“ใช่แล้ว” จงหมิ่นเหยียนพลันคิดอันใดขึ้นมาได้ ก้าวเท้าไล่ตามสองคนนั้นไป สีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าเข้าใกล้ประตูใหญ่แดนปรภพเห็นอันใด เหตุใดจึงได้แตกตื่นตกใจเช่นนั้น”
เดิมนางก็เหินไปอยู่ดีๆ เห็นๆ ว่าจะส่งจิ้งจอกม่วงเข้าไปได้สำเร็จแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ ส่ายไปมาราวกับตกใจอันใด ปรากฏไม่อาจทำได้สำเร็จ
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานก่อนจะกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “จริงๆ แล้วแม้แต่ข้าเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น ตอนนั้นข้าเหมือนเห็นในป่าตรงหน้ามีคนเงยหน้ามองมา…ในนั้นมีคนหนึ่ง ข้าเคยเห็นมาก่อน”
ทุกคนได้ยินก็พากันตะลึงงัน เขาปู้โจวซานไม่อนุญาตให้มนุษย์ธรรมดาเข้ามา แน่นอนให้เพียงปีศาจที่มีชีวิตเติบโตที่นี่ และการอนุญาตนี้ยังคงเหมือนว่ามีเวลาจำกัด หากเกินกำหนดไม่ได้กลับมายังเขาปู้โจวซาน ก็ไม่อาจเข้าออกตามใจได้อีก เพราะจิ้งจอกม่วงออกไปนาน ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นคนนอก หากเสวียนจีบอกว่ามองเห็นปีศาจหน้าตาน่าเกลียดอันใด พวกเขาผู้ใดก็คงไม่ตกใจ หรือคนที่บอกว่าเห็นนั้นเป็นคนที่คาดไม่ถึง หรือว่าอาศัยตอนประตูแดนปรภพเปิด มนุษย์ธรรมดาเข้ามาหาคน?
“เจ้าเห็นผู้ใด?” อวี่ซือเฟิ่งถามน้ำเสียงนิ่ง
เสวียนจีคิดไปมากล่าวว่า “ฟ้ามืด ข้ามองไม่ชัดเท่าไร แต่พอมองไป เหมือนเห็นคนสำนักเซวียนหยวน ข้าจำได้ว่างานชุมนุมปักบุปผาปีนั้น มีคนสำนักเซวียนหยวนสองสามคนมาพบพวกเราบอกว่าจะช่วยตามหาเสี่ยวอิ๋นฮวา เรื่องนี้พวกเจ้ายังจำได้ไหม?”
แน่นอนว่าจำได้สิ! นั่นเพื่อแก้แค้นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงอูถงนั่นที่เหิมเกริม เป็นวิธีที่อวี่ซือเฟิ่งคิดออกมาจัดการกับเขาโดยเฉพาะ คิดถึงตอนเด็กร่วมหัวกันซุกซุนแล้ว อวี่ซือเฟิ่งกับจงหมิ่นเหยียนก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนั้นเป็นเด็กน้อย พวกเขาจึงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเท่าไร จึงซุกซนกันอยู่มาก
เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ที่ข้าเห็น…ก็คือคนผู้นั้น สวมชุดดำ แขวนห่วงเหล็กขาว…ข้ารู้สึกว่าอาจมองผิด”
ทุกคนไร้วาจาจะกล่าว ตอนพวกเขาอยู่เกาะฝูอวี้ก็ได้ยินว่าสำนักเซวียนหยวนถูกกวาดล้างหมดสำนักก็เพราะโซ่หมุดทะเล เจ้าสำนักแต่ละคนยังรู้สึกทอดถอนใจในเรื่องนี้ ตอนนี้ราวกับเรื่องราวอยู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนแปลงใหญ่ เริ่มจากพวกเขามาเขาปู้โจวซาน สิ่งที่ได้เห็นก่อนหน้ากับความจริงที่เคยเชื่อราวกับเปลี่ยนแปลงไป
แต่ไรมาเสวียนจีไม่โกหก ยิ่งไม่พูดเรื่องที่ไร้ความจริงอันน่าเชื่อได้ แม้แต่จงหมิ่นเหยียนก็ยอมรับเรื่องนี้ หากนางบอกว่าเห็น ก็ต้องเห็น
ปัญหาอยู่ตรงหน้าตอนนี้แล้ว สำนักเซวียนหยวนเห็นชัดว่าถูกกวาดล้าง เพราะเหตุใดศิษย์พวกเขาถึงกับปรากฏตัวที่เขาปู้โจวซานนี้ แต่งกายชุดมารปีศาจพวกนั้น
“น่ารังเกียจ! ข้าว่าแล้ว สำนักเซวียนหยวนไม่มีคนดีสักคน!” จงหมิ่นเหยียนก่นด่า “พวกเขาย่อมต้องยอมสยบให้กับพวกมารปีศาจชั่ว กลายเป็นพวกเดียวกับพวกมันไปแล้ว!”
“เอ่อ…ไม่ขนาดนั้นมั้ง…” เสวียนจีเกาหัวแกรก “พวกเขาก็เป็นสำนักบำเพ็ญเซียน ไม่ควรยอมสยบง่ายดายเพียงนั้น”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวอย่างเจ็บแค้นว่า “ถุย! ร่วมเป็นห้าสำนักใหญ่กับพวกเขา ช่างน่าขายหน้าจริง! ล้วนแต่เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ!”
อวี่ซือเฟิ่งลูบคางตนไปมานิ่งเงียบก่อนจะกล่าวว่า “อืม ข้าเคยได้ยินว่าสำนักเซวียนหยวนมีเรื่องกับสำนักเส้าหยาง เมื่อก่อนพวกเขาเคยคิดกลืนกินเส้าหยาง สุดท้ายไม่เพียงไม่สำเร็จ กลับยังเสียหายหนัก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นคืน ไม่แน่พวกเขายังคงแค้นใจมาตลอด อาจอาศัยการร่วมมือกับมารปีศาจครั้งนี้จัดการแค้นเก่า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนก็พากันส่งเสียงร้อง “อา” ขึ้น สบตากันอย่างตกใจ พวกเขาคิดถึงเกาะฝูอวี้ หลังตู้หมิ่นหังบาดเจ็บก็มีวาจาฝากกลับมาด้วย เขาว่ามารปีศาจพวกนั้นประกาศว่า จะทำลายสำนักเส้าหยางให้ราบ!
เรื่องราวเปะปะกระจัดกระจายราวกับค่อยๆ รวมเป็นหนึ่ง เหตุใดพวกเขาต้องจับหลิงหลงไป เหตุใดทำร้ายนาง เหตุใดจงใจปล่อยตู้หมิ่นหังกลับมาสื่อความ…ที่เรียกว่า ‘บุญคุณความแค้นวันวานถือว่าสิ้นสุดกัน ไม่ช้าไม่เร็วเขาจะทะลายสำนักเส้าหยางให้ราบ’ ที่หมายถึงย่อมต้องเป็นบุญคุณความแค้นระหว่างเซวียนหยางกับเส้าหยางหลายปีก่อนเป็นแน่!
อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาเริ่มคิดวุ่นวายใจ อดกล่าวไม่ได้ว่า “ล้วนเป็นการคาดเดา ใช่ว่าเป็นจริง สำนักเส้าหยางใหญ่เพียงนั้น ใช่ว่าบอกว่าจะทำลายให้ราบก็จะทำลายให้ราบได้”
จงหมิ่นเหยียนไม่รู้คิดอันใดอยู่ พยักหน้าส่งเดชไป สีหน้าบึ้งตึงดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม
เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “พวกเรา…พวกเรารีบไปช่วยหลิงหลงกับศิษย์พี่รองกลับมา! จากนั้น…จากนั้นกลับสำนักเส้าหยาง”
แววตาจงหมิ่นเหยียนวูบไหว ก้มหน้าลงยังคงไม่กล่าวอันใด รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ข้าว่าพวกเจ้าคิดมากไปแล้ว สำนักใหญ่ไหนเลยแอบทำเรื่องชั่วร้ายได้ ว่าไปแล้ว มารปีศาจพวกนั้น หากจะทำลายสำนักเส้าหยาง พวกเจ้าแค่สองคนกลับไปจะมีประโยชน์อันใด”
แต่ไรมาเขาเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล วันนี้กล่าววาจาบาดหูยิ่ง ในใจเสวียนจีไม่พอใจ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แม้ไม่มีประโยชน์ก็ต้องไป หรือว่าจะให้นั่งมองดูคนอื่นทำลายบ้านตัวเองกัน ร่วมเป็นร่วมตายใช่ว่าพูดกันเอาสนุกนะ!”
รั่วอวี้ลูบศีรษะหันหน้าเดินต่อ พลางยิ้มกล่าวว่า “ก็จริง เสวียนจี หากเจ้ากลับไปได้ ไม่แน่อาจยับยั้งหายนะใหญ่ได้ อย่างไรเซินซูและอวี้ลวี่ก็เรียกแม่ทัพนี่”
วาจากล่าวออกมา นางได้แต่อึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “รั่วอวี้”
รั่วอวี้ส่ายหน้า “ข้ากล่าวเกินไปแล้ว ขออภัย แต่เรื่องไม่มีหลักฐาน อย่างไรก็อย่าเพิ่งเป็นกังวลกันไป ดีไหม”
เขากล่าวได้มีเหตุผล เสวียนจีเงียบไปครู่หนึ่ง พลันดิ้นจะลงจากหลังอวี่ซือเฟิ่ง รู้สึกเพียงแค่เท้าอ่อนแรงราวกับเหยียบลงบนก้อนฝ้าย ในกายอย่าว่าแต่พลังวัตร แม้แต่ลมหายใจก็ยังหายใจลำบากอย่างที่สุดเดินได้สองก้าวก็รู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง อวี่ซือเฟิ่งรีบประคองนางไว้ขมวดคิ้วว่า “อย่าเอาแต่ใจ!”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ ข้าเดินเองได้ เดินหน่อยก็ดีขึ้น”
ไม่อาจเอาแต่อยู่บนหลังผู้อื่น เช่นนี้ย่อมไม่อาจช่วยหลิงหลงกลับมาได้ นานมาแล้วเมื่อก่อนนางเคยสาบานว่าจะไม่สร้างความยุ่งยากอะไรให้กับใครอีก นางหวังว่ามาเขาปู้โจวซานครั้งนี้จะได้ช่วยหลิงหลงกลับไปด้วยมือของนางเอง ไม่ใช่ยืนมองให้คนอื่นมาช่วย
อวี่ซือเฟิ่งเห็นว่ากล่าวเตือนไม่เป็นผล ได้แต่ยอมนาง
เขาปู้โจวซานไม่มีกลางวันกลางคืน พวกเขาเดินมานาน รู้สึกเพียงแค่หากนับเวลาในแดนมนุษย์ แดนมนุษย์น่าจะเช้าแล้ว บรรยากาศที่นี่ไม่แปรเปลี่ยนแม้สักนิด
แต่เสียงคำรามดังหน้าประตูแดนปรภพไกลออกไปนั่นราวกับค่อยๆ สงบลงแล้ว อวี่ซือเฟิ่งมองท้องฟ้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คิดว่าเป็นเวลาปิดประตูหน้าแล้ว พวกเราเตรียมตัวให้ดี อย่าเหมือนเมื่อครู่”
แม้กล่าวว่าเมื่อครู่ตอนพวกเขาช่วยเสวียนจีเหินกระบี่ออกมาไกลมาก แต่การเปิดปิดของภูเขาก็ย่อมต้องใช้แรงกำลังมาก ย่อมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างยิ่งยวด เสวียนจีเพิ่งบาดเจ็บ ไม่อาจให้นางได้รับการกระทบกระเทือนหนักอีก ทุกคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ใช้เชือกรัดเอวไว้ เช่นนี้ไม่ว่าพื้นดินจะสะเทือนเช่นไร อย่างน้อยก็ไม่ทำให้คนบาดเจ็บ
ไกลออกไปมีเสียงดังกระหึ่มมา เสวียนจีนอนหงายอยู่บนต้นไม้มองดูเขาปู้โจวซานตระหง่านสูงเสียดเมฆเงียบๆ มันแยกออกเป็นช่องทางราวกับปากกว้างขนาดใหญ่ หากเข้าไปทางนั้นก็ย่อมถึงแดนปรภพ
แดนปรภพ…แดนปรภพเป็นอย่างไร? ได้ยินว่าข้ามแม่น้ำนั่นก็ต้องดื่มน้ำลืมภพชาติ ลืมเรื่องราวภพเดิมให้หมดสิ้นไป เวียนว่ายตายเกิดรอบใหม่ ชาติก่อนของนางก็เคยดื่มน้ำลืมภพชาตินี้หรือ คิดว่าคงไม่ตั้งใจดื่ม ผลปรากฎทำเอาชาตินี้นางมักจะจำเรื่องราวบางอย่างได้ แต่ทว่า…ก็เหมือนนิสัยนางจริงๆ ทำอะไรมักจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มุมปากเสวียนจียกยิ้มอย่างเสียไม่ได้พลางหลับตาลง ราวกับมีภาพทุ่งดอกไม้ราวเปลวเพลิงผืนใหญ่ลอยอยู่เบื้องหน้า บานเต็มทั่วริมฝั่งน้ำ เอื้อมมือไปคว้า ดอกไม้เหล่านั้นราวกับไม่มีก้าน ถูกมือคว้าได้เช่นนี้ กลีบดอกเรียวยาวขดม้วนราวกับอุ้งเท้ามังกร ดุร้ายและล่อลวง
ข้างกายราวกับมีคนส่งเสียงไม่หยุด ราวกับกำลังพูดกับนางก็ไม่เชิง
เสวียนจี เจ้าต้องจำให้ได้…
นางพลันสะดุ้งตกใจ ต้นไม้ใต้ร่างเริ่มสั่นไหว เขาปู้โจวซานยิ่งใหญ่ถูกเซินซูและอวี้ลวี่ทั้งสองคนค่อยๆ ลากปิดลง ความสะเทือนรุนแรงกระแทกใส่หน้าอกนางจนรู้สึกปวดปลาบ นางหายใจไม่ออก ได้แต่ใช้มือกดหน้าอกไว้ ในอกเต้นโครมครามราวกับโดนแส้นั่นฟาดเอา
พลันมีมือหนึ่งทาบลงมา ไม่เหมือนฝ่ามืออวี่ซือเฟิ่ง รู้สึกถึงความหยาบกระด้าง ฝ่ามือร้อนและยังชื้นเหงื่อ
นางอึ้งมองคนข้างกายผู้นั้น เป็นจงหมิ่นเหยียน! เขากุมมือนางแน่น สองตาจับจ้องนางราวกับทะเลลึกที่สุด นางมองไม่ออก
“เจ็บหรือ” เขาถามเบาๆ มองไปยังเขาปู้โจวซานไกลออกไป “ใกล้จะพ้นแล้ว”
นางกล่าวไม่ออกสักคำ รู้สึกเพียงแค่จากเส้นผมจรดปลายเท้าล้วนสั่นไหว นางไม่เคยคิดเลย ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะดีกับนางเช่นนี้ เขามองนางนิ่งเงียบ ความนิ่งเงียบนี้ถึงกับมีความกังวลเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
ศิษย์พี่หก? นางอ้าปากคิดถาม ลำคอพลันไม่อาจเปล่งเสียง
จงหมิ่นเหยียนก้มหน้าลงมองนาง นางไม่เคยเห็นอารมณ์ความรู้สึกนี้จากใบหน้าเขา ราวกับเจ็บปวด สิ้นหวัง ไม่อาจตัดใจ ลำบากใจ สงบนิ่ง…อารมณ์หลากหลายทับซ้อนถาโถม ใบหน้าเขาราวกับครอบด้วยผลึกแก้วชั้นหนึ่ง อารมณ์เหล่านั้นถูกผนึกอยู่ใต้เปลือกนอกที่นิ่งสงบ
“เสวียนจี เจ้า…” เสียงเขาเบามากๆ ราวกับสายลมอ่อนที่พัดผ่านลานด้านหน้าหลังเที่ยงในฤดูร้อน “วันหน้าอย่าวู่วามอีก ให้คนอื่นดูแลให้มากหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี”
หมายความว่าอย่างไร
เขาปล่อยมือกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นเหมือนเดิม…ขี้เกียจต่อไป ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี ผู้ใดก็…ไม่อาจตำหนิเจ้า”
อาการเต้นโครมครามเริ่มสงบลง เสวียนจีผุดลุกนั่ง เขาหันหน้ากระโดดลงจากต้นไม้ไป ท่าทางสงบนิ่งราวกับเมื่อครู่เขาไม่ได้กล่าวอันใดอย่างไรอย่างนั้น