล้ว!
นางตกใจอย่างที่สุด แทบจะกระโดดขึ้นมาทันที พลันได้ยินคนหนึ่งหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ถึงกับเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ขนเงางามไม่เบา”
จิ้งจอกม่วงตะลึงหันหน้ามามอง มีคนมองตนจากมุมสูง คนผู้นั้นสวมชุดสีคราม ผมยาวทิ้งตัวแทบโดนหน้านาง ใบหน้าสวมหน้ากากอสุราดุร้าย แววตาใต้หน้ากากราวลูกไฟ ยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้า
“เจ้า…” นางรู้สึกคุ้นหน้า อยู่ๆ ก็นึกออก ส่งเสียงแหลมกล่าวว่า “เจ้าคือคนตำหนักหลีเจ๋อ?! เจ้าเป็นคนดับเทียน?! มารดาเจ้าไม่เคยล่วงเกินตำหนักหลีเจ๋อ! จะว่าไปทุกคนล้วนครอบครัวเดียวกัน ทำไมเจ้าทำเช่นนี้!”
ศีรษะนั่นเป็นรองเจ้าตำหนัก เขาเผยรอยยิ้มบาง เอื้อมมือยกร่างนางขึ้นมาส่องดูตรงหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ผู้ใดเป็นครอบครัวเดียวกับปีศาจจิ้งจอกต่ำต้อยเช่นเจ้า”
วาจาแม้มีน้ำเสียงหัวเราะ แต่กลับมีแววเยาะดูแคลนอย่างบอกไม่ถูก จิ้งจอกม่วงในยามนั้นโมโห แต่ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงไม่อาจโต้คืนเพราะหนังคอด้านหลังยังถูกเขาจิกไว้ ได้แต่ถลึงตาดุดันใส่เขา
รองเจ้าตำหนักยังยิ้มกล่าวว่า “ทิ้งเจ้าไว้มีแต่คอยขวางทาง ผู้ใดคิดว่าเจ้าจะดวงแข็ง ถึงกับไม่ถูกเซินซูและอวี้ลวี่สังหารทิ้ง”
จิ้งจอกม่วงโมโหมาก หากยังหัวเราะดังกล่าวว่า “ใช่สิ พวกเขาไม่ได้สังหารข้า เจ้าต้องการช่วยหรือ”
รองเจ้าตำหนักยัดนางเข้าแขนเสื้อ กล่าวเบาๆ ว่า “สังหารเจ้า? เกรงว่าจะเปื้อนมือข้า กำลังเริ่มงานชุมนุมปักบุปผา เจ้าก็ไปเป็นบุปผาให้เด็ดแล้วกัน ประหยัดแรงได้มาก”
จิ้งจอกม่วงในเขาแขนเสื้อสบถด่ายกใหญ่ ล้วนเป็นวาจาหยาบคายที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ทำเอาเหนือความคาดหมาย รองเจ้าตำหนักก่อนหน้ายังแย้มยิ้มรับฟัง ฟังจนสุดท้ายเริ่มรำคาญ ตบแขนเสื้อเบาๆ จิ้งจอกม่วงรู้สึกเพียงแค่พลังวัตรเขาทะลุเข้ามาในแขนเสื้อ อึกหนึ่งอัดเข้าลำคอ สองตาพร่ามัว สลบไปทันที
“การใหญ่ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำลาย” เขากล่าวขึ้นเบาๆ หันกลับไปมองเทียนดำบนแท่นบูชาเทพที่เขาย้ายที่ ดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หันกายลับหายไป
*****
เสวียนจีฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล รู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับถูกผู้ใดทับอยู่บนหลัง สะบัดหัวไปมา เท้าคนผู้นั้นก้าวเบายิ่ง ราวกับเกรงว่าจะทำนางตื่น
นางค่อยๆ ขยับ คนผู้นั้นรู้สึกตัวทันที ถามเบาๆ ว่า “ตื่นแล้ว?”
เสียงอวี่ซือเฟิ่ง นางลืมตาผึง มองไปรอบๆ ยังคงเป็นท้องฟ้ามืด ยังคงเป็นจันทร์เพ็ญดวงโตที่เหมือนมือจะคว้าไว้ได้ พวกเขายังคงอยู่เขาปู้โจวซาน
ด้านหลังมีคนเข้ามาประคองศีรษะนางขึ้น กล่าวด้วยอารมณ์ไม่ดีนักว่า “บาดเจ็บก็อย่าขยับไปมา! พิงนิ่งๆ!”
เป็นจงหมิ่นเหยียน
นางพิงอยู่บนหลังอวี่ซือเฟิ่งอย่างว่าง่าย แนบผมยาวของเขา ในใจรู้สึกเพียงแค่ว่างเปล่า เป็นนานก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “พวกเรา…จะไปไหนกันต่อ”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “จิ้งจอกม่วงไม่ใช่บอกว่ารังมารปีศาจพวกนั้นอยู่ทางตะวันตกหรือ พวกเราไปที่นั่นแล้วกัน”
เขาเอ่ยถึงชื่อจิ้งจอกม่วง ในใจเสวียนจีพลันกระตุก ในตาเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาไหลลงรดผมอวี่ซือเฟิ่ง
ทุกคนเห็นนางร้องไห้เศร้าใจเช่นนี้ คิดถึงว่าจิ้งจอกม่วงไม่รู้เป็นหรือตาย ก็พากันเศร้าใจตาม ผ่านไปครู่หนึ่ง จงหมิ่นเหยียนสูดจมูกดังขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่านางยังไม่ตาย น่าจะถูกดีดกลับไปแดนมนุษย์”
เสวียนจีได้ยินเขาพูดมั่นใจ ก็อดจ้องมองเขาไม่ได้ สองตากลมโตรากวับกำลังถามว่า “จริงหรือ”
จงหมิ่นเหยียนผินหน้าไปอีกทาง กล่าวฮึดฮัดว่า “ต้องเป็นเช่นนี้แหละ! เจ้าร้องไห้ทำไม น่าเกลียดมาก! บาดเจ็บก็ยังร้องไห้ เดิมก็หน้าตาน่าเกลียดอยู่แล้ว!”
เสวียนจีเห็นเขาตวาดใส่ ก็ร้องไห้ไม่ออกทันที สูดจมูกเสียงดัง มองเขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “เสวียนจี ครั้งหน้า เจ้า…ไม่ควรวู่วามเช่นนี้อีก นั่นเป็นเทพ…ครั้งนี้มีชีวิตรอดมาได้ ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว”
เลือดที่นางพ่นออกมายังเปื้อนเป็นรอยอยู่ตรงหน้าอก แผ่วงกว้างจนน่าตกใจ ตอนนี้แห้งแล้ว แต่ยังเปื้อนอยู่ตรงหน้าอก ทำให้คนมองแล้วใจเต้นหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ ยามนี้ฟื้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้อีก ยังพูดจาได้อีก ไม่อาจไม่กล่าวว่านางโชคดีมาก
เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้ทำไม พอขาดสติ ก็…”
แต่ไรมารั่วอวี้ที่ไม่ค่อยได้พูด อยู่ๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า “ตามความเห็นข้า เสวียนจีไม่ธรรมดานะ พวกเจ้าลืมแล้วหรือ เซินซูและอวี้ลวี่ราวกับรู้จักนาง ยังเรียกนางว่าแม่ทัพ! คิดว่าชาติก่อนเสวียนจีต้องไม่ธรรมดา”
เขากล่าวออกไปเช่นนี้ เสวียนจีในยามนั้นไร้วาจาจะกล่าว จงหมิ่นเหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยน มีเพียงอวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “รั่วอวี้ ยังไม่มีหลักฐาน กล่าวเช่นนี้ทำไมกัน”
รั่วอวี้หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ทำไมไม่มีหลักฐาน เมื่อครู่พวกเราก็ล้วนได้เห็นได้ยินกันไม่ใช่หรือ”
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น! เห็นก็ไม่เชื่อ! เทพสององค์นั้นต้องจำคนผิดแน่นอน!”
เสวียนจีฝืนรับคำ “ใช่…ใช่ ไม่ได้บอกหรือว่ากระบี่เปิงอวี้เป็นเทพศาสตรา พวกเขาอาจจะคิดว่าข้าเป็นเจ้าของกระบี่คนก่อนกระมัง…”
ใช่แล้ว พวกเขากล่าวออกมาว่า กระบี่นี่ไม่ชื่อกระบี่เปิงอวี้ ชื่อติ้งคุน ติ้งคุน…เหตุใดนางคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก
รั่วอวี้ไม่กล่าวอันใดอีก
อวี่ซือเฟิ่งแบกเสวียนจีเดินไประยะหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่นางมีสติแจ่มใสขึ้นมาก จึงถามนางอย่างอ่อนโยนว่า “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนไหม”
เสวียนจีส่ายหน้า “เมื่อครู่เจ็บหน้าอกมาก ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
กล่าวจบก็พลันหันไปทางเขา ลมหายใจอุ่นละมุนรดลงบนริมฝีปากนาง เสวียนจีพลันหน้าแดงก้มหน้าลงทันที
“อย่าขยับอีก ไม่อย่างนั้นข้าต้องถูกเจ้า…”
เขาสูดลมหายใจลึก วาจากล่าวไม่จบ
เสวียนจีพยักหน้าเล็กน้อยพึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้า ครั้งหน้าจะฟังเจ้า…”
ข้างหูได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ ราวกับมือน้อยๆ อ่อนนุ่มลูบลงกลางใจที่เจ็บปวดของนาง รู้สึกวาบไหว รู้สึกสบายอย่างยิ่ง นางอยากจะครางเบาๆ ออกมา แต่หน้ายังบางอยู่ ใบหน้าร้อนผ่าวราวไฟแผดเผา ยกมือโอบคอเขาไว้ แนบชิดใบหูเขากล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…หนักมากกระมัง ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว เดินเองได้แล้ว”
ขนตายาวอวี่ซือเฟิ่งกระเพื่อมไหว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ปล่อย”
หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า “สี่ปีก่อนข้าก็เริ่มนึกเสียใจภายหลังแล้วว่าเหตุใดไม่ใช่ข้าที่แบกเจ้า”
เสวียนจีนิ่งอึ้ง คิดไปถึงเมื่อสี่กว่าปีก่อนที่ทุกคนไปเขาลู่ไถซานจับอินทรีกู่เตียว ยามนั้นนางไร้ประโยชน์มาก ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ถูกหนามต้นไม้แทงเท้าบาดเจ็บ คนแบกนางอย่างไม่เต็มใจก็คือจงหมิ่นเหยียน ยามนี้เขาเอาเรื่องเก่ามากล่าวถึงอีก ทำเอานางอยู่ๆ เกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ตอนนั้นมีกันสามคน ต่อมามีหลิงหลงเข้ามาแทรก กลายเป็นสี่คน ทั้งสี่ไม่ว่าทำอะไรก็ไปด้วยกัน สาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะเป็นสหายสนิทกัน
ชั่วชีวิต…
“แม้ว่าถูกท่านพ่อขับจากสำนัก ข้าก็ไม่นึกเสียใจภายหลังที่มาเขาปู้โจวซานช่วยหลิงหลง”
นางกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นเบาๆ
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด แสงจันทร์เย็นเยียบส่องลงบนใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม แพขนตายาวหนาน่าหลงใหล มองไปยังเขาปู้โจวซานไร้ขอบเขต ยาวไกลจนตามองไปไม่สุด แสงจันทร์บนท้องฟ้าส่องปกคลุมราวกับเอื้อมมือออกไปก็สัมผัสได้
ภาพป่าเขาเช่นนี้ไม่รู้ทำไมกลับทำให้เสวียนจีไม่อาจตัดใจอยู่บ้าง
พิงอยู่บนแผ่นหลังกว้างของเขาส่ายไหวไปมา รอบกายเงียบสงบไร้สำเนียงเสียงใด มีเพียงใจสองดวงของทั้งสองเต้นอยู่ นางได้แต่หวังอยากให้เส้นทางยืดยาวออกไปอีกสักหน่อย ยาวออกไปอีกหน่อย อย่าได้รีบถึงเร็วนัก ให้นางได้อยู่เงียบๆ กับเขาสักพัก ให้เส้นทางยาวไกลออกไปอีกสักหน่อย