ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 36 ทรยศ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

การพบพานเป็นเรื่องประหลาดมาก มักจะทำให้คนได้พบคนแปลกหน้าในเวลาที่ไม่คาดคิด จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วหันกลับไปมองอีก ก็พลันตกใจที่รู้สึกว่าการพบพานทั้งหมดนั้น ราวกับถูกสองมือที่มองไม่เห็นจัดการไว้ก่อนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบังเอิญจนพอดี ไม่มากไม่น้อย

 

ตอนเดินผ่านระเบียงทางเดินไปสู่โถงกลาง ทุกคนเอาแต่คาดเดาว่ารองเจ้าสำนักกับเจ้าสำนักแท้จริงคือผู้ใด จะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่ ในที่สุดก็เห็นเขาปรากฎตัวขึ้น พลันระลึกได้

 

คนผู้นี้นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องโถงด้านข้าง กลางโถงมีคบไฟขนาดใหญ่สองแถว เปลวไฟลุกโชนสะท้อนเงาที่ไหวไปมาบนใบหน้า สีหน้าของเขาจดจ่อกับอะไรบางอย่างจนแลดูไร้เดียงสาไปสักหน่อย ก้มหน้าตัดเล็บ มือเรียวซีดขาว เล็บมือตัดสะอาดเรียบร้อย แต่เขายังไม่พอใจ ในมือถือมีดเล็กค่อยๆ ขูดอย่างตั้งใจ

 

เรือนผมที่มัดไว้อย่างเรียบร้อยทิ้งไปด้านหลัง เผยหน้าผากอิ่ม ไม่มีผมหลุดรุ่ยออกมาแม้แต่เส้นเดียว เทียบกับคนที่ไม่ดูแลความเรียบร้อยของคนทั้งกลุ่มตรงหน้าแล้ว รู้สึกได้ถึงความสะอาดสบายตาจริงๆ เขาสวมชุดสีดำ คอเสื้อปักดอกชาดอกใหญ่ หากไม่อยู่ในบรรยากาศนี้ ท่าทางเช่นนี้ ดูไปแล้วก็เหมือนคุณชายสูงศักดิ์ที่นั่งเล่นสบายอารมณ์อยู่ในห้องรับรองหรูหราในร้านอาหารริมสะพานยามฝนพรำ

 

อูถง

 

คนที่แทบจะถูกพวกเขาลืมไปแล้ว เป็นการปรากฏตัวที่กะทันหันและคาดไม่ถึง

 

คนนำทางผู้นั้นกล่าวเบาๆ ว่า “รองเจ้าสำนักฝ่ายขวา นำตัวมาแล้ว”

 

อูถง “อืม” เบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “เชิญนั่ง ยกน้ำชามา ล้วนคนรู้จักกัน ต้อนรับให้ดีๆ”

 

พลันมีคนเชิญพวกเขานั่งลง ไม่นานก็ยกน้ำชาอย่างดีเข้ามา น้ำชาส่งกลิ่นหอมละมุนที่ไม่เข้ากับห้องโถงอึมครึมนี้เลยจริงๆ

 

ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไร แปลกมาก ถึงกับไม่มีผู้ใดเอ่ยก่อน บรรยากาศในห้องโถงเงียบกริบจนทำให้รู้สึกอึดอัด อูถงราวกับไม่รู้สึก ยังคงไม่เงยหน้ามอง เอาแต่ตัดแต่งเล็บตนเองอยู่ตรงนั้น เสวียนจียกน้ำชาขึ้นมามองใบชาเรียวยาวในนั้นลอยไปมา พลันอดเอ่ยปากทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ไม่ได้

 

“ทำไมเป็นเจ้า”

 

นางพลันถามขึ้นฉับพลัน

 

อูถงค่อยๆ วางมีดเล็กในมือลง เงยหน้ามองมา แววตาส่องประกาย เสวียนจีพลันรู้สึกราวกับถูกอสรพิษจับจ้อง ขนบนแผ่นหลังลุกชันไปหมด รู้สึกได้ถึงอันตราย สี่ปีที่แล้วนางไม่เข้าใจ ท่าทางยิ้มเยาะเย็นชาแบบเมื่อก่อนเหมือนถูกสิ่งภายนอกกล่อมเกลาจนแทบไม่เหลือแล้ว ดวงตาคู่นั้นราวหิมะราวน้ำแข็ง แต่ลึกลงไปยังมีกองไฟลุกโชนที่ทำเอารู้สึกขนลุกไปหมด

 

“ข้าเอง” เขาค่อยๆ ตบเสื้อตนเอง ปัดเศษเล็บที่ตัดออกพลางยิ้มเล็กน้อย “จะว่าไป ข้ายังต้องขอบคุณบุญคุณของสำนักเส้าหยางที่ตั้งรางวัลนำจับข้าห้าร้อยตำลึงทอง หากไม่มีพวกเจ้าดูแล อูถงคงไม่มาถึงขั้นนี้ ขอบคุณจริงๆ”

 

พอเขาเอ่ยขึ้น ก็ไม่อาจปิดบังกระแสชั่วร้ายเยียบเย็นได้อีก คำขอบคุณราวกับคมดาบแทงลงมา

 

เสวียนจีวางถ้วยชาลงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา รุกทันทีอย่างไม่กลัวเกรง “ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นคนจับหลิงหลงไป และยังกระชากจิตสองญาณหกของนางไปด้วย เจ้าโกรธแค้นมาตลอด รอโอกาสเอาคืนพวกเรา แต่กลับไม่กล้าสู้กับเส้าหยางโดยตรง ดังนั้นจึงคิดวิธีต่ำช้าพวกนี้ออกมา ช่างหน้าไม่อาย!”

 

วาจาไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ลูกน้องอูถงพลันกระชับกระบี่รอเพียงคำสั่ง จะได้ฟันเด็กผู้หญิงวาจาสามหาวนี้เสีย

 

อูถงถึงกับไม่โมโห ได้แต่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คุณหนูฉู่กล่าวหนักไปแล้ว นั่นเรื่องเล็ก ข้าไม่ถึงกับเอามาใส่ใจตลอดเวลา ส่วนเรื่องไม่กล้าต่อกรกับเส้าหยางนั้น…” เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า “วาจาไม่อาจกล่าวเปิดเผยเกินไป คุณหนูฉู่เข้าใจไหม”

 

เสวียนจีคิดตอบโต้ แต่ถูกอวี่ซือเฟิ่งสะกิดปลายนิ้วไว้ จึงได้แต่กัดลิ้นตนไม่ให้กล่าวออกไป

 

“เจ้าน่าจะเป็นคน” อวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงนิ่ง “ในเมื่อเป็นคน เหตุใดจึงร่วมทำงานกับมารปีศาจได้ เจ้าไม่เคยคิดผลลัพธ์หากมารปีศาจนั้นถูกปล่อยออกมาหรือ”

 

อูถงแค่นเสียงฮึ เป็นนานก่อนจะค่อยๆ กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ห้าสำนักใหญ่ใต้หล้ามีชื่อเสียงเกรียงไกรขนาดไหนยังร่วมมือกันจัดการข้าที่เป็นศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง คิดสังหารให้สิ้นซาก รสชาติการถูกบีบคั้นจนตรอกเช่นนี้ คิดว่าเจ้าคงไม่เคยได้ลิ้มลอง มนุษย์จะฆ่าข้า ปีศาจกลับช่วยข้า ตอนนี้จะมาพูดเรื่องมนุษย์กับปีศาจ ไม่รู้สึกน่าขันหรือ”

 

อวี่ซือเฟิ่งไร้วาจาจะกล่าว วันนั้นห้าสำนักใหญ่พากันออกประกาศจับก็เพื่อจับเขาคนเดียว นับว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เจ้าตำหนักก็เคยบอกว่า หากสังหารคนผู้นี้ได้ก็แล้วไป แต่หากสังหารไม่ได้ย่อมต้องเป็นภัยใหญ่ เขากล่าวได้ไม่ผิดสักนิด คนผู้นี้กลายเป็นภัยใหญ่จริงดังคาด ยังเป็นประเภทถึงแก่ชีวิตอีกด้วย

 

ทั่วบริเวณพลันอึดอัดไปทั่ว รั่วอวี้อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นประสานมือยิ้มกล่าวว่า “ท่านอูถง ข้าน้อยได้ยินชื่อท่านมานานแล้ว ผู้ทรงคุณธรรมเช่นท่านน่าจะเป็นคนเปิดเผย ไม่ทำการในที่ลับ ข้าน้อยขอบังอาจถามสักคำ จับหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยมาเขาปู้โจวซาน ต้องการอะไร”

 

เขาถามถึงประเด็นสำคัญในทันที อูถงเลิกคิ้วอย่างไม่รู้สึกอะไร คิดไปคิดมาจึงได้กล่าวว่า “ไม่มีอะไร เพียงแค่เห็นว่าไม่เจอกันหลายปี แม่นางน้อยเปลี่ยนไปเช่นไรแล้ว คิดไม่ถึงถึงกับกลายเป็นสาวงาม อยู่ๆ ก็ไม่อยากปล่อยตัวไป”

 

เขาหัวเราะขึ้นเบาๆ สีหน้าจงหมิ่นเหยียนบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดง กัดฟันไม่กล่าวอันใด

 

รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ตอนนี้ท่านอูถงกุมอำนาจสูงส่งแล้ว ย่อมไม่ถือสาความแค้นเก่าก่อน ยิ่งคงไม่คิดเอาเรื่องศิษย์รุ่นเยาว์อย่างพวกเรา ในเมื่อท่านยอมปล่อยให้พวกเราเข้ามา ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ายังมีหนทางพอเจรจาได้ ทุกคนไม่สู้พูดจากันเปิดเผยตรงไปตรงมาให้กระจ่างชัด”

 

วาจาเขากล่าวได้งดงามน่าฟัง อูถงมองเขาด้วยสีหน้าชื่นชม ยิ้มกล่าวว่า “คิดไม่ถึง ตำหนักหลีเจ๋อเป็นที่บ่มเพาะผู้มีความสามารถจริงๆ”

 

“เอ่ยชมเกินไปแล้ว”

 

อูถงยกมือเท้าศีรษะกวาดตามองพวกเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต พวกเจ้าเลือกมาให้ข้าสองคน ข้าก็จะมอบจิตญาณหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยให้ เช่นไร? ยุติธรรมมาก?”

 

เสวียนจีทนไม่ไหว ตวาดเสียงดังขึ้นว่า “ไม่ได้! เห็นๆ ว่าเจ้าชิงตัวพวกเขาไป! การแลกเปลี่ยนนี้เดิมก็ไม่ยุติธรรม!”

 

อูถงนวดหว่างคิ้ว ถอนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นก็แลกเปลี่ยนล้มเหลว?”

 

“เจ้าอย่าได้เกิน…” เสวียนจียังกล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นเขาโบกมือเล็กน้อย ได้ยินเสียง ฟุ่บ มีดที่เขาคลึงเล่นอยู่ในมือมาตลอดพุ่งตรงมาที่หน้าตนเอง นางคิดไม่ถึงว่ามีดเล็กนั่นจะเร็วเพียงนี้ พริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้า คิดจะหลบ หนึ่ง ไม่ทัน สอง หากบาดเจ็บก็ไม่อาจใช้พลังวัตรได้เต็มที่ นางถึงกับยืนมองนิ่งไม่ขยับ

 

จงหมิ่นเหยียนที่อยู่ๆ ข้างๆ ไม่กล่าวอันใดมาตั้งแต่ต้นก็สะอึกกายออกมา ความเร็วราวสายฟ้า พอยกมือสะบัดแขนเสื้อเบาๆ มีดบินนั่นก็กลับลำไปทางอูถง

 

“บังอาจ!”

 

เวรยามรอบๆ กรูกันเข้ามาล้อมจงหมิ่นเหยียนไว้ก่อนจะฟันมั่วไปหมด เขายืนนิ่งกลางวงล้อมสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ วนไปรอบๆ ได้ยินเพียงเสียงดังรอบๆ ไม่หยุด เขาตั้งมั่นไม่สั่นคลอน ดาบรอบๆ เหล่านั้นหักครึ่งร่วงลงพื้นไปหมด นิ้วชี้และนิ้วกลางของทั้งสองมือเขาคีบเอาดาบที่หักไว้ก่อนสลัดลงพื้น เงยหน้ามองอูถงเงียบๆ

 

อูถงเผยสีหน้ายินดีพลางลูบคาง อีกมือคลึงมีดเล็กของตนที่จงหมิ่นเหยียนส่งกลับมาพลางชมว่า “เยี่ยม พลังดรรชนีพันหมื่นสำนักเส้าหยาง ข้าเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ความสามารถเจ้าไม่น้อยเลยนี่”

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “รองเจ้าสำนักชมเกินไปแล้ว”

 

อูถงกุมฝ่ามือ ถอนใจกล่าวว่า “น่าเสียดายๆ คนเก่งกล้าล้วนเป็นคนของคนอื่น! ฉู่เหล่ยม้าแก่นั่นไม่รู้จักดูคน ศิษย์เขากลับมีความสามารถกันทุกคน! น่าเสียดาย”

 

ทุกคนได้ยินเขาด่าฉู่เหล่ยว่าม้าแก่ล้วนไร้วาจาจะกล่าว เสวียนจีเองก็รู้ว่าพูดสู้เขาไม่ได้ ได้แต่โมโหจนหน้าซีด ผินหน้ากลับไปทำเป็นไม่ได้ยิน

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “มิกล้า ข้าถูกขับออกจากสำนักแล้ว ไม่นับเป็นศิษย์เส้าหยางแล้ว”

 

“อ้อ? ทำไมจึงถูกขับจากสำนักเล่า?” อูถงราวกับเริ่มสนใจ

 

จงหมิ่นเหยียนกัดริมฝีปาก กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าไปช่วยคนผู้หนึ่งที่เกาะฝูอวี้ เป็นนักโทษของพวกเขา อาจารย์จึงโมโหมาก”

 

เขาโกหก! เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งพากันตกใจ

 

อูถงเยาะยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็ว่าแล้ว! สำนักบำเพ็ญเซียนอะไรกัน ล้วนแต่เบื้องหลังมีเรื่องสกปรกซุกซ่อนไม่รู้มากมายเท่าไร! เจ้าช่วยได้ดี! ถูกขับจากสำนักก็ควรดีใจจึงจะถูก!”

 

จงหมิ่นเหยียนสีหน้าจริงจัง กล่าวว่า “เป็นอาจารย์วันหนึ่งก็นับเป็นอาจารย์ชั่วชีวิต ขอท่านรองเจ้าสำนักอย่าได้ดูหมิ่นอาจารย์!”

 

อูถงยิ้มเล็กน้อย “เจ้าก็เป็นคนมีน้ำใจไม่น้อย ไม่เลว ไม่เลว!”

 

เขาตบมือ “เช่นนี้ละกัน! ข้าเดิมคิดจะให้พวกเจ้าหนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต ตอนนี้เหมือนตัดใจไม่ลง เจ้าถูกขับจากสำนักไร้สาเหตุ คิดว่าในใจก็คงโกรธแค้นไม่น้อย ตัวเองก็ไม่มีที่ไป ไม่สู้มาอยู่กับข้าที่นี่ ไปสนใจพวกสำนักบำเพ็ญเซียนอะไรทำไม ล้วนแต่เป็นดังอึสุนัข! คนเหล่านั้นรังแกเจ้า ชายชาตรี ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไยต้องอาลัย!”

 

แววตาจงหมิ่นเหยียนวูบไหว ไม่นานก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “รองเจ้าสำนักเมตตา หมิ่นเหยียนมิกล้ารับ แต่โลกนี้ไม่มีผู้ใดมีอาจารย์สองคน นับประสาอันใดกับหลังเกิดเรื่องนี้ ข้าเองก็หมดใจ ได้แต่ปฏิเสธน้ำใจรองเจ้าสำนักแล้ว”

 

อูถงส่ายหน้าพลันยกมือเรียกลูกน้องมาสั่งการ “ไปด้านหลัง นำคนในกรงที่สิบมาที่นี่ แล้วก็แวะ…เอาของนั่นมาด้วย”

 

ทุกคนไม่รู้เขาสั่งการให้ลูกน้องไปเอาอะไร ล้วนมองจ้องเขา เสวียนจีมองจงหมิ่นเหยียน ปากขยับเล็กน้อย กล่าวขึ้นเบาๆ เสียงหนึ่ง “ศิษย์พี่หก…”

 

เขาไม่หันกลับไป นิ่งเป็นนานก่อนจะกล่าวเพียงเบาๆ ว่า “อย่าเรียกข้าศิษย์พี่หก ข้าไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้าอีกแล้ว”

 

ในใจนางพลันวูบไหว กล่าวอึกอักว่า “ท่านพ่อขับเจ้าออกจากสำนัก…แค่วาจาโทสะ! ข้า…ข้าก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรือ…”

 

จงหมิ่นเหยียนยังคงไม่หันกลับไป น้ำเสียงนิ่ง “เจ้าเป็นบุตรสาว อย่างไรขับไล่ก็ไม่ไล่ถึงเจ้า เจ้าไม่ต้องปลอบข้า เรื่องจริงอย่างไร ข้ายอมรับได้นานแล้ว”

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้า เมื่อครู่พูดว่า…”

 

จงหมิ่นเหยียนไม่รอนางกล่าวจบก็รีบตัดบท น้ำเสียงเย็นชา “ชายชาตรี ในเมื่อถูกขับออกมา ก็ย่อมไม่ร้องขอคร่ำครวญหวนไห้! เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว!”

 

“แต่เจ้าเองไม่อาจเข้าร่วมกับพวกที่นี่…เจ้าลืมแล้วหรือ หลิงหลงกับศิษย์พี่รองถูกเขาจับไป!”

 

เสวียนจีรู้สึกคาดไม่ถึง ยามพูดกับเขากลับรู้สึกว่ายิ่งนับวันเขายิ่งห่างไกลออกไป มองไปยังคนที่ยืนหันหลังให้ตนเชิดหน้ายืดอกราวกับคนแปลกหน้า ไม่ใช่จงหมิ่นเหยียนที่นางเคยรู้จักคนนั้น คนที่แสนดีและมุทะลุคนนั้น

 

จงหมิ่นเหยียนเงียบงันเป็นนาน พลันหันไปมองด้วยสายตาเย็นชาหากลุกวาว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “สู้เขาไม่ได้ ไม่มีหนทางอื่น”

 

เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าว รู้สึกเพียงแค่ในหัวราวกับถูกเขาทำเอาวุ่นวายไปหมดอย่างไร้สาเหตุ ไม่อาจสงบลงได้ อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ดึงแขนเสื้อนางบุ้ยใบ้ให้นางรู้ว่าอย่าพูดอีก

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกลูกน้องอูถงก็ผลักคนผู้หนึ่งที่ถูกมัดไว้แน่นเข้ามา ตัวคนผู้นั้นเปื้อนไปด้วยเลือด หากยังคงจิตใจเข้มแข็ง ยังคงก้าวเดินได้เร็ว เชิดหน้ายืดอก ปากถูกผ้าอุดไว้พูดไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ไม่หยุด สองตาราวเปลวเพลิงแผดเผา มองอูถงอย่างโกรธแค้น ราวกับจะใช้สายตากลืนกินเขา

 

“ศิษย์พี่รอง!” เสวียนจีร้องตกใจ คิดก้าวเข้าไปประคองไว้ พลันถูกลูกน้องอูถงโดยรอบชักดาบขวางไว้

 

คนผู้นั้นเป็นเฉินหมิ่นเจวี๋ย หันกลับไปเห็นพวกเสวียนจี ในยามนั้นเผยแววยินดี หากพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นกังวล

 

อูถงโบกมือให้ลูกน้อง “ให้เขาพูด”

 

พลันมีคนกระชากผ้าอุดปากเฉินหมิ่นเจวี๋ยออก เขาเหมือนติดคอจนสำลักรุนแรง ตะโกนด่าทออย่างไม่เก็บงำวาจา “กระทืบบรรพชนสิบแปดรุ่นของตระกูลเจ้า! แน่จริงก็สังหารข้าสิ! ข้าไม่กลัวพวกชั่วช้าเลวทรามเช่นพวกเจ้าหรอกเว้ย!”

 

อูถงยิ้มเล็กน้อย ไม่สนใจวาจาหยาบคายของเขา กล่าวเพียงว่า “หมิ่นเหยียน เจ้าไม่ต้องปิดบังข้า เจ้ามาครั้งนี้เพื่อช่วยศิษย์พี่และศิษย์น้องเจ้าใช่ไหม เอาอย่างไร หากเจ้ายอมอยู่ช่วยงานข้า จิตญาณคนผู้นี้กับศิษย์น้องเจ้า ข้าก็จะให้พวกเขานำกลับไป”

 

จงหมิ่นเหยียนไม่ปฏิเสธ ถามว่า “จิตญาณหลิงหลงล่ะ”

 

อูถงยิ้มกว้าง วาดนิ้วไปมาที่ปลายคาง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าถึงกับลืมไป พวกเจ้าเป็นคู่รักกันนี่ เจ้ายอมทำอะไรก็ได้เพื่อคนที่เจ้ารัก ข้าชื่นชมที่สุดก็คือชายคลั่งรักเช่นเจ้า”

 

ในมือยกขวดแก้วผลึกใบเล็กใบหนึ่งขึ้นมา ในนั้นมีลูกไฟหลากสีส่ายไหวเบาๆ ราวกับหิ่งห้อย จิตญาณขยับไปมาอย่างยินดี เขาคลึงขวดแก้วในมือไปมา กล่าวเบาๆ ว่า “จิตสองหกญาณของหลิงหลงอยู่ที่นี่แล้ว”

 

ทุกคนพอได้ยินก็อดพลุ่งพล่านใจไม่ได้ สีหน้าจงหมิ่นเหยียนมีแววตื่นตกใจ เขาก้าวเข้าไป เอื้อมมือราวกับจะคว้าไว้

 

อูถงยกหลบ กล่าวว่า “ช้าก่อน! ข้ามอบความจริงใจให้ เจ้าเองก็ควรมอบความจริงใจให้ข้าบ้างไหม”

 

จงหมิ่นเหยียนจ้องมองขวดแก้วไม่วางตา ราวกับจิตญาณทั้งหมดล้วนไปลอยวนอยู่รอบขวดเป็นเพื่อนหลิงหลง เป็นนาน เขาพลันปลดกระบี่ที่เอวลง เลิกชายเสื้อยาวขึ้นลงคุกเข่าทันที กล่าวน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “รองเจ้าสำนักที่เคารพ! ข้าน้อยจงหมิ่นเหยียนขอยอมทำงานรับใช้รองเจ้าสำนัก! จากนี้จะไม่แปรเปลี่ยน! หากผิดคำสาบานวันนี้ ขอให้ข้าเลือดออกเจ็ดทวาร ไม่ได้ตายดี!”

 

วาจากล่าวออกไป อูถงหัวเราะดังลั่น โยนขวดแก้วผลึกไป เสวียนจีรีบเข้าไปแย่งมาประคองไว้ในมือราวกับของมีค่า สองมือสั่นเทาราวกับกำลังโอบอุ้มสิ่งมีชีวิตน้ำหนักมากลัวว่าจะทำหล่น นางตะลึงมองจิตญาณอ่อนแอในขวดแก้ว ในตามีดวงไฟลุกโชน อดหลั่งน้ำตาไม่ได้

 

“ช้าก่อน”

 

อยู่ๆ ก็มีคนเอ่ยขึ้น ทุกคนหันกลับไปเห็นเพียงรั่วอวี้ก้าวออกมา เดินมาข้างจงหมิ่นเหยียน คุกเข่าลงเป็นเพื่อนเขา กล่าวเสียงกังวานว่า “ข้ารั่วอวี้แห่งตำหนักหลีเจ๋อ จงหมิ่นเหยียนเป็นดังพี่น้องข้า พวกเราเองได้เคยสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ในเมื่อวันนี้เขายอมสวามิภักดิ์รองเจ้าสำนัก ข้าเองก็ไม่อาจผิดคำสาบาน! ขอรองเจ้าสำนักรับข้าไว้ด้วย!”

 

ยามนี้แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งเองก็ตกใจยืนไม่ติด สีหน้าซีดเผือด มองจ้องสองคนที่ลงคุกเข่ากลางโถงอย่างคาดไม่ถึง ราวกับพวกเขาอยู่ๆ กลายเป็นคนละคน ไม่เหมือนคนที่ตนเคยรู้จัก แต่ไรมาไม่เคยรู้จัก