วิมานม่วงขององค์หญิงมังกรกับพื้นที่เยือกเย็นไปด้วยหิมะในจินตนาการไม่ค่อยเหมือนกันนัก ในสายตาเต็มไปด้วยสีแดงสลับเขียว และยังปลูกต้นตี้หนี่ว์ซางเอาไว้เต็มไปหมด นางกำลังยืนอยู่ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางต้นหนึ่ง เงาร่างสีแดงราวกับจะลอยขึ้นมาอย่างนั้น นางเหมาะกับต้นตี้หนี่ว์ซางมากจริงๆ
ฝูชางเอาโต๊ะชาที่หยิบมาจากฉีหนานวางลงใต้ต้นไม้ แล้วลากนางนั่งลง เขาไม่กล่าวเรื่องที่เขาพูดกับชิงเยี่ยนในหอเทพดำริเมื่อครู่นี้ แต่เพียงกล่าวเสียงนุ่มว่า “ที่นี่สวยมาก”
เสวียนอี่รินชาสุริยันจรัสแสงถ้วยหนึ่งเงียบๆ ใช้นิ้วคีบไปยังขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลชิ้นหนึ่ง นี่คือของที่นางเคยชอบที่สุดมาก่อน ตอนนี้นางกลับไม่อยากกินสักนิด นางฝืนกัดไปคำหนึ่ง แต่ในปากกลับไร้รสชาติ
คราวนี้ดีเลย กระทั่งของว่างน้ำชายังไร้รสชาติ นางวางถ้วยลงกลับไปบนโต๊ะน้ำตาคลอ สู้ให้นางดับสูญไปเลยดีกว่า
ฝูชางจับหัวนางให้หันกลับมา แล้วก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าเป็นอะไรไป”
เสวียนอี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันโผเข้าไปในอกของเขาแล้วขดตัวราวกับแมว เล็บสีแดงเพลิงเกี่ยวไปที่ลายเมฆาที่แขนเสื้อเขาช้าๆ ลายเมฆาบนชุดนักรบเขาแทบจะถูกนางเกี่ยวออกมาจนไม่เหลือแล้ว
“ศิษย์พี่ฝูชาง” นางเรียกเสียงต่ำ “หากว่าข้า…”
“อะไรหรือ” เขาถามเสียงต่ำ
เสวียนอี่นิ่งไป แล้วกล่าวต่อว่า “หากว่าข้าอยากจะไปดูศาลเทพบูรพาที่โลกเบื้องล่างดู ท่านจะไปกับข้าไหม”
ฝูชางลูบศีรษะของนางแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “โลกมนุษย์ไม่เหมือนแดนเทพ ไม้ดินหินต่างก็ถูกกัดกร่อน ศาลเทพบูรพาเกรงว่าคงไม่มีแล้ว”
นางถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย ก็ถูก ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ คิดว่าสุสานราชวงศ์เองก็คงไม่มีแล้ว นางยังอยากจะพาเขาไปดูหลุมศพเขาที่โลกมนุษย์นั่น มันน่าประหลาดมาก
“ต้นตี้หนี่ว์ซางต้นนั้นน่าจะยังอยู่ ต้นไม้แดนเทพหลายสิบล้านปีก็ยังไม่เหี่ยวเฉา” ฝูชางจับผมนางไปไว้อีกด้าน “อยากจะไปดูหรือไม่”
ใครจะรู้ว่านางกลับส่ายหน้า “ท่านตายที่นั่น ข้าไม่ไป”
…พูดอะไรน่ะ ฝูชางบีบเอวนางไปหลายครั้ง มันจั๊กจี้เสียจนนางเกือบหมดสติไป นางหัวเราะจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเอื่อยๆ ใบไม้ของต้นตี้หนี่ว์ซางเหนือศีรษะส่งเสียงเสนาะหูออกมา เสวียนอี่จ้องมันอยู่นานมาก ก่อนที่แววตาจะมองกลับมาที่ร่างของฝูชาง ราวกับกำลังคิดอะไร เทพบุตรชุดขาวราวกับกลายเป็นองค์ชายในโลกมนุษย์คนนั้น เขาใช้แววตาบอกนางว่า พวกเขายังสามารถไปได้อีกมากมายหลายที่ ได้เห็นทิวทัศน์อีกมากมาย
นางยกมือขึ้นลูบใบหน้าเขาแล้วคลี่ยิ้มบางๆ “พวกเราไปดูต้นตี้หนี่ว์ซางต้นนั้นกันเถอะ ตอนนี้เลย”
…
ลมที่แฝงไปด้วยไอขุ่นมัวพัดผ่านผมและเสื้อผ้าอีกครั้ง ความรู้สึกเหนียวเหนอะไม่สบายตัวเหล่านั้นหายไปแล้ว กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกกดดันประหลาดอย่างหนึ่ง เสวียนอี่เท้าแขนนอนตะแคงอยู่บนหลังของราชสีห์ นางหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่ออยู่โลกเบื้องล่างไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้นางรู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก
ราชสีห์เก้าเศียรใต้ร่างกำลังตัวสั่น หัวเล็กๆ แปดหัวเหนือคอมันหันกลับมามองนางอย่างหวาดกลัว นางกวาดตามองไป พวกมันกลับเบือนหนีด้วยน้ำตานองหน้า
รังแกเสี่ยวจิ่วอีกแล้ว ฝูชางเคาะศีรษะนางเบาๆ ทุกครั้งที่องค์หญิงมังกรขึ้นหลังราชสีห์ เสี่ยวจิ่วหากว่าไม่ใช่ตัวสั่นก็น้ำตาไหล ความคุกคามของเทพมังกรจู๋อินทำให้สัตว์พาหนะทุกตัวต่างหวาดกลัว
“เพิ่งกลับไปที่เขาจงซานก็ลงมาโลกเบื้องล่างแล้ว ทำไมไม่อยู่ให้นานหน่อย” ตระกูลจู๋อินมักชอบทำอะไรประหลาดเสมอ กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวก็ยังประหลาดมาก บอกจะเอาชีวิตไปแลกเพื่อครอบครัวก็ทำ บอกจะจากไปก็จากไปโดยไม่พูดอะไรให้มากความ ใครก็ขัดขวางไม่ได้ทั้งนั้น
เสวียนอี่ส่ายหน้า แล้วพลันกล่าวเรียบๆ ว่า “ตอนนี้ข้าอยากจะอยู่ด้วยกันกับท่าน”
คำพูดสนิทสนมอย่างนี้นางแทบจะไม่เคยกล่าวเลย ตอนนี้พลันกล่าวออกมาราวกับเรื่องธรรมดาทั่วไป กลับทำให้ฝูชางอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมาทันที เขาจับร่างนอนตะแคงของนางเข้ามาในอกแล้วลูบหัวนาง
ราชสีห์เก้าเศียรผ่านทะเลเมฆไป ลมที่พัดมาแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ผมของพวกเขาถูกพัดจนพลิ้วปลิวขึ้นไป
ฝูชางกำบังเหียนเอาไว้แล้วทอดมองไปไกล ก็เห็นว่าไกลออกไปนั้น บนขอบฟ้ามีกลุ่มหมอกปีศาจสีแดงหลายกลุ่มกำลังปะทะกับแสงรัศมีเทพ พื้นที่ของโลกเบื้องล่างนั้นเปลี่ยนแปลงไปนับไม่ถ้วนในระยะเวลาหลายร้อยล้านปี เมืองในตอนนั้นกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ตอนนี้กลายเป็นสนามรบกันของเทพมาร
หมอกปีศาจสีแดงนี้กระทั่งเขาก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละกลุ่มใหญ่โตมาก มันครอบคลุมไปทั่วฟ้า แสงรัศมีเทพกะพริบวาบ แต่กลับไม่สามารถครอบคลุมมันได้ คิดว่าจะต้องเป็นราชาที่ร้ายกาจมากตนหนึ่งแน่
ฝูชางกอดเอวของเสวียนอี่เอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ไปแล้ว”
องค์หญิงมังกรอยู่ เขาไม่อยากจะให้เกิดเรื่องอย่างราชาซุ่ยหูอีกแล้ว ใครจะรู้ว่าดวงตาทั้งสองขององค์หญิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินคนนี้กลับเป็นประกาย เขย่าแขนเสื้อเขาไปมา “ไปดูก่อนว่าเป็นราชาตนไหน”
ฝูชางขมวดคิ้วแล้วจับแขนนางเอาไว้ “อย่างอแงสิ”
เขาบังคับให้ราชสีห์เก้าเศียรเปลี่ยนทิศทาง บินไปได้ระยะหนึ่ง กลับพบว่าด้านหน้ามีแสงรัศมีเทพมากมายนับไม่ถ้วนกำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงของรัชทายาทฉางฉินก็พลันดังขึ้นมาว่า “ฝูชาง! ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้”
ในใจเขาพลันลอบร้องว่าไม่ดีแล้ว แสงรัศมีเทพเหล่านั้นเข้ามาใกล้เบื้องหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบของหน่วยติงเหม่าทั้งนั้น รัชทายาทฉางฉินลงมาข้างกายเขาแล้วพิจารณาเขาอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “บาดแผลเจ้าหายดีแล้วหรือ ข้าได้ยินเทพขุนนางบ้านเจ้ากล่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก ยังคิดว่าจะต้องรออีกระยะหนึ่งเสียอีก เจ้ามาก็ดี หน่วยอี่เว่ยเพิ่งจะส่งสัญญาณเรียกรวมพลมา ราชาปาเสอ[1]กำลังก่อความวุ่นวาย ก่อนหน้านี้เขาหลับใหลไปหนึ่งหมื่นปี หลายวันนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ร้ายกาจมาก กำลังต้องการวิถีกระบี่ตระกูลหวาซวีของเจ้าพอดี”
กล่าวจบเขาก็มองไปที่เสวียนอี่อย่างไม่เกรงใจเท่าไหร่นักแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “คิดว่าหิมะจู๋อินขององค์หญิงเองก็น่าจะมีประโยชน์”
อะไรที่บอกว่า “คิดว่าน่าจะ” กัน เสวียนอี่ขมวดคิ้ว ฝูชางชิงพูดก่อนหน้านางก่อนแล้ว “นางไม่ต้องลงมือ”
จะอย่างไรรัชทายาทฉางฉินก็เป็นแม่ทัพผู้คุมของหน่วยติงเหม่า จัดการให้นักรบในควบคุมไปปราบเผ่ามารก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่สามารถปฏิเสธได้ ฝูชางจับไหล่ของเสวียนอี่เอาไว้ แล้วมองไปที่นางด้วยสายตาเข้มงวดอย่างหาได้ยาก “หากให้ข้าเห็นว่าเจ้าลงมือกับราชา เจ้าน่าจะรู้ผลที่ตามมาดีนะ”
ดุอย่างนี้เลย? เสวียนอี่ถลึงตาใส่เขา ฝูชางตบหน้าผากของนางอย่างแรง แล้วขี่ราชสีห์เก้าเศียรตามหลังนักรบหน่วยติงเหม่าไป มุ่งไปทางหมอกปีศาจที่รุนแรงนั่น
ยังไม่ทันจะเช้าไปใกล้ ก็เห็นว่าพื้นที่รกร้างได้ถูกพิษสีเขียวกลืนกินไปหมดแล้ว นักรบที่ได้รับสัญญาณเรียกรวมพลทั้งหลายกำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับงูยักษ์สีดำร่างใหญ่ เพราะร่างทั้งร่างของราชาปาเสอต่างก็เป็นพิษทั้งนั้น เหล่านักรบทั้งหลายจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ ได้แต่อยู่ห่างๆ และใช้เวทสู้มันเท่านั้น และทำให้ตรงเอวของมันเนื้อหลุดมาแถบหนึ่งแล้ว
ฝูชางด้านหน้าลุกขึ้นกำลังจะขี่ลมเข้าไป เสวียนอี่พลันอดที่จะจับแขนเสื้อเขาเอาไว้ไม่ได้
ฝูชางหันกลับไป มือทั้งสองประคองใบหน้านางไว้ แล้วค้อมกายลงไปจูบที่หน้าผากนาง “เชื่อฟังหน่อย รออยู่ตรงนี้อย่าขยับ”
นางมองเขาขี่ลมเข้าไปเงียบๆ ฉุนจวินกลายเป็นมังกรทองขนาดใหญ่ ดวงตาสีทองที่เยือกเย็นมองมาที่ร่างของนาง
มองอะไร เจ้าคนโลกแคบ นางถลึงตาใส่มัน ฝูชางท่องคาถา มังกรทองก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล้วพุ่งไปที่ราชาปาเสอ มันกลายเป็นคลื่นน้ำนับพันนับหมื่น และฉีกเกล็ดงูที่แข็งราวกับเหล็กออก
ไอขุ่นมัวที่เข้มข้นหนาแน่นโถมเข้ามาที่หน้า เสวียนอี่รู้สึกหน้ามืดตาลาย ที่หลังของนางก็รู้สึกเจ็บเหมือนปริแตก เกล็ดมังกรหลายอันหลุดออกมาอีกแล้ว นางใช้มือกดไปที่หลัง ในหูก็ได้ยินเสียงอึงอล
ราชสีห์เก้าเศียรใต้ร่างตัวสั่นและส่งเสียงราวสะอื้นออกมา มันสั่นเสียจนแทบจะร่วงลงไปจากทะเลเมฆ เสวียนอี่เคาะไปบนหัวที่ใหญ่ที่สุดของมันอย่างแรงครั้งหนึ่ง เจ้าราชสีห์โง่นี่ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
ราชาปาเสอตรงข้ามราวกับถูกเหล่านักรบทั้งหลายโจมตีเสียจนไร้ทางเลือก ร่างพลันขยายขนาดขึ้นหลายเท่า มันอ้าปากสีแดงโลหิตออกแล้วสูดเข้าอย่างแรง เหล่าเทพรู้สึกว่าหลังถูกมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งตบแรงๆ ครั้งหนึ่งอย่างนั้น เทพที่มีพลังเทพเบาบางต่างก็ถูกมันดูดเข้าไปในท้อง
มันเหยียดร่างตรงแล้วอ้าปากสูดอีก เงาร่างสีแดงเพรียวบางเงาหนึ่งเองก็ถูกมันดูดเข้าไปด้วย เห็นตรงหน้าว่ากำลังเข้าไปในปากขนาดใหญ่แล้ว
แววตาฝูชางเข้มขึ้น เทพมังกรจู๋อินที่ถูกปาเสอตัวหนึ่งดูดไปงั้นหรือ ตลกหรือไงกัน นางมาสร้างความวุ่นวายอีกแล้ว! เขากำลังจะท่องคาถา ให้ฉุนจวินไปกลืนเอาองค์หญิงมังกรที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ลงไปเสีย แต่กลับเห็นว่า มังกรทองกลับไม่เชื่อฟังคำสั่งเขาแล้วอ้าปากกว้างทั้งยังออกแรงกัดลงไปบนร่างของนางอย่างแรง สะบัดแล้วโยนออกไป ราชาปาเสอดูดครั้งที่สามพอดี นางจึงถูกดูดลงไปในท้องของมันทันที
—
[1]ปาเสอ : งูยักษ์ในเทพนิยายจีนโบราณ กล่าวกันว่าสามารถกลืนกินช้างได้ทั้งตัว