กลิ่นหอมอ่อนจางโชยมา ไม่รู้หน้าต่างวงเดือนแง้มเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ ม่านสีเขียวที่ทิ้งตัวลงมาถูกลมพัดจนพลิ้วไหวน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นแสงรุ่งอรุณของวันที่เท่าไหร่แล้วที่ปกคลุมเรือนที่เงียบสงบแห่งนี้ ภายในม่านทุกอย่างดูเลือนรางอย่างน่าประหลาด
เสวียนอี่สะดุ้งตื่นจากการหลับลึกสั้นๆ ขาขวาของนางถูกฝ่ามือหนึ่งกุมเอาไว้ กำลังลูบไล้อยู่บนนิ้วเท้าและฝ่าเท้านางอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้จั๊กจี้ยิ่งนัก นางฝังใบหน้าครึ่งซีกลงไปกับชุดคลุมยาวตัวโคร่งที่แผ่ออกอยู่ นางหันกลับไปมองอย่างง่วงงุน เป็นฝูชางที่จับเท้านางไปเล่นในมือ
ชุดคลุมตัวยาวสีเขียวอมน้ำเงินบนร่างนั่นก็คลายออกหลวมๆ เผยให้เห็นแผงอกมากกว่าครึ่ง ผมยาวปรกบ่า เปล่งประกายสีแดงทองท่ามกลางแสงรุ่งอรุณรำไร
น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นท่าทางเกียจคร้านของเทพบุตรที่แสนจะเย็นชาอย่างนี้ ยามนี้ท่าทางเยือกเย็นและเย็นชาราวกับกระเบื้องเคลือบหายไปหมดสิ้น แววตามุ่งมั่นจดจ่อและลุ่มหลงในรักของเขายิ่งคล้ายกับองค์ชายมนุษย์ผู้นั้นมากขึ้น
เสวียนอี่จ้องมองเขาเงียบๆ หวนนึกถึงเมื่อตอนที่ได้รู้จักเขาครั้งแรกไม่หยุด ท่าทางน่ารังเกียจของเขาเช่นนั้น ความจำนางดีมาตลอด แต่ว่าตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกความไม่ชอบใจในอดีตเหล่านั้นไม่ออกเลย ราวกับว่าพวกเขารักใคร่กันนับตั้งแต่พบกันที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาอย่างนั้น
ราวกับพบว่านางตื่นแล้ว ฝูชางใช้ปลายนิ้วไล้วนบนฝ่าเท้าที่อ่อนนุ่มของนางไปหลายครั้ง มันจั๊กจี้เสียจนนางกลิ้งไปมาอยู่ในผ้าห่ม พลันยกเท้าซ้ายขึ้นถีบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆ
ฝูชางกุมฝ่าเท้าเรียวบางกลมกลึงบนบ่าเอาไว้ มันเย็นราวกับน้ำแข็ง ตอนที่เขาเป็นองค์ชายเจ็ดก็นึกอยากจะจูบลงไปบนผิวเย็นราวกับน้ำแข็งนี้มานานแล้ว เขาก้มหน้าลงจูบบนฝ่าเท้าเนียนละเอียดของนางครั้งหนึ่ง น่าจะเพราะจั๊กจี้มาก องค์หญิงมังกรจึงปล่อยขำพรืดออกมา นิ้วเท้าแหย่ปลายจมูกของเขาเล่นเล็กน้อย
เขาแสร้งงับนิ้วเท้าของนาง นางรีบร้อนหดเท้าเข้ามาแต่ก็ยังหลบไม่พ้น นิ้วโป้งเท้าถูกเขากัดเบาๆไปทีหนึ่ง
ฝ่าเท้าเล็กในอุ้งมือพลันร้อนขึ้นมา ฝูชางใจกระตุกแล้วก้มหน้าลงมองนาง ใบหน้ากว่าครึ่งขององค์หญิงมังกรฝังลงไปในชุด ใบหน้าราวกับเครื่องเคลือบหยกคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เดิมนางก็มีหน้าตางดงามน่ารักมากอยู่แล้ว เพียงแต่ปกตินางมักจะชอบวางท่าเป็นองค์หญิงออกมามากกว่า และยิ่งคล้ายกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจคนหนึ่ง ท่าทางมีเสน่ห์น่าหลงใหลเช่นนี้น้อยครั้งนักที่จะได้เห็น
แสงอรุณงามกระจ่าง เท้าเล็กของนางที่โผล่ออกมาราวกับหยกชั้นดี ฝูชางกุมเท้าเล็กของนางเอาไว้ แล้วค่อยๆ ลากมันมาหาตนเอง นิสัยมังกรนั้นชอบปล่อยตามใจ เขากลับชอบการปล่อยตามใจอย่างนี้เหลือเกิน ผิวที่เย็นราวน้ำแข็งที่อ่อนนุ่มถูกขบเม้มจนร้อนจัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจูบไล่จากเข่าลงไป ผิวทุกตารางนิ้วของนางไม่มีส่วนใดรอดพ้น เขารักมันมากจนวางมือไม่ได้
นับตั้งแต่กลับมาจากทะเลหลีเฮิ่น ปล่อยตัวตามใจไปไม่รู้กี่วันแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญมากมายต้องทำ ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไป แต่ว่าเขากลับยังไม่อยากไปคิดถึงเรื่องสำคัญเหล่านั้นก่อนชั่วคราว ให้เขาได้ทำตามใจเถอะ เขาจมดิ่งลึกลงไปจนถึงก้นบึ้งแล้ว ทั้งชีวิตนี้คงไม่อาจลอยขึ้นมาได้อีก
ท่ามกลางแสงจากเมฆที่งดงาม เสียงหอบหายใจขององค์หญิงมังกรถี่กระชั้นและน่าหลงใหล ฝูชางค้อมตัวอยู่บนร่างของนาง เขาใช้นิ้วแทนริมฝีปากและเรียวลิ้นของเขาเมื่อครู่ ปลุกเร้านางอย่างละเลียดละไม ชุดหลวมโพรกชุดนั้นบนร่างนางบดบังอะไรไม่ได้เลย ผมยาวสนิทสีดำยุ่งเหยิงไปบนใบหน้าอมชมพู แนบติดไปบนผิวหน้าที่ชุ่มเหงื่อหลายเส้น
นางกำลังเบ่งบานอย่างงดงามเพื่อเขา
ฝูชางกุมหน้าผากนางไว้ ลมหายใจหอบหนักประสานกัน แขนของนางคล้องรอบคอเขาอีกครั้ง และเรียกศิษย์พี่ฝูชางอย่างเย้ายวน เขาใช้ร่างของเขาสัมผัสนางแทนนิ้วมือ นิ้วมือเปียกชื้นกุมเข่าของนางและไล่ลงไปอีก ก่อนจะคว้าเท้าของนางไว้แล้วยกขึ้นมาจรดปากจุมพิตพลางขบกัดเบาๆ
ท่าทางเอาแต่ใจและแทบจะเรียกว่าบ้าคลั่งปล่อยไปตามอารมณ์นี้ราวกับมาถึงขีดสุดของชีวิต
ม่านสีเขียวเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง มือเรียวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านใน นิ้วมือจับขอบเตียงและกำผ้าปูเตียงไว้แน่น ราวกับพยายามจะหลีกหนีจากด้านในอย่างนั้น มือเรียวไล่ตามออกมาจากภายในม่านสีเขียวแล้วจับนิ้วมือสอดเข้าประสานกัน ปลายนิ้วค่อยๆ ไล้สัมผัสไปบนผิวระหว่างนิ้วละเอียดทีละน้อย
สุดท้ายแสงอาทิตย์สีแดงก็ถูกความมืดยามราตรีกลืนกินไปหมด สายฝนที่เยือกเย็นของฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายไปทั่วเรือน หน้าต่างวงเดือนเปียกชื้น ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เสวียนอี่จึงตกใจตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอันแสนสั้นนั่นอีกครั้ง รัศมีสีน้ำเงินของไข่มุกตรงหน้าทั้งนุ่มนวลและละเอียด ร่างแช่อยู่ในสระน้ำที่เต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์ ฝูชางอยู่ด้านหลังและกำลังสระผมให้นางอยู่
นางกะพริบตาอย่างง่วงงุน นั่งนิ่งอย่างเกียจคร้าน ตระกูลหวาซวีถือเป็นธาตุทองและไม้ นอกจากวังเทพบูรพาที่หลังคาเป็นสีทอง เรือนลานห้องหับแทบจะทั้งหมดล้วนแต่สร้างจากไม้ กระทั่งสระน้ำยังขุดจากไม้ขนาดยักษ์ น้ำภายในเป็นสีฟ้าอ่อน ไอน้ำลอยอบอวลเต็มไปหมด
“นอนต่อสิ” ฝูชางใช้ปิ่นปักผมของเขามวยผมที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วนั่นขึ้นไปทั้งหมด “พรุ่งนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับไปเขาจงซาน”
เขากักขังองค์หญิงมังกรไว้ในเรือนของตนมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ใช่วิถีที่ให้ความสำคัญกับมารยาทและพิธีของตระกูลหวาซวีเลย แต่ว่าคราวนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกผิดขึ้นมาแม้แต่น้อย คิดว่าต่อจากนี้ไปก็คงไม่มีแล้ว
เสวียนอี่หันกลับไปแล้วเป่าลมใส่หน้าเขาเบาๆ พลางยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ให้ท่านไปที่เขาจงซานกับข้าหรอก”
นางมักจะใช้น้ำเสียงแง่งอนกล่าวคำพูดไม่น่าฟังเสมอ ฝูชางหยิกเอวนางเบาๆ ทีหนึ่งราวกับกำลังลงโทษนาง นางหัวเราะคิกคักและบิดไปมาราวกับงู ฝ่ามือเขาจับคางนางไว้แล้วจับส่ายไปมา พลางกล่าวว่า “เดิมทีเจ้าก็ควรแต่งงานกับข้าอยู่แล้ว”
ที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาครั้งนั้น หากว่านางไม่ได้มีกิริยาท่าทีชั่วร้ายแปลกประหลาดเหล่านั้น ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะหมั้นกันแล้วก็เป็นได้
จากที่เขาเข้าใจนิสัยชั่วร้ายของนาง ต่อไปคิดว่านางจะต้องพูดอะไรอย่างภาคภูมิใจที่ทำให้เขาอยากจะเคาะหัวนางออกมาแน่ ใครจะรู้ว่านางกลับเงยหน้าขึ้นจ้องมาที่เขา แววตาใสแจ๋ว ฝูชางค่อยๆ ลูบหยดน้ำที่คิ้วของนางออกไปแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเป่าลมหายใจไปเปิดหน้าต่างวงเดือนออก ด้านนอกฝนหยุดตกแล้ว ด้านหลังไอน้ำที่เปียกชื้น พระจันทร์สีเงินขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เสวียนอี่เดินไปริมหน้าต่าง นางจับขอบหน้าต่างเอาไว้แล้วมองอยู่นาน ทิวทัศน์พระจันทร์ของที่นี่สวยกว่าจริงๆ
ฝูชางคลายผมยาวออก เพิ่งจะสระไปได้ครึ่งหนึ่ง พลันพบว่าไอขุ่นมัวบนแผลเล็กใหญ่บนร่างถูกขจัดไปหมดแล้ว ความเจ็บปวดจากบาดแผลมาจากไอน้ำที่ลอยขึ้นมา เขาจ้องแผลลึกที่สุดตรงท้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังเสวียนอี่ริมหน้าต่าง นางยังคงมองพระจันทร์อย่างเหม่อลอย
เขาใช้เวทคืนสภาพสมานแผลแล้วเข้าไปใกล้พร้อมจับร่างนางให้หยัดตรง มือทั้งสองประคองใบหน้านางแล้วพินิจมอง นางมีท่าทีตกใจ แพขนตาเหลือบขึ้น ดวงตากระจ่างใสของนางมองสบเขาอย่างสงบและไม่สะทกสะท้าน “เป็นอะไรไปหรือ”
ฝูชางหรี่ตาลงแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “หากว่าเจ้ายัง…” ยังมีเรื่องปิดบังข้าอีก ข้าจะจับเจ้าขังไว้ในกระบี่ฉุนจวินจริงๆ และไม่ปล่อยออกมาอีกเลย
แต่เมื่อมองดวงตากระจ่างใสของนางแล้ว เขาก็หยุดพูดไป คิดว่าเขาคงถูกนางทรมานจนกลัวแล้วแน่ๆ
เสวียนอี่กอบน้ำในสระขึ้นมา และล้างต่างหูไข่มุกที่คอเขาจนสะอาด นางหันกลับไปมองพระจันทร์นอกหน้าต่างอีกครั้ง ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาว่า “อีกหน่อยหากว่าข้าเป็นวั่งซู ก็ต้องขับรถพาพระจันทร์ไปด้วยทั้งคืน”
ฟังดูไม่น่าสนุกเลยสักนิด
มีตำแหน่งสบายๆ ทำยังเลือกนู่นเลือกนี่ ฝูชางหลุดยิ้มออกมา เขาจับขอบหน้าต่างและมองทิวทัศน์ที่ไม่รู้มองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วกับนาง แต่ก่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันงดงามหรือไม่ แต่ว่าวันนี้เขากลับดีใจที่ภายในวังเทพบูรพามีทิวทัศน์พระจันทร์ที่กว้างขวางเช่นนี้
หากว่านางเป็นเทพีวั่งซู ทิวทัศน์พระจันทร์ของที่นี่ก็จะยิ่งมีความหมายมากขึ้น
“อย่างไรก็อาศัยพวกเราแก้ปัญหาของทะเลหลีเฮิ่นได้แล้ว เรื่องฆ่าเผ่ามารให้เหล่ามหาเทพที่ทิ้งของสุ่มสี่สุ่มห้าพวกนั้นวุ่นวายไปแล้วกัน” นางเอาหัวพิงไหล่เขาไว้ “ศิษย์พี่ฝูชาง พวกเราแอบอู้กันดีไหม ไปเที่ยวเล่นที่อื่นกันเถอะ”
ฝูชางจับผมยาวเปียกชื้นที่แนบติดกับใบหน้าของนางออก ยื่นแขนออกมากอดนางเอาไว้ พลางลูบไปที่หลังคอขาวเรียวระหงของนางราวกับลูบแมว น้ำเสียงอ่อนโยน “ได้”
แต่ว่าก่อนหน้านั้น ยังไม่พูดถึงเซ่าอี๋ อย่างน้อยก็ต้องกลับไปดูสถานการณ์ที่เขาจงซานก่อนสิ นางยอมทิ้งชีวิตตนเองเพื่อท่านพ่อและท่านพี่ของนาง และทำไมเมื่อจบเรื่องแล้วกลับไม่รีบร้อนกลับไปดูพวกเขากัน เดิมคิดว่าขอแค่นางพูดเพียงครั้งเดียว เขาก็จะรีบพานางกลับไปเขาจงซานทันที แต่ว่านางกลับไม่ได้พูดอีก หรือจะบอกว่าพวกเขามีเวทลับเฉพาะอะไรของตระกูลจู๋อินไว้ติดต่อกันลับๆ ได้
องค์หญิงมังกรที่คิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่งราวกับมองความสงสัยของเขาออก นางเขย่าแขนขวาราวกับหยกนั้นของเขา แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าติดต่อกับชิงเยี่ยนนานแล้ว ใช้ตราประทับเทพขุนนาง”
นางทำท่าราวกับบอกว่า “ท่านคงไม่รู้สินะ” ออกมา ฝูชางอดไม่ไหวดีดหน้าผากของนางไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงก้มหน้าลงจูบที่หน้าผากนางทันที แนบชิดพัวพันกับนางอีกครา เขาได้ลิ้มรสอันโอชะแล้ว เพียงเท่านี้จึงไม่อาจพอใจได้อีก
พระจันทร์ขนาดใหญ่ลอยไปตามเขาไท่ซานแล้วค่อยๆ ตกลงไปทีละน้อย ท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มสว่างขึ้น เทพีวั่งซูขับเคลื่อนจันทรากลับไป เทพีซีเหอยังขับเคลื่อนอาทิตย์มาไม่ถึง ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสั้นๆ นี้ ขอบฟ้าจึงมีสีราวกับสีหมึกจางๆ ทั้งดูอบอุ่นและเยือกเย็น
ประตูไม่ได้ปิด ม่านสีเขียวถูกลมพัดจนเปิดออก ฝูชางหลับลึกมาก ผมยาวของเขาแผ่ไปบนหมอน ชุดคลายออกและตกลงไปที่แขน
มือข้างหนึ่งลูบไปบนใบหน้าของเขา แล้วข้อมือก็พลิกขึ้น หิมะจู๋อินที่ดำเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรีปรากฏบนฝ่ามือ
ฉุนจวินบนชั้นส่งเสียงออกมา เสวียนอี่ไม่ได้สนใจมัน เพียงแต่โยนหิมะสีดำนั้นบนฝ่ามือไปมา แต่ก่อนนางเกลียดสีขาวบาดตาเป็นที่สุด แต่ตอนนี้พลันรู้สึกว่า หิมะสีขาวก็ยังน่ามองมากกว่าอยู่ดี