สายลมน้ำแข็งแห่งภูเขาหิมะ พัดมาไม่ถึงไต้เม่าที่มืดมิด

 

 

คฤหาสน์แห่งหนึ่งบริเวณเมืองซั่งหยวน ตั้งตระหง่านท่ามกลางหมอกสีเทาอ่อนที่มีเฉพาะในไต้เม่า

 

 

ชาวบ้านบริเวณนี้ต่างรู้ว่า ที่นี่เป็นทรัพย์สินของผู้สูงศักดิ์สักคนแห่งเผ่าเฝ่ยชุ่ย ผู้สูงศักดิ์คนนี้เข้ามาน้อยครั้งนัก ปกติแล้วคฤหาสน์จะว่างเปล่าเสมอ

 

 

ยามนี้คฤหาสน์ก็มืดมัวคล้ายไม่มีคน มีเพียงคนที่มีสายตาดียิ่งนักถึงจะสังเกตเห็นว่าส่วนลึกของคฤหาสน์นั้นเปล่งประกายแสงไฟเล็กๆ น้อยๆ

 

 

แสงไฟเล็กน้อยนั้นชูอยู่ในมือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขากำลังอาศัยแสงตะเกียงอ่านสมุดที่ค่อนข้างเก่าแก่เล่มหนึ่งโดยละเอียด อ่านอยู่ครู่ใหญ่ก็อดที่จะส่ายหน้าอุทานไม่ได้ว่า “สมกับเป็นสำนักนอกแดนมนุษย์โดยแท้! สิ่งที่หยิบออกมาเรื่อยเปื่อยก็น่าตื่นตะลึงเช่นนี้!”

 

 

ฝั่งตรงข้ามเขามีบุรุษที่แต่งกายเรียบง่ายนั่งอยู่ ท่าทางสะอาดสะอ้าน แววตากลับลึกซึ้ง เขาส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ สิ่งที่พวกเขาให้มา ข้าเตือนว่าท่านอย่าได้เรียนเรื่อยเปื่อย”

 

 

“เหตุใดเล่า” องครักษ์ใหญ่ชวีเซ่าหงแห่งสิบสามองครักษ์ วางเพลงกระบี่ในมือลงอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

 

 

ที่นี่ภายนอกเรียกว่าเป็นทรัพย์สินของตระกูลสูงศักดิ์เผ่าเฝ่ยชุ่ย ที่แท้กลับเป็นหนึ่งในทรัพย์สินลับที่มีอยู่มากมายของสิบสามองครักษ์ หลายปีมานี้สิบสามองครักษ์อยู่ลำดับสุดท้ายในทุกส่วนของไต้เม่า แต่น้อยคนนักที่รู้ว่าทรัพย์สินของพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในไต้เม่า เพียงแต่ทรัพย์สินหลายอย่างซื้อไว้ในนามของผู้อื่นเท่านั้น

 

 

นี่คือความต้องการขององครักษ์รองเจี่ยนจือจั๋ว เขาเชิดชูคนคมในฝัก ครั้งเดียวปลิดชีพ

 

 

“วิธีพื้นฐานของสำนักเช่นนี้แตกต่างจากสำนักอื่น” เจี่ยนจือจั๋วเอ่ยว่า “โดยทั่วไปโหดร้ายยิ่งนัก โดยเฉพาะนิกายสวรรค์จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสเช่นนี้ ย่อมต้องมีวิธีฝึกฝนข่มใจไร้ความรู้สึกโดยเฉพาะ คนทั่วไปที่พื้นฐานไม่พอ ต้องพัวพันทางโลกเช่นท่านกับข้า อย่าได้ริอ่านฝึกพลังภายในของพวกเขาดีกว่า ระวังธาตุไฟเข้าแทรก”

 

 

“เจ้าเอ่ยได้ถูกต้อง” ชวีเซ่าหงพลันหยิบสมุดออกไปอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “เห็นความเย็นชาของลูกศิษย์นิกายสวรรค์ผู้นั้นก็ไม่คล้ายผู้ที่มีคุณธรรมน้ำมิตรอะไร เพียงแค่ช่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้ของขวัญขอบคุณเช่นนี้ ก็ไม่ใช่จะมีเจตนาดีเสมอไป”

 

 

เขาคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าว่าสำนักนอกแดนมนุษย์เช่นนิกายสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยข้องเกี่ยวเรื่องทางโลก เหตุใดถึงพลันส่งคนลงเขา รบกวนกลุ่มอำนาจยุทธภพทั่วไปกลุ่มหนึ่ง?”

 

 

เจี่ยนจือจั๋วยิ้มนิดเล็กน้อย ท่ามกลางแสงเทียนวูบไหว รอยยิ้มของเขาคาดเดาไม่ได้

 

 

“หรือว่าเจ้า…” ชวีเซ่าหงมองรอยยิ้มของเขา คล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมา “เจ้ากำลังยืมดาบฆ่าคน!”

 

 

“พี่ใหญ่ ระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง” เจี่ยนจือจั๋วยิ้มอ่อนโยน

 

 

ชวีเซ่าหงหุบปาก จ้องเขาด้วยสายตาแวววาว เจี่ยนจือจั๋วยิ้มอย่างจนปัญญา กระซิบว่า “นิกายสวรรค์ต้องการตามหาเหยียลี่ว์ฉี บอกว่าเหยียลี่ว์ฉีล่วงเกินศักดิ์ศรีของพวกเขา จำเป็นต้องลงโทษ ทว่าคนของนิกายสวรรค์น่ะ ไม่เคยเจอเหยียลี่ว์ฉี”

 

 

“ฉะนั้นเจ้าจึงชี้เป้าไปที่ท่านมู่แห่งหอเงา? ให้คนของนิกายสวรรค์เข้าใจผิดว่าท่านมู่คือเหยียลี่ว์ฉี? แต่หากคนของนิกายสวรรค์พบว่าไม่ใช่จะทำอย่างไร อีกทั้งเหตุใดเจ้าให้ความสำคัญกับหอเงาขนาดนี้ จะกำจัดหอเงาออกไปก่อนให้ได้? เจ้าย้ายเป้าหมายไปที่สำนักหลิงเซียวไม่ดีกว่าหรือ? สำนักหลิงเซียวกดขี่พวกเรามานานนักแล้ว”

 

 

“นิกายสวรรค์ห่วงหน้าตา ไม่ยอมบอกให้ชัดเจนว่าตามหาเหยียลี่ว์ฉี เพียงชี้ให้เห็นลักษณะคร่าวๆ ส่วนข้าก็บอกเพียงว่า ท่านมู่แห่งหอเงา คล้ายคลึงคนที่นิกายสวรรค์ต้องการตามหา ข้าไม่ได้ยืนยันด้วยซ้ำ นิกายสวรรค์ไปตามหาเอง หากไม่ใช่ แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?” เจี่ยนจือจั๋วยิ้มทั้งอ่อนโยนทั้งเจ้าเล่ห์ “ส่วนเหตุใดชี้ไปที่หอเงา ไม่ใช่สามสำนักสี่พรรคที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ด้วยเพราะข้ารู้สึกว่า เทียบกับสามสำนักสี่พรรคแล้ว หอเงาที่ซ่อนความสามารถของตนแห่งนี้ ถึงเป็นคู่ต่อสู้ที่พวกเราต้องระวังที่สุดในวันหน้า”

 

 

“จริงหรือ” ชวีเซ่าหงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

 

 

“พวกเราอดกลั้นมาหลายปี ยอมอยู่ลำดับสุดท้ายในกลุ่มอำนาจยุทธภพที่ไต้เม่า ก็จะยอมให้กลุ่มอำนาจใหม่กลุ่มหนึ่งโผล่มา ช่วงชิงผลลัพธ์แห่งชัยชนะสุดท้ายกับพวกเราในช่วงเวลาสำคัญไม่ได้เด็ดขาด”เจี่ยนจือจั๋วเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย “มีนิกายสวรรค์หรือไม่ ข้าก็จะลงมืออยู่แล้ว เพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”

 

 

“ไม่ใช่สิ!” ชวีเซ่าหงนึกอะไรขึ้นมาได้ อุทานขึ้นว่า “ท่านมู่ถูกเหลยเซิงอวี่ทรยศ ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสขณะแช่น้ำร้อนที่หออวี้โหลว ไม่ทราบชะตากรรมแน่ชัดไม่ใช่หรือ ผู้ที่สำนักหลัวซาคุ้มกัน เจ้าบอกว่าคืออิงไป๋ที่เป็นลูกน้องราชินีไม่ใช่หรือ เจ้าชี้ให้คนของนิกายสวรรค์ไปที่ขบวนพวกอิงไป๋นั้นทำอะไร”

 

 

“ผู้ใดบอกว่าคนของสำนักหลัวซากลุ่มนั้นกำลังคุ้มกันอิงไป๋?” เจี่ยนจือจั๋วยิ้มเยาะ

 

 

“หมายความว่าอย่างไร”

 

 

“อย่าลืมสิ ข่าวที่ได้ยินมาบอกว่าราชินีติดต่อกับพวกเรา ถูกคนล้อมโจมตี จึงพลัดพรากกับอิงไป๋ ตัวพวกเราเองรู้ดีว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ไหนแต่ไรสิบสามองครักษ์ไม่เคยติดต่อกับราชินี มีคนกำลังกระจายข่าวเท็จ ชักนำปัญหามาสู่พวกเรา ฉะนั้นการติดต่อเป็นเท็จ การล้อมโจมตีเป็นเท็จ อิงไป๋ก็เป็นตัวปลอม ผู้ที่ต้องการการคุ้มกันในเวลานี้คือผู้ใด มีเพียงท่านมู่ที่บาดเจ็บสาหัสถูกลูกน้องทรยศไล่ฆ่า!”

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…”

 

 

“ฉะนั้น…” เจี่ยนจือจั๋วยิ้มบางเบาและแฝงด้วยความเยือกเย็น นัยน์ตาฉายแววชั่วร้ายเจือจาง “มีคนชักนำความวุ่นวายมาหาพวกเรา พวกเราย่อมชักนำกลับไปได้เช่นกัน องค์ราชินี ท่านมู่ รอรับกระบวนท่าของนิกายสวรรค์จิ่วฉงเถิด!”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวเมาอีกแล้ว

 

 

อาจเพราะการดื่มเหล้าเคล้าสถานการณ์บ้านเมือง ท่ามกลางสนามรบแห่งการสังหารและมือสังหารรอบด้านเช่นนี้ มีความตื่นเต้นที่แตกต่าง อาจเพราะสงครามถั่วคั่วโป๊ยกั๊กกับเนื้อวัวครั้งนี้ มีความน่าสนใจที่แตกต่าง ส่งผลต่อความสนใจของนาง อีกทั้งอาจเพราะท่านมู่คนนี้ มีความสามารถที่ทำให้คนละทิ้งความระวังโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อีกทั้งอาจเพราะสถานการณ์ของไต้เม่ามากเกินกว่าจะทำให้นางสนใจ ไม่ว่าอย่างไร นางก็เมาอย่างไม่มีสาเหตุอีกแล้ว

 

 

นางมีนิสัยเสีย เมื่อเมาแล้วก็ชอบเคลื่อนไหว ชอบกระโดดโลดเต้นกู่ก้องร้องตะโกน ระบายอารมณ์จนเหนื่อยแล้วค่อยหลับเป็นตาย

 

 

แต่นางยังรู้ว่าพุ่งไปลงมือในสนามรบไม่ได้ ข้อแรก ในเมื่อมีคนรับมีดแทนทำไมต้องดูถูกพวกเขา ข้อสอง ตอนกลางคืนนางกลับมาหน้าตาเหมือนเดิม พอโผล่หน้าไปก็ความแตกแล้ว

 

 

พวกหวังจิ้นยังคงต่อสู้อย่างหนัก ยังคงดีใจว่าลูกสาวนายพรานคนนั้นฉลาดไม่เบา รู้จักซ่อนตัวอยู่ในรถม้าเป็นตายไม่ยอมออกมา ส่วนมือสังหารที่เข้าใกล้รถม้าก็โชคร้ายเหล่านั้น หวังจิ้นย่อมนึกว่า “อิงไป๋” เป็นคนลงมือทั้งสิ้น ในใจยิ่งนับถือพลังต่อสู้ของแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาราชินีขึ้นหลายส่วน

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเพดานรถ เพดานรถกำลังหมุน มองพื้นรถ พื้นรถก็กำลังหมุน รอบด้านหมุนเคว้งจนเวียนหัว คล้ายว่าพื้นที่คับแคบแห่งนี้จะบีบให้คนหายใจไม่ออก

 

 

นางตัดสินใจที่จะออกไปสูดอากาศไกลหน่อย เมื่อหายตัวครั้งหนึ่งก็ออกจากรถม้ามาอยู่ใต้เนินเขาซึ่งห่างไกลสนามรบแล้ว

 

 

ข้างหลังมีคนเพิ่มมากะทันหัน หมอบอยู่บนหลังนาง นางเหลียวหลังอย่างงงงวย “เอ๊ะ เจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยได้อย่างไร?”

 

 

บนหลังของนาง ท่านมู่ยิ้มทั้งเขินอายทั้งซ่อนร้าย “เจ้าแบกข้าออกมาเองนะ เจ้าบอกว่าจะพาข้าออกมาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน”

 

 

“หือ?” จิ่งเหิงปัวกุมขมับ คิดอยู่สักพัก ก็เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง “อ้อ…”

 

 

“พวกเราจะชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน” เขาเตือนสตินาง “เจ้าบังข้าไว้เช่นนี้ ข้าก็มองไม่เห็น”

 

 

“อ้อ” นางลุกขึ้น แบกเขาไว้

 

 

เมื่อแบกเขาไว้แล้ว ในใจมีความรู้สึกประหลาดไหลผ่านอย่างกะทันหัน…นางรู้สึกว่าฉากนี้ ดูเหมือนจะ…อาจจะ…คล้ายจะ…เคยเกิดขึ้น?

 

 

เมาเหล้าแบกคน…

 

 

เหมือนตรงไหน แล้วไม่เหมือนตรงไหน

 

 

สมองขมวดเป็นปมขณะเมาเหล้า นางแกะไม่ได้ ได้แต่โซซัดโซเซ แบกเขาหันซ้ายหันขวามองดาว

 

 

“เจ้าดูสิ ดาวสว่างจัง!”

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้ไม่นับว่าอากาศสดใส นอกจากหมอกควันชั่วนิรันดร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ที่เหนือศีรษะมีเพียงดวงดาวมัวสลัวไม่กี่ดวง ส่องประกายเล็กน้อยในซอกเมฆอย่างไร้ตัวตนยิ่งนัก

 

 

“นั่นสิ สว่างยิ่งนัก”

 

 

ที่ซึ่งนางอยู่ด้วย ไร้แสงดาวก็สว่างไสวได้

 

 

“เจ้าดูสิ พระจันทร์สวยจัง!”

 

 

หมู่เมฆเคลื่อนย้ายบางครั้ง เผยให้เห็นแสงจันทร์สายหนึ่ง เลือนรางมัวสลัว ซ้ำยังแปดเปื้อนสีแดงเรื่อลายพร้อย ดั่งผ้าเปื้อนโลหิตสกปรก

 

 

“นั่นสิ งามนัก”

 

 

เขาจ้องมองติ่งหูของนาง ขาวผ่องอิ่มเอิบ ดั่งมีสีหยกกับสีแสงจันทร์

 

 

“เจ้าดูสิ สามคนที่เหาะอยู่!” นางกระโดดโลดเต้นชี้ท้องฟ้า โบกมือตะโกนว่า “ตาทิพย์น้อย! ยัยผู้ชาย! น้องเค้ก! อย่าเพิ่งไป! พี่อยู่ที่นี่! อยู่ที่นี่!”

 

 

เขาขมวดคิ้วเงยหน้ามองฟ้า แน่นอนว่าบนฟ้าไม่มีใคร มีเพียงดาวตกที่ผ่านไป แสงสว่างสายหนึ่งผ่านขอบฟ้าในชั่วขณะนั้น

 

 

เขาหลับตาพนมมือในชั่วขณะนี้ คิดอยากขอพรขึ้นมา

 

 

ในตำนานต้าฮวง หากขอพรกับดาวตกจะได้รับความเมตตาจากสวรรค์