“ศิษย์พี่หก” นางเรียกขึ้นเสียงหนึ่งก่อนไล่ตามไป
อวี่ซือเฟิ่งบนต้นไม้พลันเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน! มีคนมา!”
นางอึ้ง หันกลับไปเห็นไกลออกไปมีหลายคนเหินกระบี่มาอย่างรวดเร็ว พริบตาก็มาถึงเหนือศีรษะ นางเห็นเพียงหนึ่งในนั้นแขวนห่วงเหล็กขาวลอยตัวขึ้นมาตามแรงลม ในใจอดตกใจไม่ได้
จงหมิ่นเหยียนรีบเหินกระบี่ขึ้นไป ชักกระบี่แทงออกไปเต็มแรง อวี่ซือเฟิ่งด้านล่างเองก็ไม่รอช้า ปล่อยลูกเหล็กออกไปกำหนึ่งก่อนหน้าแล้ว
คนเหล่านั้นได้ยินเสียงลมด้านหลังมาก่อนแล้ว จึงพากันตวัดกระบี่กันไว้ ได้ยินเสียงตึงตังดังไม่หยุด ตามมาด้วยเสียงร้องสะอึกของคนผู้หนึ่ง คิดว่าน่าจะโดนลูกเหล็กยิงโดนเข้าแล้ว จงหมิ่นเหยียนเห็นกระบี่ถูกพวกเขาฟันหล่น ก็รีบพุ่งเข้าไปแย่งคืนมา พอยืนมั่น คนเหล่านั้นก็ร่วงลงไปด้านล่างนานแล้ว หนึ่งในนั้นสีหน้าโมโหกุมแขนแน่น ในมือบี้ลูกเหล็กเม็ดหนึ่งไปมา ถามดุดันว่า “อาวุธลับผู้ใด?!”
เสวียนจีเห็นใบหน้าพวกเขาชัด อด “อา” ขึ้นเสียงหนึ่งไม่ได้ พวกเขาตะลึงไปทันทีที่พบกว่าคนเหล่านี้คุ้นหน้ายิ่ง เป็นพวกศิษย์สำนักเซวียนหยวนที่มาสำนักเส้าหยางเมื่อสี่ปีก่อน พวกที่มาถามเรื่องเสี่ยวอิ๋นฮวา
อวี่ซือเฟิ่งก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อาวุธลับเป็นของข้าเอง แต่ไม่ได้ทำร้ายคนบาดเจ็บ ทำร้ายแค่ปีศาจ”
คนผู้นั้นถึงกับโมโหสุดขีด มองเห็นพวกเขาสี่คนชัดแล้วก็อึ้งไป ตามมาด้วยท่าทางเก้กังบอกไม่ถูก
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ข้าเพิ่งรู้ สำนักเซวียนหยวนยิ่งใหญ่กลับเป็นพวกเดียวกับมารปีศาจ วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว”
คนเหล่านั้นท่าทางเก้กังอึกอักดังคาด มีแววละอายขึ้นมาแวบหนึ่ง คนที่ถูกลูกเหล็กยิงใส่ผู้นั้นอึ้งไป ก่อนจะถามน้ำเสียงแหบว่า “พวกเจ้ามาเขาปู้โจวซานได้อย่างไร ที่นี่ไม่ได้มากันได้ตามอำเภอใจ!”
อวี่ซือเฟิ่งจงใจกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? ไม่อาจมาได้ตามอำเภอใจ? เช่นนั้นพวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
คนผู้นั้นเบื้อใบ้ทันที คนข้างๆ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “พูดกับพวกเขาให้มากความทำไม?! อย่างไรพวกเขาสี่สำนักก็จะถูกพวกเราทำลายราบในไม่ช้านี้แล้ว! วันนี้สังหารเอาฤกษ์ก่อนสักสองสามคนแล้วกัน!”
กล่าวจบก็ได้ยินเสียงโลหะดัง สองฝ่ายต่างชักกระบี่ออกมาตั้งท่าใส่กัน เสวียนจีมือไม้อ่อนแรง รู้ว่าตนเองช่วยอันใดไม่ได้ ได้แต่หลบไปด้านหลัง
คนผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ไม่…ไม่ต้องกระมัง? พวกเขาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้น แม้ว่าไม่รู้พวกเขาใช้วิธีการใดมายังเขาปู้โจวซานได้…ยามนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ กลับไปพบเจ้าสำนักสำคัญกว่า”
หลายคนด้านหลังฟังคำพูดเขาอยู่ไม่น้อย จึงเก็บกระบี่คืนฝักท่าทางฮึดฮัด หันกายจะจากไป อวี่ซือเฟิ่งรีบกล่าวว่า “ช้าก่อน! บอกข้าก่อน แท้จริงเกิดอันใดขึ้นกับสำนักเซวียนหยวน!”
คนผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า! วันนี้ปล่อยเด็กน้อยเช่นพวกเจ้าไปชั่วคราว รีบไสหัวไป! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ากระบี่พวกเราไร้น้ำใจ”
รั่วอวี้อยู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ไม่เจอกันหลายปี สำนักเซวียนหยวนวาจาห้าวหาญไม่น้อยนะ ตอนนี้มีปีศาจให้ท้าย ต่างจากคนทั่วไปจริงๆ”
หลายคนเผยแววละอายใจออกมา เห็นชัดว่าการร่วมมือกับปีศาจพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเองอยากกระทำ แต่เบื้องบนย่อมต้องมีคนบีบบังคับพวกเขาอยู่ ดังนั้นจึงทำอันใดไม่ได้
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ภายนอกลือกันว่าสำนักเซวียนหยวนถูกมารปีศาจทำลายล้างในคืนเดียว โซ่หมุดทะเลที่ฝังในสำนักถูกทำลาย…เรื่องนี้จริงหรือ ตอนนี้ทำไมพวกเจ้า…แต่งกายเป็นมารปีศาจ”
คนผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งก็ไม่กล่าวอันใด ด้านหลังมีคนกล่าวว่า “ถามมากมายไปทำไมกัน?! อย่างไรใต้หล้านี้ผู้แข็งแกร่งก็กลืนกินผู้อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว พวกเจ้าสี่สำนักไม่รู้จักหาประโยชน์ให้ตนเอง มีแต่ชื่อเสียงสำนักบำเพ็ญเซียนยิ่งใหญ่! ต้องรู้ว่ามีเพียงกำลังเข้มแข็งจึงจะสำคัญที่สุด! ชื่อเสียงโด่งดังมีประโยชน์อันใด”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ข้าก็พอเข้าใจ คิดว่าสำนักเซวียนหยวนคงร่วมมือกับมารปีศาจพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้าคุกเข่าขอร้องขอให้พวกเขารับพวกเจ้ามาเขาปู้โจวซานเป็นสุนัขรับใช้ ดีใจขึ้นมาก็โยนกระดูกให้แท่งหนึ่ง ไม่พอใจขึ้นมาก็ลากออกไปสังหารทิ้ง…”
วาจานี้ฟังแล้วบาดหู คนเหล่านั้นไหนเลยจะทนไหว กระโดดเข้าโจมตีทันที การเคลื่อนไหวครั้งนี้แทงพุ่งตรงใต้หน้าอกเขา เขาจึงหันกลับไปตะโกนเรียก “หมิ่นเหยียน!”
จงหมิ่นเหยียนยืนอยู่ข้างๆ ยามนี้ออกแรงตวัดกระบี่ ย่อมทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ไอกระบี่เขาค่อนข้างร้ายกาจ
ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับไม่ขยับ ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับท่อนไม้ อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป คนพวกนั้นตวัดกระบี่ฟันมาแล้ว เขาได้แต่ตวัดกระบี่สู้กับพวกเขาอีกทาง ดีที่คนพวกนั้นแม้ว่าแต่งกายแบบมารปีศาจ แต่ไม่ได้ร้ายกาจเท่าไร วิชากระบี่ก็ธรรมดา สู้กันไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกเขากับรั่วอวี้บีบจนกระบี่ในมือร่วง
อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาคิดหนี ก็รีบไล่ล่าตามไป ยกมือคว้าไว้ได้คนหนึ่ง ใช้กระบี่จี้ลำคอเขาไว้ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้หนี! รังมารปีศาจอยู่ที่ใด?! รีบบอกมา!”
คนเหล่านั้นมองศิษย์ร่วมสำนักถูกจับได้ ก็ได้แต่หยุดลงกล่าวว่า “เจ้าไยบีบบังคับกันเช่นนี้ หากพวกเราพูด พวกเจ้าไปก่อเรื่องที่นั่น พวกเราเองก็ต้องตาย เจ้าไม่สู้มอบให้พวกเราคนละกระบี่ ให้เราไม่ต้องทรมาน!”
อวี่ซือเฟิ่งคิดไม่ถึงพวกเขาจะกล่าวเช่นนี้ พลันตะลึงไปทันที จงหมิ่นเหยียนที่ด้านข้างที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยว่า “พวกเราไม่ไปก่อเรื่อง จริงๆ แล้วเมื่อครู่ข้าได้ฟังพวกเจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่เลว ผู้เข้มแข็งย่อมกลืนกินผู้อ่อนแอกว่า สำนักเซวียนหยวนรู้จักไปตามคลื่นลม ไปร่วมมือกับมารปีศาจแล้ว ข้าได้แต่ขอถามพวกเจ้า มารปีศาจพวกนั้นแท้จริงร้ายกาจขนาดไหน”
“หมิ่นเหยียน!” อวี่ซือเฟิ่งถลึงตาจ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับไม่รู้จักเขา
สีหน้าจงหมิ่นเหยียนสงบนิ่งไม่สนเขา คนผู้นั้นได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ย่อมร้ายกาจ…อย่าว่าแต่สำนักเซวียนหยวน แม้แต่ทั้งสำนักเส้าหยางพวกเจ้าร่วมมือกันก็ยากรับมือ สู้พวกเขาไม่ได้หรอก มนุษย์ธรรมดาเดิมก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางที่สุดในบรรดาสรรพชีวิต สู้กับฟ้าดิน…ก็แค่ความคิดเหิมเกริมของผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้นเอง…”
ทุกคนต่างก็เคยลิ้มรสมารปีศาจมา ครั้งนี้ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดหนาวเหน็บในใจไม่ได้
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “มิอาจตำหนิสำนักเซวียนหยวนที่ยอมถอยและขอร้อง ชายชาตรีรู้จักยืดรู้จักหดก็ไม่เลวนี่ เอาอย่างนี้ พวกเจ้านำพวกเราไปสำนักใหญ่ ข้ามีวาจาอยากถามเจ้าสำนักพวกเจ้า”
คนผู้นั้นมองเขาอย่างสงสัยราวกับคิดมองดูจากสีหน้าเขา แต่เขากลับไร้อารมณ์ความรู้สึก มองอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้แต่ตัดใจกล่าวว่า “พาศัตรูเข้าสำนัก…เรื่องนี้ข้าไม่กล้าทำ หากพวกเจ้าจะบังคับก็สังหารข้าก่อนเถอะ!”
รองเจ้าสำนักแต่ไรมาก็เป็นปีศาจที่ชอบทรมานคน หากตกอยู่ในเงื้อมมือเขา เกรงแต่ว่าขอมีชีวิตรอดก็ยาก ขอตายก็ไม่ได้ ตอนนี้ตายใต้คมกระบี่คนพวกนี้ยังไม่ทรมาน
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “อะไรเรียกว่าพาศัตรูเข้า? ข้าเป็นศัตรูหรือ ข้าฟังเจ้าว่ามามีเหตุผล คิดจะขอพบเจ้าสำนักพวกเจ้า ผิดตรงไหน จริงๆ แล้วแม้เจ้าไม่พูด ข้าเองก็รู้ว่าสำนักใหญ่พวกเจ้าอยู่ไม่ไกลจากนี้ ตอนนี้ข้าถามก็เพราะให้เกียรติพวกเจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นวาจาเขาลื่นไหล ในใจก็แอบตกใจ แต่ก็พลันคิดได้ เข้าใจว่ายามนี้เขาไม่อาจเล่นไม้แข็ง ตอนนี้ล่อหลอกคนพวกนี้ให้นำทางพวกเขาไปสำนักใหญ่ไปก่อน จะมาเสียแรงลงมือสังหารกลับไม่ดี เขาคิดไม่ถึงจงหมิ่นเหยียนจะวางแผนได้เร็วปานนี้ ในใจอดแอบชื่นชมไม่ได้ จึงยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว หากได้พบเจ้าสำนักพวกเจ้า คิดดูแล้วไม่เลว พวกเราก็ขอเข้าร่วมด้วยเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าวันหน้าทุกคนย่อมเป็นพวกเดียวกัน เจ้าสำนักไหนเลยจะลงโทษเจ้า”
คนพวกนั้นเห็นพวกเขาทีแรกท่าทีดุดัน ภายหลังท่าทีอ่อนน้อม ท่าทีเปลี่ยนไปมา ในใจยังคงลังเลสงสัยอยู่ แต่หากอีกฝ่ายจะใช้ไม้แข็ง ตนเองก็สู้ไม่ไหวจริงๆ ไม่สู้ทำเป็นหลงกล นำพวกเขาไปสำนักใหญ่ ให้พวกมารปีศาจมารับมือเองดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ พวกเขาจึงพยักหน้า “เอาเถอะ พาพวกเจ้าไปก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะ รองเจ้าสำนักอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าพูดจาระวังหน่อย ทำเขาโมโห ผู้ใดก็อย่าคิดมีชีวิตรอด”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น ซือเฟิ่ง เจ้าปล่อยพี่ชายท่านนี้ก่อน รบกวนเขานำทางให้พวกเรา”
อวี่ซือเฟิ่งรีบเก็บกระบี่คืนฝัก ประสานมือกล่าวว่า “ล่วงเกินแล้ว โปรดอภัย!”
คนผู้นั้นลูบท่อนแขนที่ถูกเขากำแน่นจนเจ็บ หันกลับไปมองเขาสองคนอย่างสงสัย กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเจ้า…รีบไปรนหาที่ตาย ไยต้องทำเช่นนี้”
จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้ากล่าวว่า “พี่ชายกล่าวเกินไปแล้ว พวกเราต้องการพบเจ้าสำนักย่อมต้องมีเหตุผล เชื่อว่าเหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายให้พวกท่านฟังกระมัง”
คนผู้นั้นไม่กล่าวอันใดอีก ก้าวเดินมาด้านหน้าพลางหันกลับไปกวักมือ “เช่นนั้นก็เชิญตามข้ามา”