บทที่ 152 มารกู้โลก

บุหลันเคียงรัก

รถคันยาวที่มีตราสัญลักษณ์ลายเมฆาของตระกูลหวาซวีจอดที่หน้าประตูหุบเขาจงซานที่โอ่อ่า ประตูรถถูกเปิดอย่างรวดเร็ว เงาร่างสีแดงสดที่งดงามบาดตากระโดดลงมาอย่างแผ่วเบา นางหันกลับไปมองทางประตูเขาอย่างเคร่งขรึม ต่อมาก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งมาตรงหน้านางอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า และกอดนางไว้จนร่างแทบหัก

เสวียนอี่ร้อง “ไอหยา” ออกมาแล้วหรี่ตาลงมองพวกเขา ท่านพ่อที่อมทุกข์ของนางกับฉีหนานล้วนแต่ร้องไห้เสียจนตาบวม ชิงเยี่ยนยังดีหน่อย เพียงแค่ใบหน้าของเขาเข้มเสียจนใกล้จะกลายเป็นเมฆดำแล้ว

ด้านหน้าด้านหลัง สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนางต่างก็อยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาแล้ว นางยอมทำเรื่องที่น่าตื่นตะลึงไปทั้งฟ้าดินเรื่องหนึ่งได้

นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ข้าไม่เป็นไร สัมพันธ์ขนหัวใจตัดขาดแล้ว แผลที่หัวใจก็หายดีแล้ว”

นางเด็กน่าตายคนนี้ ทั้งที่ไม่เป็นไรแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมกลับเขาจงซาน เพียงแค่ใช้ตราประทับสีทองของเวทเทพขุนนางบอกว่านางสบายดีเท่านั้น เกือบจะทำให้พวกเขาร้อนรนจนแทบคลั่ง ชิงเยี่ยนเคาะหัวของนางไปทีหนึ่งด้วยอารมณ์โมโหระคนยินดี

กว่าจะสงบลงได้ก็ผ่านไปนานแล้ว มหาเทพจงซานยามนี้ถึงได้พบว่าฝูชางเองก็อยู่ด้วย สีหน้าพลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที เพราะเจ้าหนูตระกูลหวาซวีนี่ แผลหัวใจของอาอี่ถึงได้กำเริบ แต่ตอนที่อาอี่พบเรื่องลำบาก ก็เป็นเขาที่เข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นพร้อมกันกับอาอี่ เขาในฐานะพ่อ และชิงเยี่ยนที่อยู่ในฐานะพี่ชาย ตอนนั้นกลับไม่อาจขยับได้ราวกับตายไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจู๋อินเลย

เรื่องมาถึงตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจอะไรไปตำหนิคนอื่นที่ดึงอาอี่ไว้หลายวันอย่างนี้ได้ จึงได้แต่แสร้งทำมองไม่เห็น

ชิงเยี่ยนมองไปที่อาอี่ นางกำลังดึงฉีหนานที่ร้องไห้เสียจนตาบวมพูดคุยอะไรกันอยู่ จากที่เขาเข้าใจน้องสาวคนนี้ เกรงว่าต่อให้ถามอะไรนางไปก็คงไม่ได้อะไร เขาจึงหันไปหาฝูชาง แล้วแสดงสีหน้าจริงใจออกมาเป็นครั้งแรกว่า “เทพฝูชาง ที่ครั้งนี้น้องสาวข้าพ้นอันตรายได้ ต้องขอบคุณมากที่ได้เจ้าช่วย บุญคุณนี้ ตระกูลจู๋อินจะต้องตอบแทนแน่”

ตระกูลหวาซวีที่เน้นมารยาทก็รีบคารวะตอบด้วยท่าทีงามสง่ายิ่งกว่าทันที ชิงเยี่ยนไม่รอให้เขากล่าวคำเกรงใจตามมารยาทออกมา แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เผือกเผา[1]อันดับหนึ่งของแผ่นดิน เจ้าเอาไปแล้วจะโยนคืนกลับมาไม่ได้แล้วนะ”

เป็นเผือกเผาอันดับหนึ่งของแผ่นดินจริงๆ ฝูชางหลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่

เสวียนอี่ยิ้มแล้วคล้องฉีหนานเอาไว้ พลางพิจารณาเขาขึ้นๆลงๆ “ฉีหนาน หน้าบวมหมดแล้ว น่าเกลียดมาก”

หลายวันมานี้จิตใจของฉีหนานอ่อนล้ามาก ครอบครัวพวกเขาทั้งสามคนกลับหายไปอย่างไร้สาเหตุ ภายหลังมหาเทพกับองค์ชายน้อยล้วนแต่ถูกโยนมาที่หน้าประตูเขาอย่างไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งกลับมา พวกเขาทั้งสองกลับมาแล้ว แต่ว่าองค์หญิงกลับหายไป ตอนนี้ได้เห็นนางกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงเหลือเพียงน้ำตานองหน้าเท่านั้น

เสวียนอี่ยิ้มแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้เขา นางเงยหน้าขึ้นมองชิงเยี่ยนที่กำลังเตรียมจะเรียกฝูชางให้เข้าไปในหอเทพดำริ คิดว่าคงเตรียมจะสอบถามเรื่องทะเลหลีเฮิ่น นางหรี่ตาลงแล้วพลันกล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้เท่านี้พอ ไม่ต้องไปแก้แค้น”

ท่านพ่อกับชิงเยี่ยนจะต้องไม่ยอมปล่อยตระกูลชิงหยางไปแน่ แต่อย่างแรกนั้นเพราะเซ่าอี๋มีวิญญาณมหาเทพกว่าหลายแสนปีอยู่ หากว่าสู้ตายกันจริงๆ ท่านพ่อกับชิงเยี่ยนไม่มีทางเป็นคู่มือเขาได้แน่ อย่างที่สอง มหาเทพตระกูลชิงหยางเอาขนหัวใจให้พวกเขา ใครจะรู้ว่าเซ่าอี๋ได้เก็บกลับไปหรือไม่ ถ้าหากว่านางเป็นเซ่าอี๋ แปดเก้าในสิบส่วนนางไม่มีทางเก็บกลับไปแน่ เป็นเช่นนี้ถึงจะมีวิธีบีบพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายเรื่องทะเลหลีเฮิ่นออกไปได้

มหาเทพจงซานกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าหนุ่มรุ่นหลังตระกูลชิงหยางนั่นมาล้อเล่นกับตระกูลจู๋อินอย่างนี้ จะยอมปล่อยเขาไปอย่างนี้ได้อย่างไร!”

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ขนหัวใจที่หัวใจของพวกท่านไม่รู้ว่าตัดขาดแล้วจริงๆหรือไม่ ข้าไม่อยากจะต้องลำบากเปล่าๆหรอกนะ ขอท่านพ่อโปรดช่วยระงับโทสะด้วย”

มหาเทพจงซานถูกนางกล่าวเข้าจนเป็นใบ้พูดไม่ออก หากกล่าวจริงๆแล้ว เรื่องนี้ก็เกิดจากนิสัยเสเพลของเขาเป็นต้นเหตุ ไม่เพียงแต่จะทำให้อาชุ่ยต้องดับสูญเท่านั้น อาอี่ยังบาดเจ็บหนักขั้นอันตราย ทั้งยังทำให้ตนเองถูกใส่ขนหัวใจเข้ามาอีก ครึ่งชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็นสามีหรือบิดา ก็ล้วนแต่แย่ทั้งสิ้น แย่มากจริงๆ

เขาถอนหายใจออกมาแล้วไม่กล่าวอะไร เพียงหมุนตัวออกไปจากหอเทพดำริ

เสวียนอี่ก็ไม่ไปสนใจเขา กำลังจะไปทางวิมานม่วง กลับได้ยินฉีหนานกล่าวถามอย่างระวังว่า “องค์หญิง ท่านกับเทพฝูชาง…”

แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นมากเสียจนเกือบสิ้นสติไป แต่ว่าที่หน้าประตูเขานั่นเขาก็ยังเห็นรถคันยาวของตระกูลหวาซวีอย่างชัดเจน หลายวันนี้องค์หญิงน่าจะอยู่กับเทพฝูชาง สถานการณ์นี้ทำให้เขาสับสนไปหมด และไม่รู้ว่าจะดีใจที่องค์หญิงกับเทพฝูชางอยู่ด้วยกัน หรือว่ากังวลว่าพวกเขาจะต่างคนต่างทรมานอีกฝ่ายแบบเจ้าอยู่ข้าตายดี

หลังกลับมาคราวนี้ องค์หญิงที่มักจะมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างตระกูลจู๋อินกลับเม้มปาก แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “เจ้าอยากถามอะไร ข้ากับเขาไม่มีอะไรกันทั้งนั้น”

…พูดออกมาอย่างนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีอะไรกันจริงๆแล้ว

ฉีหนานถูกความสัมพันธ์ที่จู่ๆ ก็แย่มากถึงขีดสุดและกลับมาพัวพันเข้าด้วยกันของทั้งสองทำให้สับสนไป คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะไปเกี่ยวข้องกับเขาอีก เดิมเขาเป็นเสาต้นใหญ่ที่แยกคู่รักนี้ออกจากกันมาถึงสองหมื่นกว่าปี เขายังไม่รู้ว่าตนเองจะเลวร้ายได้ถึงอย่างนี้

เสวียนอี่เข้าไปในเขตแดนเมฆา ภายในวิมานม่วงต้นตี้หนี่ว์ซางมากมายเข้ามาในสายตา นางเดินไปใต้ต้นไม้ช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองใบไม้สีแดงสลับเขียวอย่างเหม่อลอยนิ่งงัน

จดหมายที่ไม่ได้ปิดผนึกไว้พลันถูกส่งมาตรงหน้านาง ฉีหนานมีสีหน้าลังเล

“องค์หญิง อภัยให้ข้าด้วยที่ถึงตอนนี้ถึงเพิ่งจะเอาจดหมายฉบับนี้มาให้ท่าน เดิมข้าไม่อยากให้ท่านกับเทพฝูชางต้องเกี่ยวข้องกันอีก”

เสวียนอี่รับเอาจดหมายมาอย่างสงสัย บนนั้นไม่มีแม้แต่รอยน้ำหมึก มีเพียงลายเมฆาของตระกูลหวาซวี

“ข้าเดาว่าน่าจะส่งมาจากเทพฝูชางเมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อน น่าจะเป็นตอนที่องค์หญิงหลับไปเพราะบาดแผลที่หัวใจกำเริบตอนนั้น”

นางหยิบเอาจดหมายออกมาช้าๆ ไม่มีเขียนอะไรไว้เลยแม้แต่ตัวเดียว ในใจนางพลันรู้สึกน่าขัน เมื่อความรู้สึกน่าขันนั้นผ่านไปก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา เมื่อความขมขื่นผ่านไปกลับกลายเป็นความเจ็บปวด สุดท้ายก็ความรู้สึกทุกอย่างก็สงบลงไป

“ข้ารู้แล้ว” นางพับจดหมายแล้วใส่เข้าไปในซองใหม่ ปลายนิ้วดีดครั้งหนึ่ง จดหมายฉบับนี้ก็ลอยเข้าไปในที่นอน แล้วเข้าไปในลิ้นชัก

ฉีหนานเห็นนางมีใบหน้าเคร่งเครียดลงเป็นนัยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” ออกมา ก็พลันงุนงงทันที “องค์หญิง…เข้าใจแล้วหรือ”

เสวียนอี่พยักหน้า

แต่ว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย! ฉีหนานอยากถาม แต่ว่าความรู้สึกชายหญิงอย่างนี้ เทพขุนนางกึ่งชราอย่างเขาเข้าไปถามก็ไม่มีความหมาย จึงได้แต่ต้องถอยไป “ข้าจะไปเตรียมของว่างมาให้องค์หญิง”

เสวียนอี่มองไปยังต้นตี้หนี่ว์ซางครู่หนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินไปทางตำหนักหยวนจัน ใต้หน้าต่างห้องนอนวางชั้นวางแก้วเอาไว้หลายแถว บนนั้นล้วนแต่คือของชิ้นเล็กๆ หลายอย่างที่หลายปีนี้นางปั้นขึ้นมาจากหิมะ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ตก หิมะสีขาวเหล่านี้เต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์ ทั้งยังขาวเจิดจ้าบาดตามาก

นางหยิบเอาดอกเสาเย่าหิมะสีขาวดอกหนึ่งขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือมองอยู่ครู่หนึ่ง ข้อมือนางพลิกไปพลิกมา หิมะสีดำราวกับยามราตรีก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ

จริงๆแล้ว…หิมะสีดำสนิทก็สวยดีเหมือนกัน

นับจากที่นางตื่นขึ้นมาในกระบี่ฉุนจวิน นางก็รับรู้ได้ว่าร่างกายผิดปกติไป มันหนักอึ้งมาก และยังรู้สึกง่วงอย่างน่าประหลาด แต่ว่าทุกครั้งกลับนอนได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็ต้องตกใจตื่นขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ นางจะดับสูญแล้วใช่ไหม หรือว่านางกำลังจะเปลี่ยนไปเหมือนกับสัตว์ประหลาดในทะเลหลีเฮิ่นพวกนั้นกัน

คำพูดที่เซ่าอี๋เคยกล่าวกึ่งล้อเล่นกับนางมาก่อนหลายครั้งพลันกลับเข้ามาในหู ความเป็นไปได้ที่เจ้าจะเป็นราชาเผ่ามารยังมากกว่าข้าเสียอีก

นางคงไม่ได้กำลังจะกลายเป็นราชามารจริงๆหรอกนะ แม้ว่าฟังแล้วก็ไม่เลวร้ายอะไร ทั้งยังดูน่าสนุกกว่าเป็นวั่งซูอีก แต่ว่าคราวนี้เหล่าเทพยังมีคำสั่งให้ปราบเหล่ามารอยู่ เพราะขนหัวใจของชิงเยี่ยนและท่านพ่อ คิดว่านางคงไม่สามารถเอาเรื่องทะเลหลีเฮิ่นไปพูดให้พวกเขาฟังได้ คราวนี้นางพลันเปลี่ยนจากผู้กอบกู้โลกกลายไปเป็นจอมมารไปอย่างแปลกประหลาดแล้ว แค่คิดถึงว่าเหล่านักรบทั้งหลายจะรวมกลุ่มกันมาจัดการนางเหมือนกับที่จัดการราชามาร นางก็รู้สึกว่ามันช่างเหลวไหลสิ้นดี

เสวียนอี่พลิกหิมะสีดำไปมา แล้วเก็บกลับไปใหม่อย่างหมดอารมณ์ นางหมุนตัวแล้วเดินไปสองก้าว หลังมือพลันเจ็บปวดขึ้นมาราวกับจะปริแตก นางกดลงไปอย่างไม่รู้ตัวทันที ฝ่ามือกลับกดลงไปบนเกล็ดมังกรเยือกเย็นชิ้นหนึ่งที่หลุดออกมา

นางหรี่ตาลงมองเกล็ดมังกรสีดำสนิทชิ้นขนาดฝ่ามือชิ้นนั้น แล้วมองไปยังหลังมือ ไอขุ่นมัวสีดำสนิทวนเวียนไปมาอยู่ที่เลือดเนื้อ บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดก็พลันหายไป

สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาที่ชายกระโปรงสีแดงสดของนาง กลับทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นไปถึงกระดูก

เขตแดนเมฆามีคนเข้ามา เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้น เสวียนอี่เอาเกล็ดมังกรที่หลุดออกมาใส่ไปในแขนเสื้อแล้วหมุนตัว เทพบุตรในชุดขาวกำลังเดินมาทางนาง

[1]เผือกเผา : หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่าๆ