เขาเดินไปถึงบนภูเขา ครึ่งชั่วยามพอดี ลูกน้องขุดทารกที่เพิ่งขึ้นเขาเหล่านั้นออกมาจากพื้นหิมะ กำลังตรวจลมหายใจทีละคน

 

 

สิ้นใจไปหมดแล้ว

 

 

เขาผิดหวังยิ่งนัก ถอนใจอีกครั้ง “ด้อยลงทุกปี!”

 

 

 

 

บนภูเขาหิมะมีสี่ฤดูกาล ยอดเขาเป็นฤดูหนาว ส่วนเชิงเขาเป็นฤดูใบไม้ผลิ

 

 

น้ำในทะเลสาบที่นี่ใสแจ๋วยิ่งนัก ทุ่งหญ้าดั่งพรมแพร ดอกไม้ไม่ได้เบ่งบานในสวนดอกไม้ บานสะพรั่งไปทุกหนทุกแห่ง ดอกไม้ในฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิแย้มบานเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน ทำให้ในขณะที่ชื่นชมกลิ่นอายแห่งเซียนบนยอดเขา ผู้คนก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าบางทีที่นี่ถึงเป็นดินแดนเซียนที่แท้จริง

 

 

ในพุ่มไม้ยังมีจิ้งจอกขาวอีกมาก มากเสียจนทำให้คนรู้สึกว่าจิ้งจอกขาวทั้งต้าฮวงถูกเลี้ยงอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ จิ้งจอกเหล่านั้นถูกล้อมรั้วเลี้ยงไว้นานเข้า แต่ละตัวมีท่าทางอ่อนโยนน่ารัก หางใหญ่ขาวราวหิมะที่เชิดขึ้นบดบังนัยน์ตาสีดำขลับ กระโจนข้ามในพุ่มไม้อย่างอ่อนช้อย ดั่งเมฆนุ่มแต่ละกลุ่มปกคลุมบนพื้นหญ้า ท่ามกลางกระโปรงบานขาวราวหิมะ

 

 

กระโปรงบานถูกลมพัดผ่าน พลิ้วไหวประหนึ่งดอกผู่กงอิง เทียบกับความตึงเครียดกดดันที่ยอดเขา บรรยากาศที่นี่อิสระสบายใจ

 

 

ฝั่งตรงข้ามกระโปรงบานมีรองเท้าหุ้มข้อหลายคู่อยู่ใกล้กัน ท่าทางกำลังรายงานเรื่องราว

 

 

รายงานเรื่องราวได้ช่วงหนึ่งแล้ว ทุกคนต่างกำลังรอการตัดสิน

 

 

บนกระโปรงบานมีกลีบดอกไม้สีม่วงเข้มร่วงอยู่ มือขาวราวหิมะคู่นั้นยื่นเข้ามาบรรจงหยิบกลีบดอกไม้ออกไป คล้ายการจัดแต่งเสื้อผ้าสำคัญยิ่งกว่าการรอคอยคำตอบของคนเหล่านี้นัก

 

 

จิ้งจอกตัวหนึ่งถูไถข้างมือนางอย่างออดอ้อน นางลูบหัวของมัน

 

 

“ลูกศิษย์ในนามหายตัวไป?”

 

 

“ขอรับ” บางคนตอบอย่างนอบน้อม “ส่งลูกศิษย์นอกสำนักอีกหนึ่งคน เดินทางไปไต้เม่าแล้ว”

 

 

“ลูกศิษย์ในนามหายตัวไปที่ใด”

 

 

“เขาชีเฟิง” เสียงของผู้ตอบระมัดระวังยิ่งนัก “รวมทั้งลูกน้องทุกคนที่พาไปด้วย…”

 

 

มือที่ลูบไล้จิ้งจอกชะงัก ทว่าจากนั้นก็ฟื้นคืนความเยือกเย็น จิ้งจอกตัวนั้นกลับคล้ายตกใจกะทันหัน ส่งเสียงขู่ฟ่อกระโดดออกไปข้างนอก ดอกไม้สีม่วงเข้มกลุ่มหนึ่งเหนือศีรษะโปรยปรายกลีบดอกไม้เกรียวกราว

 

 

นางนิ่งเงียบมองจิ้งจอกหนีไป ก่อนจะดีดนิ้วอย่างเยือกเย็นครั้งหนึ่ง

 

 

ร่างของจิ้งจอกชะงักกลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงสู่ใต้พุ่มไม้สีม่วงเข้ม ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีหลุมเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ยามใด จิ้งจอกตกลงไปในหลุมนั้น

 

 

ลมพัดดินกลบหลุมนั้น ปีหน้าดอกไม้นั้นต้องผลิบานงดงามยิ่งกว่าเดิมแน่

 

 

“ตายก็ตายไปสิ” นางเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็นยิ่งกว่า “มู่หรง เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร”

 

 

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโค้งกายลงเล็กน้อย “ขอรับ อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะไปรับโทษที่ห้องลงอาญา”

 

 

นางร้อง “อืม” ออกมาอย่างเฉื่อยเนือย พลันเอ่ยสืบต่อไปว่า “หอยาจัดการเรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

“คงสภาพไว้แล้ว ไม่มีคนสิ้นชีพชั่วคราว ทว่า…ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะยังสิ้นชีพ”

 

 

“ไม่ใช่เอ่ยว่า หาวิธีแก้ไขจากกระดูกในโลงศพได้แล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

“แต่ก็พบพิษร้ายนอกจากนั้น”

 

 

“พวกเราไม่จำเป็นต้องช่วยชีวิตของคนตระกูลนั้น ทว่าวรยุทธ์ของพวกเขากับพวกเราเคยเกิดจากแหล่งเดียวกัน การแว้งกัดที่พวกเขาประสบ อนาคตก็อาจเป็นสิ่งที่พวกเราประสบ บอกหอยาว่าตั้งใจหน่อย ต้องการกำลังคนก็ส่งไปเพิ่มโดยพลัน”

 

 

“ขอรับ”

 

 

“ไม่ได้แย่ลงก็เป็นข่าวดี ส่งข่าวไปบอกเขา ให้เขาเร่งมือ” เอ่ยถึง ‘เขา’ คำนี้ น้ำเสียงของนางก็อึมครึมเล็กน้อย

 

 

“ขอรับ” ผู้ตอบระวังยิ่งขึ้น

 

 

“หมู่นี้เขายังอยู่ที่ตี้เกอ?”

 

 

“ขอรับ ได้ยินว่าเขาจำกัดอำนาจราชินี น่าจะวางแผนไว้บ้างแล้ว…”

 

 

“อย่าเอ่ยว่าน่าจะ” นางขัดจังหวะ

 

 

ทุกคนเงียบเสียงลง นานครู่ใหญ่ถึงมีคนกระซิบว่า “เขาทำแน่ พวกเราปฏิบัติหน้าที่คุ้มครอง เขาควรสำนึกในบุญคุณ”

 

 

“หนานกง” นางเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “วาจาเสแสร้งเช่นนี้ ก็ไม่ต้องเอ่ยหรอก”

 

 

นิ่งเงียบอีกครู่หนึ่ง

 

 

“หมู่นี้เชิงเขามีอะไรเปลี่ยนไป” นานครู่ใหญ่ นางก็คล้ายถามออกมาอย่างตามใจยิ่งนัก

 

 

นางถามอย่างตามใจ ทว่าผู้อื่นกลับไม่กล้าตอบอย่างตามใจ พลันมีคนเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่…”

 

 

“หากต้องเอ่ยต่อ ก็ไม่ต้องเอ่ยว่าไม่มีอะไร”

 

 

“ขอรับ” คนนั้นก้มหน้าลง รู้สึกว่าวันนี้นางคล้ายอารมณ์ไม่ดีอยู่บ้าง “ติดขัดเล็กน้อย ตามหาเด็กที่มีร่างกายล้ำเลิศได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ทารกที่ถูกทิ้งก็หาได้น้อยนัก ผู้ดูแลที่ลงเขาจัดการเรื่องนี้ ก็ทำได้ไม่ราบรื่นเท่ายามแรก”

 

 

“เป็นเพราะอะไร”

 

 

“เผ่าเฉินเถี่ย เผ่าเฝ่ยชุ่ย แคว้นจีและแคว้นเหมิงที่อยู่ใกล้พวกเรา หมู่นี้ต่างมี ‘สำนักเผื่อแผ่สุขสันต์’ แห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมา มุ่งรับเลี้ยงทารกที่ถูกทิ้งกับเด็กหนุ่มที่ไม่มีบ้านให้กลับ เล่ากันว่าเป็นการกระทำของพ่อค้าเศรษฐีที่มาจากแคว้นซัง เจตนาเดิมเพียงเป็นการสร้างกุศล ทว่ากระทบต่อแผนการของนิกายสวรรค์ กำลังคิดจะขอให้ฮูหยินชี้แนะแทนประมุขว่า ต้องดำเนินการลงโทษสำนักนี้หรือไม่”

 

 

“เหล่าผู้ดูแลมีท่าทางผิดปกติหรือไม่ คนผู้นี้กระทำการตั้งใจต่อต้านพวกเราที่ใดหรือไม่”

 

 

“ผู้ดูแลภักดีไร้ที่ติ ส่วนพ่อค้าเศรษฐีผู้นั้นต่อต้านหรือไม่…ไม่ว่าเขาต่อต้านหรือไม่ เขากระทบต่อแผนต่อเนื่องยิ่งใหญ่ของสำนักนิกายสวรรค์ เท่ากับโทษตาย”

 

 

ทุกคนทยอยพยักหน้า เห็นพ้องต้องกัน

 

 

“สำนักเผื่อแผ่สุขสันต์ที่โผล่มากะทันหัน” สตรีเอ่ยวาจาไร้ซึ่งสีหน้าสับสนและลังเล ใคร่ครวญก็คล้ายกำลังตัดสินใจ “สั่งให้คนไปเฝ้าสังเกตการณ์ หากพบความผิดปกติ ขุดรากถอนโคนโดยพลัน”

 

 

“ขอรับ”

 

 

นางลุกขึ้น คนที่เหลือต่างพากันถอยหลังหนึ่งก้าว ต่างรู้ว่านี่ก็คือจบการสนทนาแล้ว

 

 

กระโปรงบานขาวราวหิมะพาดผ่านพุ่มไม้สีม่วง กลีบดอกจื่ออวิ๋นอิงร่วงทั่วกระโปรง กลีบดอกไม้พัดพลิ้วแผ่วเบาตามฝีก้าวของนาง กลายเป็นหมอกม่วงมัวสลัวหายไประหว่างโปรยปรายไม่กี่ครั้ง

 

 

ในสวนธรรมชาติของนางมีดอกไม้ทุกสีสัน ทว่านางหยุดอยู่เพียงใต้ดอกไม้สีม่วงเสมอ

 

 

เห็นนางกำลังจะเลี้ยวโค้ง ชายผู้ที่ถูกเรียกว่ามู่หรงก่อนหน้านี้ก็พลันเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “เรียนถามฮูหยิน หมู่นี้ประมุขสบายดีหรือไม่? ช่วงเวลาแห่งการสำเร็จวรยุทธ์เทพใกล้เข้ามาแล้ว พวกข้าจะได้เตรียมของขวัญ แสดงความยินดีต่อประมุขตั้งแต่เนิ่นๆ”

 

 

วาจาสองประโยคแปลกประหลาดอยู่บ้าง ฟังแล้วไม่เกี่ยวข้องกันเลย

 

 

รอบด้านยังคงไร้เสียง บรรยากาศกลับพลันหนาวเหน็บขึ้นมา จื่ออวิ๋นอิงทั่วสวนร่วงเกรียวกราวเร็วขึ้น

 

 

นางไม่หยุดเดิน อีกทั้งไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ

 

 

“ประมุขสบายดี พวกเจ้าเตรียมไว้ก็พอแล้ว”

 

 

เงาร่างของนางค่อยๆ หายไปในส่วนลึกของพุ่มไม้ ทุกคนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

 

 

บางคนเงียบกริบ บางคนยิ้มเยาะ บางคนแววตาเปล่งประกาย

 

 

จิ้งจอกทั่วสวนกระโจนทั่วทิศด้วยความตกใจ บางครั้งก็มีจิ้งจอกขาวล้มลงตายไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

แสงท้องฟ้าสว่างไสวงดงามภายใต้การสะท้อนของแสงหิมะ ที่นี่ดอกไม้บานสะพรั่งดั่งผ้าแพร สงบสุขดั่งดินแดนเซียน

 

 

 

 

นางเดินเข้าไปในบ้านไม้น้อยๆ ลักษณะเรียบง่ายหลังหนึ่ง เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน แล้วเข้าไปข้างในต่อไป

 

 

เดินลงไปข้างล่าง แล้วลงไปข้างล่างต่อไป

 

 

ฝีก้าวเชื่องช้า ฝีก้าวแผ่วเบา ทว่าไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อสุดปลายเส้นทาง นางยืนนิ่ง

 

 

ที่นี่ยังคงตกแต่งเฉกเช่นครอบครัวธรรมดา มีเตียง มีโต๊ะ มีหน้าต่าง มีแม้แต่ห้องครัวกับห้องน้ำ

 

 

ดูท่าคล้ายเป็นห้องนอนสามีภรรยาที่แสนธรรมดา เพียงแต่แสงอาทิตย์ไม่เคยเล็ดลอดเข้ามาในหน้าต่างได้ ไข่มุกราตรีที่ซ่อนอยู่ในซอกไม้กระดานเหนือศีรษะ ส่องสว่างแทนแสงไฟ

 

 

ม่านลายเด็กๆ เล่นดอกไม้ที่อยู่บนเตียงดูท่าทางไร้รสนิยมไม่น้อย ม่านเตียงที่สามีภรรยาชาวบ้านใช้สำหรับขอลูกเช่นนี้แขวนอยู่ที่นี่ ท่วมท้นด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้ากัน

 

 

ในม่านเตียง มัวสลัวคล้ายมีเงาคน

 

 

นางถอดผ้าคลุมออกอย่างสบายอารมณ์ เฉกเช่นเหล่าภรรยาที่กลับมาบ้าน “ข้ากลับมาแล้ว”

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

นางนั่งลงที่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาหนึ่งถ้วยให้ตนเอง ถือไว้ในมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหิวน้ำหรือไม่ อยากดื่มหรือไม่?”

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

นางมัวแต่ดื่มเองไปหลายอึก ถือถ้วยเปล่าไว้แล้วเหม่อลอยอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยว่า “วันนี้มู่หรงถามถึงเจ้าด้วย เจ้าอยากพบเขาหรือไม่”

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

นางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด ไม่พบก็ไม่พบ อ้อ จริงสิ” นางคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “เกือบลืมบอกเจ้าไป วันนี้ข้าลงโทษมู่หรง”

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

“อ้อ เจ้าถามว่าเรื่องอะไรน่ะหรือ?” นางเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย “แน่นอนว่าทำหน้าที่ได้ไม่ดี แม้เขาจะเป็นน้องชายเจ้า แต่กฎสำนักก็ต้องเป็นกฎสำนัก น้องชายแท้ๆ ก็ต้องทำตามกฎใช่หรือไม่?”

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

 

นางพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้าตำหนิได้ถูกต้อง ใช่ ข้าอ้างเรื่องงานบังหน้า ข้าน่ะตั้งใจ ข้าน่ะตั้งใจลงโทษมู่หรง ว่าอย่างไรเล่า?”

 

 

นางวางถ้วยชาลง ก่อนลุกขึ้นยืน รีบก้าวไปข้างเตียง แง้มม่านออก ท่วงท่าดุเดือดเล็กน้อย แต่ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ใช่ ข้าไม่ชอบมู่หรง เขาเป็นญาติของพวกเรา ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ใกล้ชิดยิ่งนัก ทว่าข้าลืมไม่ลงเลยสักครั้ง…” นางหยุดชั่วครู่ “…ด้วยเพราะเขา พวกเราถึงเสียลูกของพวกเราไป”

 

 

บนเตียงยังคงเงียบกริบ

 

 

นางเลิกม่านเตียงขึ้น คลานเข้าไปด้านใน สองมือประคองใบหน้าของคนข้างในไว้ เอ่ยอย่างโศกเศร้าว่า “มู่หรง ลูกเพียงคนเดียวของพวกเราต้องหายไปเพราะเขา แล้วเจ้าจะให้ข้าชอบเขาได้อย่างไร?”

 

 

เรือนร่างของนางพลันชะงัก คล้ายได้ยินวาจาแทงใจสักอย่าง นานครู่ใหญ่ เสียงนั้นก็ดังขึ้นอย่างดุเดือดจนได้

 

 

“เจ้าเอ่ยว่าข้าไม่ใส่ใจลูกด้วยซ้ำ? เจ้าเอ่ยว่าข้าเพียงหาข้ออ้าง? หือ? เจ้าก็ไม่เชื่อภรรยาของเจ้า ปกป้องน้องชายของเจ้าขนาดนี้เชียวหรือ”

 

 

ในม่านเตียงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

 

 

นางพลันพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ล้มทับคนในม่าน เสียงหนักแน่นระลอกหนึ่งดังขึ้น คล้ายมีคนกำลังทุบตีไม้พื้นเตียง ม่านกระโจมสั่นไหวระลอกหนึ่ง รอยแยกผ้าม่านที่เผยให้เห็นข้างในเล็กน้อยค่อยๆ ประสานกัน เห็นผมยาวขาวราวหิมะอย่างรำไร

 

 

ไม้พื้นเตียงยังคงสั่นสะเทือนแผ่วเบา ระคนเสียงหอบหายใจที่คลุมเครือรำไร ระหว่างพักหอบหายใจ เสียงของนางก็ลอยออกมาขาดๆ หายๆ

 

 

“…ข้าจะส่งจดหมายไปให้…ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหาเขาไม่เจอ…เขายังมีชีวิตอยู่…เขายังมีชีวิตอยู่แน่…สำนักสูงสุดแห่งนี้ รากฐานในวันหน้าแห่งนี้ เป็นของเขาทั้งสิ้น…แล้วเขาจะไม่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!”