บทที่ 155 เสื่อมจากเทพ

บุหลันเคียงรัก

จื่อซีวางเสวียนอี่ลงบนเตียงไม้ นางเดินไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

 

 

หากว่านางเสื่อมจากเทพกลายเป็นเผ่ามารไป เจ้าจะทำอย่างไร ในใจมีเสียงแผ่วเบาถามตนเองอยู่ ความริษยาความชั่วร้ายของเจ้าล่ะ ความยุติธรรมความเข้มงวดของเจ้าล่ะ

 

 

หน้าผากของจื่อซีมีหยาดเหงื่อมากมายผุดขึ้นมา นางไม่รู้ว่าเสวียนอี่เกิดอะไรขึ้นถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ แผลของนางดูแล้วแปดเก้าในสิบส่วนเพราะถูกปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของตระกูลหวาซวีทำร้าย ศิษย์น้องฝูชางพบว่านางเป็นเผ่ามารแล้ว จึงจัดการกำจัดนางเพื่อแผ่นดินหรือ เขากลับโหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้ แต่ว่านางกลับทำไม่ได้

 

 

ไม่รู้ทำไม เรื่องที่เสวียนอี่อาจกลายเป็นเผ่ามาร ถึงได้ทำให้นางรู้สึกถึงความดีใจอันชั่วร้ายได้ในความหวาดกลัวไร้หนทางนี้ ราวกับว่านางมีโอกาสที่จะกลับมาชนะอย่างนั้น

 

 

ชั่วร้ายเกินไปแล้ว เสียงในใจนั่นของนางตำหนินาง แต่ว่านางกลับสะกดมันไม่ได้ ความสงสารที่พันรัดในใจกลับกลายเป็นความเย่อหยิ่งขึ้นมา

 

 

จื่อซีถอดชุดนักรบเปื้อนโคลนของเสวียนอี่ออก พร้อมเรียกฝนมาชำระล้างคราบเลือดและเหงื่อบนใบหน้าและลำตัวของนางจนสะอาด องค์หญิงที่เอาแต่ใจและถูกตามใจจนเคยตัวก็ขยับตัวน้อยๆ นางลืมตาขึ้นมองนางเงียบๆ

 

 

“…ข้าสร้างม่านพลังไว้ น่าจะไม่มีใครพบ” จื่อซีเองก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี นางลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าอยู่พักที่นี่ก่อนเถอะ บาดแผลของเจ้า…”

 

 

เสวียนอี่มองนางเงียบๆอยู่นาน ใบหน้าที่ขาวซีดก็ค่อยๆมีรอยยิ้มเฉกเช่นปกติ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หญิง ทำไมท่านถึงได้ไม่ชอบแต่งตัวเอาเสียเลยเล่า”

 

 

จื่อซีใบหน้าแข็งค้าง ทุกวันนี้คำพูดนี้เมื่อได้ยินมันออกมาจากปากของนางแล้วกลับฟังดูบาดหูมาก นางตอบไปว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องอาศัยรูปลักษณ์ภายนอกมาล่อลวงเทพบุตรหรอก”

 

 

เสวียนอี่ยังคงยิ้ม แล้วหลับตาลงพลางกล่าวว่า “นั่นจะน่าเสียดายเกินไปแล้ว ท่านรูปโฉมงดงามออกอย่างนี้”

 

 

จื่อซีพลันไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา นางนั่งนิ่งอยู่นาน แล้วจึงลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “ข้ากลับกระโจมนักรบแล้ว เจ้าพักผ่อนเสีย กลางคืนข้าจะมาหาเจ้า เอาของกินมาให้”

 

 

นางกำลังจะออกไปจากม่านพลัง กลับได้ยินเสวียนอี่เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่หญิง ปล่อยให้ข้าอยู่ท่านจะมีปัญหายุ่งยากเอา”

 

 

ในใจจื่อซีว้าวุ่น นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว นอนเถอะ”

 

 

นางรีบร้อนออกไปจากเขา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครพบเห็น ถึงได้ขี่ลมกลับไปยังกระโจมที่พักนักรบ นางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางให้เสวียนอี่อยู่นั้นถูกหรือไม่ แต่ว่านางก็เหมือนจะไม่สามารถไปรายงานแม่ทัพผู้คุมได้ และยังไม่สามารถทนมองเสวียนอี่บาดเจ็บหนักเฉยๆจากไปเพียงลำพังได้ด้วย

 

 

เหล่าเพื่อนร่วมหน่วยที่ถูกเรียกไปปราบราชาปาเสอต่างทยอยกันกลับมาที่กระโจม และกำลังถกเถียงกันอย่างคึกคักถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการล้อมปราบ ตอนที่จื่อซีเดินผ่านสวนดอกไม้ ก็มีนักรบคนหนึ่งกำลังยิ้มแล้วกล่าวว่า “วิถีกระบี่หวาซวีจะบอกว่าร้ายกาจก็ร้ายกาจ แต่ว่ากลับไม่แม่นยำ ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรกลับพุ่งไปทางองค์หญิงตระกูลจู๋อิน ภายหลังเหล่านักรบของหน่วยติงเหม่าฟันร่างของราชาปาเสอจนเป็นชิ้นๆก็ยังหาองค์หญิงไม่เจอ ข้าว่านะ องค์หญิงนิสัยประหลาดนั้นคงโมโหจนหนีไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกลับไปเอามหาเทพจงซานมาช่วยแล้วก็ได้!”

 

 

นักรบอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “มหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยไม่ใช่ส่งข่าวมาบอกว่าบาดเจ็บหนักหรอกหรือ ตระกูลจู๋อินทั้งครอบครัว เวลาที่ควรไปล้อมปราบมารกลับไม่ไปล้อมปราบมาร ทั้งวันไม่รู้ทำอะไรกัน ข้ามีสหายอยู่ที่หน่วยติงเหม่า เขากล่าวว่าก่อนหน้านี้เหมือนทะเลหลีเฮิ่นจะเกิดสถานการณ์อะไรใหม่ขึ้นมา พลังมืดจู๋อินที่ครอบคลุมทะเลหลีเฮิ่นอยู่น้อยลงไปมาก ตระกูลจู๋อินทั้งครอบครัวบาดเจ็บหนักในตอนนี้ คงไม่ใช่ว่าแอบไปดูดเอาพลังมืดจู๋อินมาหรอกนะ”

 

 

นักรบอีกคนรีบส่ายหน้าทันที “ในนั้นทั้งหมดต่างก็เป็นไอขุ่นมัว ดูดเข้าไปจะต้องดับสูญ คำพูดอย่างนี้อย่าได้พูดเหลวไหล ตระกูลจู๋อินใครจะกล้าไปล่วงเกินได้กัน”

 

 

จื่อซีฟังแล้วอึ้งไปนาน พลันคิดไปถึงเสวียนอี่ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอขุ่นมัว หรือว่านางกลายเป็นอย่างนี้ก็เพราะไปดูดเอาพลังมืดจู๋อินในทะเลหลีเฮิ่นกว่าครึ่งมากัน อยู่ดีๆ นางจะไปที่ทะเลหลีเฮิ่นทำไม หรือว่านางเป็นเทพจนเบื่อแล้ว จึงอยากจะลองเป็นราชามารบ้าง

 

 

พูดไปแล้ว ความคิดที่เสวียนอี่เป็นราชามาร นางกลับสามารถรับได้อย่างประหลาด องค์หญิงน้อยคนนี้มักทำอะไรประหลาดๆอยู่แล้ว กู่ถิงยังเคยตั้งฉายานางไว้ว่า “นางมารน้อย” ด้วย คิดว่าคงไม่ได้เป็นจริงหรอกนะ

 

 

จื่อซีอยู่เฉยไม่ได้อีก นางรีบร้อนไปเอาอาหาร เพราะจำได้ว่าเสวียนอี่ชอบกินของว่างน้ำชา นางจึงเลือกเอาขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งวางไว้ในกล่องอาหารด้วยหลายชิ้น จากนั้นก็ลับๆล่อๆแอบออกไปจากกระโจมนักรบพร้อมพุ่งไปทางเขา

 

 

ใครจะรู้ว่าเงาร่างสีแดงสดนั่นกลับไม่อยู่ในบ้านต้นไม้แล้ว ม่านพลังถูกทำลายลง บ้านต้นไม้ถูกชั้นน้ำแข็งหนาสีดำกลืนกินจนหมด ไอขุ่นมัวหนาแน่นมาก ต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ถูกนำมาสร้างเป็นบ้านต้นไม้ต่างก็ถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำ

 

 

ตระกูบจู๋อินเมื่อได้รับบาดเจ็บ พลังเทพก็จะไหลออกมาด้านนอก จากชั้นน้ำแข็งหนาที่เห็นนี้ อาการบาดเจ็บของเสวียนอี่หนักมากจริงๆ นางไปที่ไหนเพียงลำพังกันแน่

 

 

ลมที่เต็มไปด้วยไอขุ่นมัวปะทะกับใบหน้า ที่ไกลๆ มีกระแสพลังที่เยือกเย็นจางๆ กำลังเคลื่อนไหว จื่อซีรีบร้อนขี่ลมไล่ตามไป หากว่าให้นักรบคนอื่นๆพบเข้า นางจะต้องแย่จริงๆแล้ว!

 

 

 

 

แต่ก่อนยามเห็นปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของฝูชางกัดบรรดาเผ่ามารพวกนั้น เสวียนอี่ยังไม่รู้สึกว่ามันร้ายกาจขนาดไหน จนกระทั่งมังกรทองตัวนั้นกัดลงบนร่างนาง นางถึงได้พบว่ากระบวนท่านี้มันช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ

 

 

บังเอิญกับที่ว่ามันกัดลงไปบนส่วนที่เกล็ดมังกรร่วงลงไป ปราณกระบี่ตระกูลหวาซวีทำให้ไอขุ่นมัวในร่างของนางกับพลังเทพคืนชีวิตไม่สามารถทำให้บาดแผลสมานกันได้ กระทั่งตอนนี้เลือดก็ยังไม่หยุดไหล

 

 

ร่างกายหนักอึ้ง จึงขี่ลมบินไปช้ามาก เสวียนอี่กลายเป็นร่างมังกร แล้วบินเข้าไปในพุ่มใบไม้ที่หนาทึบ เลือดสดๆและเกล็ดมังกรร่วงลงไปมากมาย ความเจ็บปวดทรมานนางเสียจนหน้ามืด ในที่สุดนางก็ขยับไม่ไหวอีก นางร่วงลงไปอย่างแรง และกลิ้งไปบนเนินเขาหลายตลบ พร้อมกับกระแทกต้นไม้เล็กๆแถบหนึ่งจนล้มไป

 

 

ในป่าพลันมีเสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้น แสงรัศมีเทพสว่างวาบ มีเทพอยู่ที่นี่

 

 

เสวียนอี่กัดฟันแน่น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ แสงรัศมีเทพเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เหมือนว่าจะเป็นเทพธิดา นางร้องอย่างตกใจจนเสียงเปลี่ยน “นี่มัน…”

 

 

เสียงของนางพลันขาดตอน ร่างก็อ่อนยวบลงไปบนพื้น

 

 

หิมะสีดำโปรยปรายลงมามากมาย เสวียนอี่พบว่าตัวเองกระทั่งแรงจะเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นคนยังทำไม่ได้เลย นางหอบหายใจแล้วมองไปยังแสงรัศมีเทพอีกกลุ่ม ผู้มาคือเทพบุตรในชุดคลุมสีเขียวตัวหลวม เปิดแผ่นอกไปแถบหนึ่ง บนนั้นยังมีรอยเล็บหลายรอยอยู่ด้วย อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากแกว่งไกว เขาก็คือเซ่าอี๋ ตัวต้นเหตุที่นางอยากจะสับเขาเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น

 

 

เขายิ้มออกมาอย่างจนใจก่อน “ทำไมเจ้าถึงได้ร่วงลงมาต่อหน้าข้าได้กัน”

 

 

เมื่อได้เห็นมังกรสีดำขนาดใหญ่ที่มีไอขุ่นมัวรอบกาย เกล็ดมังกรร่วงลงมามากกว่าครึ่ง ท่าทีของเขากลับค่อยๆสงบลงช้าๆ และกลายเป็นความเคร่งเครียดที่หนักอึ้ง

 

 

“เจ้านี่นะ” เซ่าอี๋เอ่ยปากช้าๆ “กลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”

 

 

มังกรสีดำขนาดใหญ่อ้าปากคำรามไร้เสียงออกมา เลือดสดๆจำนวนมากไหลออกมาจากปากของนาง บาดแผลที่หลังและท้อง ทำให้พื้นจับตัวเป็นน้ำแข็งหนาชั้นหนึ่ง

 

 

เซ่าอี๋มองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปช้าๆ หางมังกรรีบสะบัดใส่เขาทันที แต่กลับโดนเพียงเงาเท่านั้น มือของเขากดลงไปบนหน้าผากของนาง ฝ่ามือส่งแสงสว่างสีทองสลับดำออกมาชั้นหนึ่ง พริบตาเดียวก็ไหลไปทั้งร่างมังกร แผลทั้งสองเลือดที่ไหลไม่หยุดของนางก็สมานกันขึ้นมาเล็กน้อยในพริบตา และไม่มีเลือดไหลอีก

 

 

มังกรยักษ์สีดำขยับตัวน้อยๆ มันกลายเป็นเงาร่างสีแดงสดหมอบอยู่ที่พื้น ริมฝีปากขาวราวกับหิมะ

 

 

เซ่าอี๋ย่อตัวลงแล้วใช้มือลูบที่รอยเลือดข้างริมฝีปากนาง “นี่มันบาดแผลจากกระบี่แปลงเป็นมังกร ศิษย์น้องฝูชางเป็นคนทำหรือ เขาช่างใจร้ายเสียจริง”

 

 

เสวียนอี่หอบหายใจอยู่นาน จ้องเขาเขม็งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “…ขนหัวใจในร่างของท่านพ่อกับท่านพี่ข้า ท่านเก็บกลับไปหรือยัง”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามนี้ เขาเพียงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “สถานการณ์อย่างนี้ของเจ้า เรียกว่าเสื่อมเทพ เหมือนกับข้าที่อยู่ในทะเลหลีเฮิ่น ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางทำเรื่องดีอย่างการช่วยโลกแน่ เทพที่เสื่อมลงไปเป็นเผ่ามาร เป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดของแดนเทพและจะต้องฆ่าให้สิ้นไป อย่างไร ผลกระทบจากราชาก้งกงในตอนนั้นก็ลึกล้ำมาก หากว่าให้เหล่านักรบทั้งหลายพบเข้า เจ้าคงจะไม่มีทางรอดแล้ว”

 

 

ราชาก้งกงก็คือเผ่าเทพที่เสื่อมลงไปเป็นเผ่ามาร ทุกวันนี้พูดถึงเขา เหล่าเทพก็ยังคงหวาดกลัวกันมาก และเพราะว่าการที่เทพเสื่อมลงไปเป็นเผ่ามารแลดูไม่น่าฟังเอามากๆ นับตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันจึงไม่ยอมรับกันว่าราชาก้งกงเป็นเทพ

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเข้มน่าครั่นคร้าม “ท่านรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ก็ยังส่งข้าออกไปเพื่อแลกกับชื่อเสียงของตระกูลชิงหยางไม่ใช่หรือ”

 

 

เซ่าอี๋กำลังจะกล่าวอะไร พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับไป เสียงลมพัดมา ในมือของจื่อซีถือกล่องข้าวอยู่ นางร่อนลงห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลด้วยใบหน้าซีดเผือด