เมื่อครู่จงหมิ่นเหยียนบอกว่าแม้พวกเขาไม่นำทาง ตนเองก็รู้ว่ารังพวกเขาอยู่ที่ใด แต่จริงๆ แล้วเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะใกล้เพียงนี้ เพียงแค่เดินออกจากป่ามาเลี้ยวโค้งก็ถึงแล้ว
นั่นเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีขนาดกว้างยาวราวครึ่งลี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางเข้าเปิดกว้างอย่างไม่ปิดบัง ด้านในมืดมิด พัดหอบกลิ่นลมอับชื้นออกมา มองไม่เห็นสุดถ้ำ ไม่ว่าผู้ใดเพียงแค่ได้เห็นถ้ำนี้ ก็มักจะไม่อยากจะเข้าใกล้
คนเบื้องหน้าผู้นั้นผายมือเชิญ กล่าวว่า “อยู่ที่นี่แล้ว”
จงหมิ่นเหยียนไม่คิดสงสัย อืม ขึ้นเสียงหนึ่งเดินนำเข้าไป เสวียนจีเห็นด้านในมืดมิด ในใจอดตระหนกไม่ได้ เรียกเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หก…”
ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าในถ้ำนั้นมีอะไรรอพวกเขาอยู่ บางทีคนเหล่านั้นอาจจะหลอกพวกเรา ด้านในอาจมีปีศาจกินคนซุ่มซ่อนคอยจู่โจมอยู่ก็ได้ หรืออาจเป็นพื้นที่ของพวกมารปีศาจทั้งกลุ่มนั้น เข้าไปก็ย่อมฉีกพวกเราเป็นชิ้นๆ…เหตุเพราะไม่รู้ ดังนั้นจึงได้หวาดกลัว
อวี่ซือเฟิ่งแอบกุมมือนางไว้เงียบๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เข้าไปแล้วต้องจำทางให้ได้ หากพบเหตุ ไม่ต้องสนใจอันใด รีบกลับออกมาตามทางเดิม เข้าใจไหม”
เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า ในใจตั้งใจมั่นแล้วว่าหากทุกคนไม่หนีออกมา นางก็ยอมตายพร้อมพวกเขา
เป็นเพราะใส่ใจ อวี่ซือเฟิ่งจึงไม่ทันคิด มองไม่ออกว่านางโกหก ยามนั้นจึงวางใจจูงมือนางเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมกับทุกคนอย่างวางใจ
ในถ้ำมีบันได้กว้างราวสองฉื่อ เดินผ่านได้ทีละคน ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมืดสนิท เริ่มค่อยๆ ไร้แสง อวี่ซือเฟิ่งจูงมือเสวียนจี เดินก้าวไป คนหนึ่งอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งอยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียนหน้าสุดกล่าวว่า “ไม่มีเทียนหรือ”
ทันใดนั้นก็มีคนตอบว่า “ตามหลักแล้วไม่อนุญาตให้จุดเทียน แต่ทุกท่านมากันครั้งแรก ละเมิดสักคราก็ไม่เป็นไร”
วาจากล่าวจบ ด้านหน้าก็มีแสงไฟจุดขึ้นดังคาด คนเหล่านั้นพกแท่งไฟน้ำมันสนติดตัว เมื่อจุดขึ้นในมือคนหนึ่ง ในถ้ำก็สว่าง ยามนี้จึงได้ปรากฏภาพ ในถ้ำนี้กว้างขวางกว่าพื้นที่ด้านบนที่มองด้วยตาหลายเท่า พื้นที่ในถ้ำกว้างมาก ผนังถ้ำยังมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยเรียงเต็มไปทั่ว มองผ่านๆ ไม่ต่ำกว่าร้อย ด้านหน้าถ้ำแต่ละถ้ำมีบันได้กว้างราวสองฉื่อ เรียงตัวหนาแน่นราวกับใยแมงมุม
อวี่ซือเฟิ่งคิดว่าที่นี่มีทางสายเดียว ผู้ใดจะคิดว่าสภาพในนี้ถึงกับไม่เหมือนที่คิดไว้ จึงร้อนใจเงยหน้าขึ้นมองปากถ้ำที่ไกลจนมองไม่เห็นแล้ว เส้นทางใต้ฝ่าเท้าตนเองเดินมาก็ไม่รู้เป็นทางแยกที่เท่าไร ก่อนหน้านี้คิดว่าจะจดจำทางไว้ ดูเหมือนไม่อาจทำได้แล้ว ในใจพลันเริ่มเคร่งเครียดยิ่งขึ้น
จงหมิ่นเหยียนเองก็ไม่คาดคิดว่าที่นี่จะกว้างขวางเพียงนี้ ตะลึงไปครู่หนึ่ง กล่าวชมว่า “ร้ายกาจ!”
คนสำนักเซวียนหยวนหลายคนฟังคำชมของเขาว่าจริงใจก็รู้สึกได้ใจอยู่บ้าง ยิ้มกล่าวว่า “ที่ร้ายกาจยังรออยู่เบื้องหน้า ตอนนี้ควรรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่พวกไม่ได้เรื่องแล้วกระมัง”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเสียงเยียบเย็น เขาตกใจที่ก่อนหน้านี้พวกเขาดูแคลนมารปีศาจเหล่านี้เกินไป
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “มาถึงบัดนี้ ข้าจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดสำนักเซวียนหยวนต้องยอมสยบให้พวกเขาแล้ว ความมีระเบียบแบบแผนของสำนักเช่นนี้เทียบกับห้าสำนักบำเพ็ญเซียนเราแล้วยังดูมีแบบแผนกว่า”
คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึก่อนจะเดินลงไปต่อ
ที่นี่มีทางแยกมากมาย จำเส้นทางสายนี้ได้ก็ลืมอีกเส้นทาง พวกเขายังอ้อมไปอ้อมมา ทำเอาเสวียนจีตาลายไปหมด ได้แต่บีบมืออวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าจำทางไม่ได้แล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งกัดฟันกรอด “ไม่ต้องจำ! เหินกระบี่ตรงขึ้นไปก็พอแล้ว!”
เส้นทางพวกนี้สร้างขึ้นเพื่อลวงให้คนงง ไม่มองเสียเลยดีกว่า เพียงเหินกระบี่ตรงขึ้นด้านบนก็พอ แบบนั้นก็จะถึงปากถ้ำอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเส้นทางลึกลับซับซ้อนสุดทางของถ้ำพวกนี้จะมีสิ่งใด บางทีอาจทะลุไปอีกที่หนึ่ง บางทีแต่ละถ้ำอาจมีมารปีศาจมากมายรออยู่ อาจเป็นพวกที่รอรับคำสั่งลงมือจู่โจมพวกสำนักบำเพ็ญเซียน หากเป็นเช่นนี้จริง แค่พวกเขาไม่กี่คนที่ใจกล้าบุกเข้ามาบอกว่าจะช่วยจิตญาณหลิงหลงออกไป ช่างเป็นพวกเพ้อฝันเสียจริง มิน่าตอนจากกับพี่หลิ่วและถิงหนู พวกเขาจึงล้วนมีสีหน้าหนักใจ…
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่เหงื่อเย็นหลั่งท่วมแผ่นหลัง ทั้งเย็นวาบและชาจนไร้ความรู้สึก ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับถ้ำเสือ ตามเข้ามาในนี้แล้วจะเป็นหรือตายตนเองก็ไม่อาจควบคุมได้แล้ว ในใจเขาเริ่มนึกเสียใจภายหลัง ไม่ควรวู่วามเข้ามาเลย
หันกลับไปมองเสวียนจี ใบหน้านางไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวอันใด มีแต่ตะลึงมองถ้ำเหล่านี้ตาค้าง ความสงบนิ่งของนางยามนี้ทำให้เขาแอบวางใจ กระชับมือนางแน่น
ที่นี่เลี้ยวไม่รู้กี่วงเลี้ยว สุดท้ายคนผู้นั้นในที่สุดก็ไปหยุดหน้าถ้ำหนึ่ง หันกลับมากล่าวว่า “เข้าไปทางนี้ก็ถึงแล้ว แต่คบไฟไม่อาจจุดต่อได้อีก”
กล่าวจบก็ดับคบไฟทันที ตอนเดินฝ่าเข้าไปในถ้ำ เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ฝ่ามืออวี่ซือเฟิ่งชื้นไปด้วยเหงื่อ อดเขยิบเข้าใกล้เขาอีกนิดไม่ได้ กระซิบวาจาข้างหูเขา เขาพลันสะดุ้งอึ้งไปเป็นนาน ร่างกายแข็งทื่อค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“เจ้ามักจะ…เหลวไหลเช่นนี้” เขาอมยิ้ม รู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออกอีก
วาจาไม่ทันจบ เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ เดินออกจากถ้ำนั้นมา เบื้องหน้าเป็นพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งผืนหนึ่ง เป็นเนินเตี้ยๆ บนเนินมีเขาหิน ตัวเขาตรงกลางมีร่องแยก ตรงรอยแยกมีตำหนักชายคางอนขึ้น ประณีตงดงามอลังการอย่างยิ่ง มองแล้วไหนเลยเหมือนเป็นรังมารปีศาจ เห็นชัดว่าเป็นเรือนพักรับรองจักรพรรดิ
พวกสำนักเซวียนหยวนเห็นพวกเขาตกในภวังค์จึงได้ใจแนะนำว่า “ที่นี่เคยเป็นที่พักผ่อนของเซินซูและอวี้ลวี่ ตอนนี้กลายเป็นโถงของเจ้าสำนักเราแล้ว”
ได้ยินว่าเซินซูกับอวี้ลวี่เองก็ไม่กล้าแย่งชิงกับเจ้าสำนักมารปีศาจ ไม่รู้จริงๆ ว่าที่ว่าเจ้าสำนักเป็นคนระดับใด
เห็นบันไดกว้างราวหนึ่งจั้งกว่าสายหนึ่งบนเขาหินตรงไปยังประตูใหญ่ของอาคาร ทุกสิบขั้นบันไดจะมีเวรยามสี่คนถือดาบเฝ้าอยู่ บรรยากาศน่าเกรงขามไม่ด้อยไปกว่าเส้าหยาง
ทั้งสี่เดินตามพวกเขาขึ้นบันไดไป เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง เสวียนจีพลันชะงักเล็กน้อย มองไปรอบๆ อย่างสงสัย อาคารเช่นนี้เหมือนผิดปกติ รอบๆ ราวกับถูกบางสิ่งห่อหุ้มไว้ เหมือนกางกั้นออกมา ไม่อาจเข้าไปได้โดยง่าย
พวกสำนักเซวียนหยวนส่งเสียงรายงาน ไม่นานก็มีคนออกมาจากด้านใน ชุดดำแขวนห่วงเหล็กขาว เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งเห็นแล้วก็สะดุ้งในใจ คนพวกนี้เป็นพวกมารปีศาจคืนนั้นบนเขาเกาซื่อซานที่พานกปี้ฟางขาเดียวมาไล่สังหารพวกเขา!
คนผู้นั้นเห็นชัดว่าจำเขาสองคนได้ มุมปากเผยรอยยิ้มเยียบเย็น โยนห่วงสองสามห่วงมาเบื้องหน้า กล่าวว่า “รองเจ้าสำนักรอทุกท่านอยู่อยู่ด้านใน ขอทุกท่านสวมห่วงแล้วค่อยตามข้าเข้าไป”
เสวียนจีมองห่วงดำมีน้ำหนักราวกับทำจากเหล็กนิลดำ ด้านบนสลักอักษรไว้เต็มไปหมด แทบจะทุกตารางนิ้ว อดยกมือลูบไม่ได้ รู้สึกเพียงแค่ทั้งสองด้านล้วนมีอักษรสลัก เพียงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใช้เพื่อการใด
“รอบๆ สำนักเรามีอาณาเขตเวทปกป้อง ป้องกันศัตรูภายนอกจู่โจม ห่วงนี้ก็คือสิ่งคลายป้องกัน สวมมันแล้วเจ้าก็ย่อมไปด้านในได้”
ตอนคนผู้นั้นบอกว่าป้องกันภายนอกจู่โจม สายตาอดกวาดตามองพวกเสวียนจีไม่ได้ น่าเสียดายเขาทั้งสองคนไร้ปฏิกิริยา ไม่ได้รู้สึกว่าภายในมีสิ่งใดแฝงอยู่แต่อย่างใด
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว ได้แต่ก้าวเข้าไป ไปดูสักหน่อยว่ารังมารปีศาจจะทำให้รู้สึกหวาดกลัวเพียงใด อวี่ซือเฟิ่งกุมมือเสวียนจีแน่น ดังที่นางเมื่อครู่เขยิบเข้ากระซิบข้างหูประโยคนั้นว่า ‘หากตายก็ตายด้วยกัน รอดก็รอดด้วยกัน’ มีอีกฝ่ายอยู่ข้างกาย มีคำสัญญาเช่นนี้ แม้ตายก็ไม่มีอันใดน่าหวาดกลัว
ไม่เลว หากแม้แต่ความตายก็ยังไม่กลัว โลกนี้มีที่ใดไม่กล้าไปกัน