ตอนที่ 336

The Divine Nine Dragon Cauldron

นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างลึกล้ำ

 

“หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายถึงชะตาของตระกูลตู่!”

 

“แต่ท่านพ่อจะไม่กังวลเกินไปหน่อยรึ? หากแผนของเราสำเร็จ ตระกูลตู่ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล!”

 

“ข้าจะไปเอาหัวของเจ้าตำหนักหยินหยูได้ด้วยตัวเอง!”

 

เจ้าเมืองอันยี่ใบหน้าดุดัน

 

“บางทีข้าอาจจะกังวลเกินไป แต่หลังจากที่แผนสำเร็จ ข้าจะต้องลอบเข้าไปในป่าทมิฬ”

 

นายน้อยตระกูลตู่เลิกคิ้ว

 

“ทำไมท่านพ่อไม่ถามขุมกำลังในป่าทมิฬเสียเองเล่า?”

 

“เพราะอย่างไรตระกูลตู่ก็ไม่ใช่ตระกูลเดียวในป่าทมิฬ ยังมีตระกูลน้อยใหญ่กระจัดกระจายตลอดทั้งป่าทมิฬ บางทีพวกนั้นอาจจะรู้อะไรก็ได้”

 

แต่เจ้าเมืองอันยี่ส่ายหัวปฏิเสธทันที

 

“มันไม่ได้อะไรหรอก! สัตว์อสูรที่มาครานี้ดุร้ายทรงพลัง ข้าคิดว่าพวกตระกูลเหล่านั้นอาจจะถูกทำลายไปแล้ว”

 

“แต่ท่านพ่อ ที่นี่ไม่ได้มีตระกูลอู๋อยู่หรอกรึ? ตามที่ร่ำลือ ตระกูลอู๋คือตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาอยู่ในจุดลึกสุดของป่าทมิฬ บางทีพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่และรู้อะไรบ้างก็ได้

 

“ตระกูลอู๋รึ?”

 

เจ้าเมืองอันยี่สีหน้าหม่นหมอง

 

“ตระกูลอู๋มันลึกลับเกินไป! ไม่กี่ร้อยปีก่อน พวกนั้นเหลือแค่สองคนในตระกูล แต่ตอนนี้พวกนั้นแข็งแกร่งขึ้นและมีคนถึงร้อยคนแล้ว!”

 

“พวกนั้นอยู่รอดในส่วนลึกที่อันตรายด้วยพลัง มันประหลาดมาก พวกนั้นอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งมากหนุนหลังอยู่ นั่นคือเหตุที่ข้าไม่คิดจะติดต่อพวกนั้นตลอดหลายปีมานี้”

 

เจ้าเมืองอันยี่กำลังกังวลถึงตระกูลอู๋!

 

บุตรชายของเขาเข้าใจแล้ว

 

“ตระกูลอู๋ลึกลับจริงๆ พวกนั้นโชคดีที่ตระกูลตู่ไม่ได้หมายตาพื้นที่รกร้างนั่น ไม่งั้นพวกนั้นก็ถูกทำลายไปนานแล้ว”

 

“อืม เจ้าไม่ต้องถามอะไรแล้ว ตั้งใจพักฟื้นซะ ครั้งนี้ข้าต้องออกไปแสดงตัวสักหน่อยแล้ว”

 

รังสีพลังอันน่าตกใจแผ่เข้ามาในห้องจนทำให้เจ้าเมืองอันยี่ชักสีหน้า

 

นายน้อยตระกูลตู่ตกตะลึง

 

“ราชาสัตว์อสูรโผล่มาอีกแล้ว!”

 

การปรากฏตัวของราชาสัตว์อสูรอำมฤตระดับสี่ขั้นน่าตกใจอย่างมาก!

 

“ไม่ใช่ คราวนี้มันมาเก้าตัว!”

 

เจ้าเมืองอันยี่ตกใจมาก

 

“เก้าตัวรึ?”

 

นายน้อยตระกูลตู่อ้าปากค้าง

 

คลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ประหลาดจนน่ากลัว!

 

ฟึ่บ–

 

เจ้าเมืองอันยี่ออกจากเมืองเป็นครั้งแรก เขาไปปรากฏตัวที่แนวหน้า!

 

ราชาสัตว์อสูรเก้าตัว…เขาจะต้องรับมืออย่างจริงจัง

 

นายน้อยตระกูลตู่ครุ่นคิด เขากังวลใจ

 

“ผู้ดูแล เจ้าเตรียมของสำคัญของตระกูลครบทั้งหมดหรือยัง?”

 

ตระกูลตู่ได้เก็บสัมภาระไว้แล้วล่วงหน้า

 

“ข้าเตรียมไว้แล้วตามคำสั่ง คนในตระกูลกับของสำคัญพร้อมจะถูกเคลื่อนย้าย! แต่…”

 

เขาลังเล

 

“แต่เราจะทำยังไงกับตู่หลงเล่า? เขายังอยู่ในคุกอยู่เลย”

 

ตู่หลงรึ? นายน้อยตระกูลตู่ปล่อยจิตสังหารออกมา

 

อย่างที่คิด การกลับมาของตู่หลงทำให้คนในตระกูลพูดถึงการที่เขาจะกลับมาเป็นนายน้อยอีกครั้ง

 

ในด้านความเฉลียวฉลาดและคุณสมบัติ ตู่หลงที่เป็นพี่ใหญ่นั้นอยู่เหนือเขา เป็นการเหมาะสมยิ่งกว่าที่เขาจะเป็นผู้นำตระกูล

 

แต่ตู่หลงก็ได้ทิ้งทุกสิ่งไป เขาจึงเหลืออำนาจไม่มากนัก

 

สุดท้าย การลงโทษของเขาก็คงจะเป็นการถูกขังไปตลอดการ มิอาจย่างกรายออกสู่โลกภายนอกได้

 

เขาแสยะยิ้มด้วยจิตสังหาร

 

“ข้าจะจัดการเอง! พวกเจ้าไปที่อื่นซะ!”

 

เขาต้องระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นและควรสังหารตู่หลงโดยตรง มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาสงบใจได้

 

แต่นายน้อยตระกูลตู่กับเจ้าเมืองอันยี่ไม่รู้เลยว่ามีวิญญาณที่มองไม่เห็นยืนอยู่ข้างพวกเขา วิญญาณนั้นได้ยินทุกสิ่ง

 

ฟึ่บ–

 

ที่นอกสวนตระกูลตู่

 

ภายในพุ่มไม้แห้ง ชายที่ไร้ซึ่งพลังชีวิตลืมตาตื่นขึ้น

 

แววตาซือหยูแสดงความประหลาดใจ

 

“ตระกูลอู๋รึ? นั่นมันตระกูลอะไรกัน? แล้วแผนของหัวหน้าตระกูลตู่คืออะไรกัน? พวกนั้นเตรียมทำอะไรกัน?”

 

แต่เขาไม่มีเวลาให้คิด ซือหยูมุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดิน

 

มีส่วนที่จมน้ำอยู่ในคุกใต้ดิน ถูกทำไว้เฉพาะเพื่อขังอาญชากร

 

แขนขาของตู่หลงถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นหนา เขาถูกตรึงเอาไว้ในบ่อน้ำที่มีน้ำท่วมถึงเอว

 

ปั่ก ปั่ก ปั่ก–

 

นายน้อยตระกูลตู่มาถึง เขาแสดงความไร้ปรานีออกมา เขายืนอยู่หน้ากรงใต้น้ำด้วยมือที่ไพล่หลัง

 

ตู่หลงที่ได้ยินเสียงเงยหน้ามองอย่างยากลำบาก แววตาเขาแห้งไร้ชีวิต แต่ริมฝีปากยังคงยิ้มเยาะให้กับตนเอง

 

“เจ้ามาส่งข้าสินะ”

 

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือชะตาของเขา?

 

นายน้อยต้องไม่ยอมให้ตู่หลงมีชีวิตอยู่ได้

 

นายน้อยตระกูลตู่หัวเราะ

 

“ไม่ใช่การฆ่าเจ้าจะทำให้คนที่สนับสนุนเจ้ามาหาเรื่องข้าหรอกรึ?”

 

เห็นได้ชัดว่าใครที่จะได้ประโยชน์จากการที่ตู่หลงตายมากที่สุด

 

นั่นคือเขาเอง!

 

ทุกคนที่มีสมองย่อมคิดได้ว่าเป็นนายน้อยตระกูลตู่ที่ฆ่าตู่หลง

 

เขาจึงไม่ทำเช่นนั้นแน่

 

“หึหึ เจ้าไม่ได้มาเพื่อรำลึกความหวังกับข้าหรอกรึ”

 

ตู่หลงหัวเราะอย่างเย็นชา

 

อีกฝ่ายยิ้มเยาะตอบกลับ

 

“ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตเจ้า แต่ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”

 

“ทหาร ทำลายฐานพลังของมัน!”

 

อะไรนะ? ตู่หลงเบิกตากว้าง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น

 

“เจ้ายังมีจิตวิญาณของนายน้อยอยู่หรือไม่! ข้าถูกกักขังที่นี่ไปตลอดกาลมิอาจไปไหนได้ แต่เจ้าก็ยังกลัวว่าฐานพลังของข้าจะมีผลกับเจ้า!”

 

“เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าแต่ก็กลัวตัวตนของข้า นี่คือหัวหน้าตระกูลในอนาคตงั้นเรอะ? หึหึ เจ้าไม่ต่างกับตาแก่นั่นเลย! วิธีการของเจ้ากับเขาไม่ได้ต่างกันแม้แต่น้อย เร้นกายอยู่แต่ในเงามืด ไร้ความกล้าหาญ น่ารังเกียจนัก!!”

 

ตู่หลงรังเกียจการกระทำเช่นนี้

 

เขาเคยคิดว่าจะกลับมาเพื่อไถ่บาปของตัวเอง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตระกูลตู่ไม่มีที่สำหรับเขา

 

เขาไม่ลังเลที่จะคุกเข่าเพื่อขอร้องความเมตตาให้กับคนของตระกูล แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับคืนมาล้วนมีแต่ความชิงชัง

 

ลุงของเขาที่กำลังเป็นหัวหน้าตระกูลไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่เขาคุกเข่า หัวหน้าตระกูลกลับลงโทษเขาอย่างหนักโดยการจำคุกตลอดชีวิต

 

“เจ้ามันก็แค่กบฏ! เจ้าตั้งใจจะทำอะไรถึงได้ใส่ร้ายหัวหน้าตระกูลกับนายน้อยกัน? เจ้าไม่คิดว่าตระกูลตู่เป็นบ้านด้วยซ้ำ ในสายตาข้า เจ้าก็แค่ขอร้องคุกเข่าให้ตู่หมิงฮั่วเพื่อหลอกลวงเจ้าตำหนักหยินหยูเท่านั้น!”

 

ตู่หลงหัวเราะอย่างโกรธแค้น พวกนั้นกำลังจะทำลายฐานพลังของเขาแต่ก็ไม่ปล่อยให้เขาได้แสดงความคับข้องใจออกมา

 

ถ้าเขาพูดอะไร ก็หมายถึงความคิดของกบฏ!

 

“เจ้าจะทำลายฐานพลังของข้าก็ได้ถ้าต้องการ แต่ทำไมเจ้าต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองให้เจ้าดูมีคุณธรรมเช่นนั้นเล่า? ดีเลวแบ่งแยกเช่นใดรึ สู้เพื่อผลประโยชน์ล้วนเป็นธรรมชาติมนุษย์ เจ้าจะซุกซ่อนไปเพื่อสิ่งใด?”

 

นายน้อยตระกูลตู่ยืนมือไพล่หลัง

 

“เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไร้ความภักดีต่อเจ้าหนีไปทำร้ายคนในตระกูล ข้าคิดว่าเป็นการดีแล้วที่จะทำลายฐานพลังของเจ้า!”

 

“ทหาร ทำลายฐานพลังของมันซะ!”

 

ในตอนนั้นเอง คนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 

“เจ้าคิดจะทำลายฐานพลังงั้นรึ? ข้าจะทำให้อย่างที่เจ้าขอ!”

 

เส้นผมสีเงินร่ายรำบนอากาศ ร่างของซือหยูมายืนที่ด้านหลังของนายน้อยตระกูลตู่รายกับภูติผี ความเย็นยะเยือกเปล่งออกมาจากแววตา

 

นายน้อยตระกูลตู่ตัวสั่น เขารีบหันกลับไปและพบกับใบหน้าของเจ้าตำหนักหยินหยู!

 

“ไม่เจอกันนานนะนายน้อย! ข้าบอกพ่อเจ้าไปแล้วว่าข้าจะฆ่าเจ้าถ้าเจอเจ้าอีกหน!”