“ฝูชาง!”
รัชทายาทฉางฉินตกใจมาก เขากลับใช้ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรกัดไปที่องค์หญิงตระกูลจู๋อินนั่น! ต้องแค้นเคืองกันขนาดไหนกัน ต่อให้พวกเขาจะมีเกล็ดมังกรอยู่ แต่ว่านั่นน่ะคือกระบี่ฉุนจวินเลยนะ! กัดครั้งนี้คงร้ายแรงพอดูเลยสิ
เพิ่งจะกล่าวจบ ก็เห็นมังกรสีทองตัวนั้นกลายเป็นคลื่นน้ำอย่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าได้กลายเป็นน้ำตกสีทองขนาดใหญ่ไหลลงมา และกรอกเข้าไปในปากของราชาปาเสอที่อ้าอยู่ และฝืนไม่ให้ฟันที่แหลมคมนั่นปิดกันได้ เงาร่างสีขาวพลันแวบผ่านไปแล้วไล่ตามเข้าไปในท้องของปาเสอเร็วราวกับดาวตก
ไอขุ่นมัวที่เข้มข้นราวกับทะเลสาบเหนียวเหนอะและหมอกพิษพลันเข้ามาหุ้มร่างฝูชางเอาไว้ทันที แต่ละก้าวยากลำบากมาก เขาท่องคาถา มังกรทองก็รีบพุ่งมาอย่างแรง มันหมุนวนไปรอบร่างเขาและทำให้ไอขุ่นมัวพิษนั้นสลายไป แต่เห็นในท้องของปาเสอเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวลอยอยู่เต็มในน้ำพิษ น่าจะเป็นกระดูกของมนุษย์ทั่วไปที่ถูกมันดูดกลืนเข้ามาก่อนหน้านี้ เลือดสีแดงสดลอยเป็นชั้น เป็นภาพที่น่ากลัวมาก
เหล่านักรบที่ถูกดูดเข้ามาในท้องของปาเสอเมื่อครู่นี่ต่างก็ถูกน้ำพิษเข้า เห็นว่าคงไม่รอดแน่แล้ว ฝูชางบินวนเวียนไปมาหลายครั้ง แต่กลับหาเงาร่างของเสวียนอี่ไม่เจอ นางคือตระกูลจู๋อิน ต่อให้พิษร้ายแรงกว่านี้อีกหมื่นเท่าก็ยังไม่มีผลกับนาง ไม่มีทางที่จะถูกพิษเหล่านี้ทำร้ายได้
แต่ว่านางอยู่ที่ไหนกัน นางราวกับกลายเป็นหิมะกลุ่มหนึ่งที่หลอมละลายไปท้องของปาเสอแล้ว
ในไอขุ่นมัวรุนแรง เขาพลันจับกระแสพลังเยือกเย็นคล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งได้ ฝูชางหมุนตัวแล้วพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นว่าในกองเลือดที่ไม่มีน้ำพิษนั่นมีเลือดไหลนองอยู่จำนวนมาก พวกมันต่างก็จับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว เลือดของตระกูลจู๋อิน ฉุนจวินกลับทำให้นางบาดเจ็บถึงขนาดนี้
เขาค้อมตัวลง แล้วช้อนเอาเกล็ดมังกรสีดำขนาดประมาณฝ่ามือชิ้นหนึ่งในเลือดที่จับตัวแข็งนั่นขึ้นมา เกล็ดขององค์หญิงมังกร ในกองเลือดไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียว หากดูคร่าวๆ มีไม่ต่ำกว่าห้าหกชิ้น
ฝูชางกำเกล็ดมังกรเหล่านั้นไว้ในมือ เขามองไปรอบๆ แล้วก็พบว่าไม่ไกลมีรอยเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งอีกหนึ่งที่ บนนั้นยังมีเกล็ดมังกรจำนวนมากร่วงอยู่ด้วย เขาเก็บเอาเกล็ดมังกรทั้งหมดขึ้นมา แล้วไล่ตามรอยเลือดไปตลอดทาง สุดท้ายกลับไปพบกับกองเลือดที่มากกว่าก่อนหน้านี้ มันมีเกล็ดมังกรถึงสิบกว่าชิ้นร่วงอยู่ในเลือด และยังมีวงแหวนสีทองเป็นประกายที่เปื้อนเลือดตกอยู่ด้วย
ฝูชางหยิบเอาวงแหวนทองขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เสียงดังอึกทึกวุ่นวายทั้งหมดในหัวเขาพลันกลายเป็นเงียบสนิททันที
…
สายฝนที่แฝงไปด้วยไอขุ่นมัวตกลงมา หากว่าเป็นแดนเทพ จื่อซีชื่นชอบวันฝนตกมาก นางอยู่ที่ตำหนักหมิงซิ่งบ่อยครั้ง ในยามที่ว่างที่สุด นางชอบที่จะฟังเสียงในและฝึกคัดอักษร บ้างก็ดีดพิณ มากกว่าที่จะไปบำเพ็ญตบะ
แต่ว่าฝนของโลกเบื้องล่างทำให้นางสบายอารมณ์ไม่ไหวเลย ยิ่งสายฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ร่างที่ถูกลงโทษไม่นานของนางเจ็บปวดขึ้นมา
แม่ทัพผู้คุมกล่าวไม่ผิด ลงโทษโดยประกายสุริยันฟาดกระหม่อมนั้นเจ็บปวดมากพอที่จะทำให้เทพเล็กๆ อย่างนางหมดสติไปถึงสามวัน แต่ว่าตอนที่นางรับโทษนั้นกลับไม่ได้หมดสติไป นางรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองยังเจ็บกว่าร่างกายหลายหมื่นเท่า
คิดว่าในชีวิตกว่าครึ่งอันแสนสั้นที่ผ่านมาของนาง ความเชื่อของนางก็คือไม่ว่าเรื่องอะไรหากว่าพยายามแล้วก็จะต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นเสมอ นางพยายามมากจริงๆ และก็ได้รับสิ่งที่นางอยากจะได้ ดังนั้นนางจึงเชื่อมาตลอดว่าสวรรค์และปฐพีนั้นยุติธรรม และนางก็ภาคภูมิใจกับความยุติธรรมและเข้มงวดมาตลอด
แต่ว่าการคงอยู่ของเสวียนอี่กลับทำลายความเชื่อมั่นทั้งหมดของนาง เดิมในด้านความรู้สึกแล้วก็ไม่เคยมีความยุติธรรมอยู่แล้ว ความพยายามของนางฝูชางไม่ได้สังเกตเห็น เซ่าอี๋ยิ่งปฏิเสธนางอย่างสิ้นเชิง
สายฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จื่อซีหยุดโบกสะบัดกระบี่อ่อน นางหอบหายใจแล้วเก็บมันกลับมาที่เอว เหล่าเพื่อนร่วมหน่วยต่างก็ถูกคำสั่งเรียกรวมพลเรียกให้ไปจัดการกับราชาปาเสอกันหมดแล้ว นางเพิ่งจะถูกลงโทษมาเมื่อไม่กี่วัน แม่ทัพผู้คุมดูแลนางมากพอควร จึงไม่ได้ให้นางไปด้วย เดิมนางคิดว่าจะฝึกฝนกระบี่เพื่อบริหารเอ็นและกระดูก แต่ว่าคราวนี้ไอขุ่นมัวมากเกินไป ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ
นางหมุนตัวกำลังจะกลับไปที่กระโจมนักรบ ด้านหลังพลันมีลมเย็นพัดมา จากนั้นก็มีของอะไรบางอย่างตกลงไปในป่าอย่างแรง ไอขุ่นมัวพัดเข้ามาปะทะหน้า
นางตกใจมาก กำกระบี่อ่อนพร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าว ตอนนี้สภาพของตัวนางในตอนนี้เกรงว่าคงไม่มีทางไปฆ่าเผ่ามารได้ จากระดับความเข้มข้นของไอขุ่นมัวแล้ว เกรงว่าจะต้องร้ายกาจมากเป็นแน่
นางหลบอยู่หลังต้นไหวต้นใหญ่ แล้วชะโงกหน้าออกไปมองอย่างระวัง แต่กลับพบว่าพุ่มไม้เล็กที่อยู่ไม่ไกลกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีมังกรตัวใหญ่สีดำทั้งร่างตัวหนึ่งลุกขึ้นมา รอบตัวมันมีไอขุ่นมัวไหลเวียนอยู่ มันกำลังบิดตัวไปมาอย่างประหลาดอยู่ในพุ่มไม้ เกล็ดมังกรสีดำเปล่งประกายและร่วงลงมาทีละแผ่นๆ เลือดสดๆ ไหลรินลงมาราวกับฝน ย้อมจนแผ่นดินกลายเป็นสีแดง และค่อยๆ จับตัวแข็งทีละน้อย
นี่คือ…เทพมังกรจู๋อิน! จื่อซีสูดลมหายใจเฮือก ถูกไอขุ่นมัวเข้าแล้ว?! ใครกัน ดูจากรูปร่างเล็กบางแล้ว หรือว่าจะเป็นองค์ชายน้อย
นางกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือ กลับเป็นมังกรตัวใหญ่สีดำนั่นบิดตัวอย่างรุนแรงหลายครั้ง แล้วค่อยๆ กลายร่างเป็นเงาร่างเพรียวบางสีแดงสด เป็นเสวียนอี่
จื่อซีตกใจมากเสียจนชะงักเท้าไป นางมองเสวียนอี่กุมแผลที่ท้อง ตรงนั้นเลือดสดๆ ยังคงไหลทะลักออกมา เหมือนจะบาดเจ็บหนักมาก ไม่เพียงเท่านั้น ที่หลังของนางเองก็มีบาดแผลลึกเหมือนกันอยู่ ราวกับถูกอะไรกัดเข้า อะไรกันที่สามารถกัดตระกูลจู๋อินที่มีเกล็ดขึ้นเต็มตัวแล้วจนบาดเจ็บได้
เสียงหอบหายใจหนักดังก้องไปมาในป่า เงาร่างงดงามสีแดงสดกำลังบิดไปมาอย่างเจ็บปวดทรมาน เกล็ดจำนวนมากร่วงลงมาบนพื้น ไอขุ่นมัวบนร่างของนางมากขึ้นเรื่อยๆ จื่อซีมองเห็นนางเงยหน้าขึ้นมากะทันหันอย่างตกใจ ใบหน้างดงามน่ารักนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน มันถูกไอขุ่นมัวไหลวนอยู่ ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
จื่อซีอดไม่ได้แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงาร่างสีแดงสดที่ดิ้นไปมาอย่างทรมานนั้นขยับแล้ว นางพลันมาอยู่เบื้องหน้านางเร็วราวกับสายฟ้า มีดน้ำแข็งสีดำมากมายกำลังจะแทงทะลุร่างนาง แต่ว่ากลับหยุดลงที่หน้านางห่างไปไม่กี่ชุ่น
เกล็ดมังกรหยุดร่วงช้าๆ เสวียนอี่สีหน้าขาวซีด นางกุมแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหลตรงท้อง แววตาวาววับจ้องมาที่นาง มีดน้ำแข็งไม่ได้แทงเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ถอยออกไป
จื่อซีรู้สึกว่าหัวใจแทบจะดีดขึ้นมาถึงลำคอแล้ว ผ่านไปนานถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “…เจ้าบาดเจ็บแล้ว”
เสวียนอี่หอบหายใจ นางยังคงไม่กล่าวอะไร แววตาคมกริบมองไปที่ใบหน้าของนาง ผ่านไปนานมาก แววตาก็กลายเป็นนุ่มนวลขึ้น
“ศิษย์พี่หญิง” เสียงของนางค่อนข้างแหบพร่า “อย่าพูดออกไป”
นางพูดถึงเรื่องที่เกล็ดมังกรหลุดหรือ หรือว่าเรื่องที่บาดเจ็บ หรือว่า…ไอขุ่นมัวที่บ้าคลั่งที่ค่อยๆ กลับเข้าไปในร่างนางแล้วนั่น
เสวียนอี่เอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า “ศิษย์พี่หญิง รับปากข้า”
นางถูกไอขุ่นมัวเข้าแล้วหรือ หรือว่า…
สายตาของจื่อซีมองไปยังเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากนิ้วของนาง พลันนึกไปถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วได้ องค์หญิงน้อยคนนี้ตอนที่เกล็ดยังไม่เต็มตัวนั้นก็บาดเจ็บมาก่อน ตอนนั้นตนเองกับกู่ถิงยังไปหาตำรับยาโบราณมาแล้วต้นยาให้นางกินบำรุงทุกวันเลย
นางอดที่จะกล่าวเสียงต่ำไม่ได้ “แผลของเจ้าหนักมาก…แล้วจะทำอย่างไรดี”
เสวียนอี่ไม่ได้ตอบนาง ถูกปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของตระกูลหวาซวีทำร้าย ต่อให้มีพลังสมานแผล แต่อยากจะหายดีก็ยังช้ามาก นางหอบหายใจแล้วสลายมีดน้ำแข็ง หมุนตัวพลางคิดจะจากไป จื่อซีคว้าข้อมือของนางโดยไม่รู้ตัว “อย่าไปทางนั้น!”
ทางนั้นคือกระโจมนักรบ จะถูกพบเข้า
ใครจะรู้ว่าเงาร่างเพรียวบางสีแดงพลันสั่นสะท้านแล้วทรุดลงไป นางกระแทกไปกับพื้นโคลนอย่างแรง จื่อซีรีบไปช้อนตัวอุ้มร่างของนางขึ้น ที่ท้องและหลังของนางบาดเจ็บลึกมาก ตระกูลจู๋อินวิชาใดๆ ยังไร้ผลอีก ไม่สามารถใช้เวทคืนสภาพได้ นางรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไร มองไปรอบๆ อย่างลุกลี้ลุกลน ในใจพลันรู้สึกผวาขึ้นมา ราวกับกลัวว่าจะถูกเหล่านักรบเห็นเข้าอย่างนั้น
นิ่งไปครู่หนึ่ง จื่อซีก็หยิบเอาเกล็ดมังกรทั้งหมดบนพื้นขึ้นมา แล้วใช้น้ำฝนชะล้างรอยเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นจนสะอาด เมื่อแน่ใจว่าไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แล้ว ถึงได้ขี่ลมขึ้นไปอย่างระวัง นางจงใจไปทางที่ใบไม้หนาทึบ ไปๆ หยุดๆ แล้วอ้อมอยู่นานก่อนจะร่อนลงตรงที่ราบระหว่างเขาแห่งหนึ่ง นางสะบัดแขนเสื้อ ต้นไม้บนพื้นก็ถูกเวทจับบิดไปสองข้างแล้วสร้างเป็นบ้านต้นไม้หลังไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งในพริบตา
นางคงบ้าไปแล้ว สถานการณ์ของเสวียนอี่ประหลาดมากขนาดนี้ เดิมควรจะแจ้งแม่ทัพผู้คุม หากถูกไอขุ่นมัวเข้า จะได้คิดหาวิธีช่วยเหลือแก้ไข
แต่ว่าในสำนึกส่วนลึกของนางกลับรู้สึกว่านี่น่าจะไม่ใช่ถูกไอขุ่นมัวเข้า เกล็ดมังกรของเสวียนอี่ถูกไอขุ่นมัวในร่างฉีกออกจากภายใน หากว่ารายงานแม่ทัพผู้คุม เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีกับเสวียนอี่แน่