เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ทว่ายามนี้ เขากลับอยากสวดภาวนาอ้อนวอนสวรรค์ดูสักครั้ง

 

 

มือของเขาเพิ่งประกบกันก็ถูกเจ้าผู้ที่เมาสุรานั้นดึงออกอย่างแรง เสียงตะโกนของนางแทงทะลุแก้วหูของเขาได้เลย

 

 

“นอนทำอะไร นอนทำอะไร รีบดูสิ!ตาทิพย์น้อย! ยัยผู้ชาย! น้องเค้ก!”

 

 

“ใช่แล้ว ตาทิพย์น้อย ยายผู้ชาย น้องเค้ก ข้าเห็นแล้ว สว่างนัก” เขายอมตามนางพลางขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่านามพิลึกพิลั่นเหล่านี้หมายถึงผู้ใด ฟังดูแล้วคล้ายฉายา…ฉายาของสตรี

 

 

พี่สาวน้องสาวของนางหรือ?

 

 

“ตาทิพย์น้อย!” จิ่งเหิงปัวพยายามกระโดดโลดเต้นโบกมือให้ดาวตกที่กะพริบวูบผ่านไป “เธอรู้ไหม พี่จะเป็นใหญ่ในต้าฮวงแล้วนะ! พี่เป็นราชินีแล้ว! พี่จุติจากสวรรค์ ผู้คนต้องกราบไหว้ เดินไปไหนดอกไม้ก็บานสะพรั่ง เธอรีบมาเรียนรู้จากพี่…”

 

 

เขาดึงมือของนางลงมา แต่นางกลับชูขึ้นไปอีกครั้งอย่างดื้อรั้น ดาวตกดวงที่สองกะพริบผ่าน สว่างจ้า ดั่งกระบี่ที่คำรามสะบั้นผ่านภูเขาฝั่งนั้นโดยพลัน

 

 

“ยัยผู้ชาย!” จิ่งเหิงปัวตะโกนเสียงดังกว่าเดิม “ก๊ากๆๆ พี่เป็นราชินีแล้ว! พี่เป็นใหญ่ในต้าฮวงแล้ว! ตอนนี้พี่เก่งที่สุดในหมู่พวกเธอแล้ว? เธอยอมไหม ยอมไหม รีบเข้ามาเรียกฉันว่าองค์ราชินี ฉันก็จะให้รางวัลเธอเป็นหนุ่มหล่อหมื่นโหล! เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกแล้วนะฮ่าๆๆ…”

 

 

“หนุ่มหล่อหมื่นโหลเท่ากับเท่าใด” เขาถามอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างหลังนาง

 

 

“ก็หนึ่งหมื่นคูณสิบสองไง” นางหัวเราะลั่นอย่างลำพองใจ “แสนสองไงฮ่าๆ ฮ่าๆ ยัยผู้ชายเธอจะขอบใจฉันไหม?”

 

 

เขาคำนวณจำนวนบุรุษในต้าฮวงอย่างเงียบเชียบ…

 

 

“เค้กน้อย!” นางตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดาวตกดวงหนึ่งข้ามผ่านขอบฟ้าอย่างหลบๆ ซ่อนๆ

 

 

“ฮ่าๆๆ รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเธอ!” นางชี้ดาวตกที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ นั่นพลางหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “นิสัย! เจ้าเล่ห์อย่างนี้ตลอดเลย! นี่ เธอไปอยู่ซอกไหนแล้ว? จะบอกให้นะ พี่เป็นราชินีแล้ว! พี่มีพ่อครัวหลวงแล้ว! ต่อไปไม่ต้องขอให้เธอทำอาหารหรือแย่งอาหารของเธออีกแล้วล่ะ ต่อไปเธอก็จะไม่มีอะไรให้อวดเก่งแล้ว เธอไปไหนแล้วล่ะ? มาต้าฮวงสิ ฉันยอมให้เธอคำนับพ่อครัวหลวงของฉันเป็นอาจารย์ วันหน้าจะให้โอกาสเธอได้ทำเค้กสักครั้งฮ่าๆๆ…”

 

 

สายลมพัดผ่านทุ่งกว้าง ส่งเสียงหวีดหวิวดั่งร้องไห้ พัดเสียงหัวเราะของนางให้กระจายออกไป เสียงหัวเราะของนางโปรยปรายทั่วทุ่งกว้างกลางหมอกควัน กึกก้องไม่เกรงกลัว ไม่มีที่สิ้นสุด ฟังแล้วทำให้ผู้คนนึกว่าคนนี้ต้องใช้ชั่วชีวิตนี้อย่างสบายใจไร้กังวล ไม่เคยผ่านพายุฝนกระหน่ำใดๆ ถูกเอาอกเอาใจเติบโตดั่งดอกไม้ในเรือนกระจก

 

 

เขาไม่เงยหน้าอีกต่อไป คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ใช้มือกุมลำคอของนางไว้อย่างแผ่วเบา ไม่รู้ตั้งแต่ยามใด ระหว่างที่กระโดดโลดเต้นนั้น คอเสื้อของนางก็หลุดลุ่ยออกมาอีกแล้ว

 

 

ดาวตกกลุ่มใหญ่นั้นร่วงเกรียวกราวดั่งเส้นบางสีขาวนับไม่ถ้วน แบ่งแยกท้องฟ้าสีครามทะมึนในยามนี้ หายไปในอีกฝั่งของสุดขอบฟ้า

 

 

“พวกเธออย่าไป อย่าไปนะ…” นางยังหัวเราะ โบกมือวิ่งตามแสงดาวนั้น คล้ายหวังเอื้อมมือคว้าทุกสิ่งที่สูญเสียไปนั้น

 

 

ไม่รู้ยามใด เสียงหัวเราะกลับกลายเป็นเสียงสะอื้นฮือๆ

 

 

“ตาทิพย์น้อย อย่าไปนะ เธออยู่ช่วยฉันดูหน่อย…ดูคนไร้คุณธรรมพวกนี้หน่อย พวกเขาใจดำแค่ไหน…ดูเขาสิ ดูว่าจิตใจของเขาทำด้วยอะไร เพชรหรือ? หินอ่อน? หรือว่าหินแกรนิต…”

 

 

มือของเขาที่ยื่นไปลูบผมนางพลันชะงัก หยุดค้างกลางอากาศสักพัก ก่อนค่อยๆ ร่วงหล่นทอดบนหน้าอก

 

 

ตรงหน้าอกนั้น ใต้เสื้อผ้ามีผิวเทียม ใต้ผิวเทียมมี…

 

 

รอยแผลรอยหนึ่งอยู่บนร่างกาย อยู่ในใจ อยู่ในช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานเนิ่นนาน จากนั้นถูกฉีกกระชากอย่างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจในการพบกันครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

เจ็บปวดจนถึงที่สุดแล้วก็กลายเป็นด้านชา ไม่อาจเทียบกับคนนั้นตรงหน้าที่ร้องไห้อย่างสบายใจได้

 

 

“ยัยผู้ชาย เธออย่าไป…” นางกระโดดเหนื่อยแล้ว อวดเก่งเหนื่อยแล้ว ร่างทรุดลงบนพื้นดิน จิกหญ้าแห้งที่เย็นเฉียบแน่น “พี่จะไม่อวดเก่งแล้ว พี่จะไม่หัวเราะเธอแล้วด้วย พี่จะบอกเธอว่าแท้จริงแล้วพี่ไม่ได้สุขสบายขนาดนั้น…เธอจะหัวเราะเยาะพี่ก็ไม่เป็นไร เธอมาคืนสภาพให้ฉัน ช่วยฉันคืนสภาพกลับไปอย่างในตอนแรก ไม่สิ คืนสภาพกลับไปสถาบันวิจัย พวกเรากลับไป ไม่เป็นราชินี ไม่เป็นจักรพรรดินี ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องพบเจออะไรทั้งนั้น…หรือไม่เธอก็มาคืนสภาพฉัน ฉันจะเป็นจิ่งเหิงปัวคนเดิมคนนั้น…”

 

 

นางยอมไม่ต้องพบเจอ

 

 

นางยอมกลับไปตอนแรกเริ่ม

 

 

ตัวเองในตอนแรกเริ่ม สดใสไร้เดียงสา ไม่รู้จักความรักกับความเกลียดชังบนโลกใบนี้ ไม่ต้องแบกรับโลหิตและคมมีดตลอดเส้นทางสายนี้

 

 

ร่างของเขาสั่นระริก เท้าลื่นถอยหลัง คุกเข่าลงบนพื้นดินเย็นเฉียบเช่นกัน

 

 

รอยเลือดสายหนึ่งเปื้อนตรงมุมปากอย่างเงียบเชียบ เขายกมือเช็ดออกไปอย่างแผ่วเบา

 

 

ความเจ็บปวดที่สุดในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการที่คนที่เจ้ารักจนสุดหัวใจผู้นั้นยอมลืมเจ้าไป

 

 

ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการที่นางร้องไห้อยู่ข้างหน้าเจ้า แต่เจ้าได้แต่นิ่งเงียบอยู่ข้างหลัง มอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้โดยตรงไม่ได้

 

 

 

 

แสงดาวดวงสุดท้ายใกล้จะลาลับไป

 

 

นางยื่นมือออกไขว่คว้า แต่กลับคว้าสายลมเงียบเหงาในค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงนี้ไว้ไม่ได้

 

 

“เค้กน้อย! กลับมานะ!” นางคลานตามไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะยื่นมือไขว่คว้าในอากาศโดยเปล่าประโยชน์ แสงดาวกลุ่มนั้นลอดผ่านซอกนิ้วไป

 

 

“กลับมาช่วยฉันดูให้ชัด ต้าฮวงแห่งนี้มีสิ่งที่พวกเราดูไม่ชัดเท่าไรกันแน่ ดูให้เห็นทางกลับไป พวกเรากลับไปด้วยกันดีไหม กลับไปด้วยกันดีไหม?”

 

 

ร่างนางค่อยๆ หมอบลง ซบลงบนพื้นดินที่เย็นเฉียบนั่น เสียงในลำคอแหบพร่า ไม่รู้ว่าเป็นเสียงร้องเพลงหรือเสียงร้องไห้ รากหญ้าบนดินโคลนดำคล้ำขาดกระจุยทีละนิ้ว เผยให้เห็นรากสีขาวซีดช่วงหนึ่ง

 

 

การอดกลั้นตลอดทางนี้ ความในใจเต็มอก โลหิตร้อนผ่าวที่กลั้นไว้เนิ่นนาน ข่มไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ใช้รอยยิ้มปกปิดเอาไว้ กระทั่งวันนี้ถูกเหล้าเย็นๆ เผาผลาญ พรั่งพรูออกจากในใจ อาศัยค่ำคืนนี้ที่ดวงดาวเต็มฟ้า ตะโกนก้องทั่วทั้งจักรวาล

 

 

มือคู่หนึ่งยื่นเข้ามาจูงนางอย่างแผ่วเบา จูงไม่ขึ้นก็ไม่เป็นไร มือควานไปควานมา รองไว้ใต้ใบหน้า ไม่ให้หินบนพื้นบาดหน้านาง

 

 

ชั่วพริบตานั้น น้ำตาร้อนผ่าวที่ไหลรินก็เปียกชุ่มทั้งฝ่ามือของเขา

 

 

ชั่วพริบตาที่ของเหลวร้อนผ่าวเหล่านั้นไหลผ่านฝ่ามือ เขาก็สั่นสะท้านทั่วร่างดั่งโดนน้ำร้อนลวก

 

 

ท้องฟ้าทะมึนกว้างใหญ่ กลุ่มดาวลอยทั่วท้องฟ้า ภายใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ท่ามกลางทุ่งกว้างรกร้าง เขาใช้ร่างกายบังให้นางที่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างแผ่วเบา

 

 

บังลมหนาวทั่วสารทิศเช่นนี้ได้ครู่เดียว ก็ยังดี

 

 

หันหลังกอดกันได้ครู่เดียวนี้ ก็ยังดี

 

 

เขากับนางครอบครองโลกหล้า เดินอยู่บนยอดเขา ทว่าเดินไปสู่ความสมบูรณ์แห่งชีวิตไม่ได้ ลิ้มรสความสามัญที่สุขสันต์ของโลกนี้ไม่ได้

 

 

นางซบฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้น ก็คล้ายหัวใจตามหาที่พึ่ง ความรู้สึกที่อัดอั้นในใจมานานเปลี่ยนเป็นของเหลวที่พรั่งพรูจากนัยน์ตา ไหลผ่านฝ่ามือ ไหลผ่านแขนเสื้อ ไหลผ่านผมดำขลับของเขาที่ห้อยลงแนบชิดหน้านาง

 

 

เส้นผมดำขลับที่เปียกชื้นน้ำตาเหล่านั้นค่อยๆ ซีดจาง เผยให้เห็นสีขาวเงินดั่งแสงจันทร์ปอยหนึ่ง

 

 

ไม่นึกว่านางจะหันหน้ามาคล้ายเห็นเข้าแล้ว เช่นนั้นจึงอดที่จะตกใจไม่ได้ หยุดร้องไห้ สะอึกสะอื้นเสียงดังหลายครั้ง ยื่นมือคว้าผมของเขาขึ้นมาดู

 

 

เขาตกตะลึงโดยพลัน เรือนร่างตรงแน่ว เส้นผมลื่นไปจากซอกนิ้วของนาง

 

 

นางนั่งตัวตรง สองมือค้ำพื้น จ้องพื้นอย่างเฉื่อยชาและอ่อนเพลีย สมองว่างเปล่าไปหมด

 

 

เขาก็นั่งตัวตรง หันข้างเพียงครั้ง มีดบางตรงซอกนิ้วเปล่งแสงเยือกเย็น ปลายผมสีขาวเงินปอยนั้นร่วงหล่นโดยพร้อมเพรียง

 

 

ลมพัดมา กระจายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน

 

 

ขณะนี้นางกำลังหันหลัง เขาเก็บมีดบางตรงซอกนิ้วไปแล้ว ดวงตาดำขลับคู่หนึ่งสบสายตานางอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

สายตาของนางทอดลงบนผมดำเสมอกันของเขา งงงวยเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจ ซ้ำยังคล้ายเข้าใจว่าเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา

 

 

พริบตาต่อมา นางพลันโซเซเล็กน้อย ล้มลงบนตักเขา

 

 

เขาใช้สองมือรับเอาไว้ นางหลับตาลงแล้วพึมพำว่า “ตาทิพย์น้อย ยัยผู้ชาย เค้กน้อย มาๆๆ พวกเรามาต่อสู้กันอีกสามร้อยรอบ…”

 

 

นางเกลือกกลิ้งบนตักเขา พึมพำอยู่หลายคำ พลิกตัวจะนอนหลับ

 

 

นางเมาแล้วก็ชอบเป็นแบบนี้ อาละวาดเสร็จแล้วก็หลับไป

 

 

เขายื่นแขนออกไปโอบนางไว้อย่างแผ่วเบา หันหน้านางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

 

 

ไม่นานนางก็ล่องลอยอยู่ในความฝัน ในฝันไม่มีราชินี ไม่มีราชครู ไม่มีต้าฮวง มีแต่ห้องพักเล็กๆ ห้องนั้นของสถาบันวิจัย มีเพื่อนซี้สามคนและเยาจีหนึ่งตัว มีอาหารอร่อยร้อนๆ คนหนึ่งกลุ่มสุมหัวแย่งกันกินไหตี่เลา

 

 

ชีวิตที่เคยแสนเบื่อหน่าย ขณะนี้กลับรู้สึกว่าอบอุ่นหาได้ยากขนาดนี้

 

 

นางหัวเราะจนน้ำตาไหล

 

 

“ดีจัง…”

 

 

ความฝันงดงามทำให้นางไม่อยากตื่นขึ้นมา แต่ในฝันมีคนหนึ่งอยู่ข้างหลังนางตลอดเวลา มีเสียงหนึ่งบอกนางอย่างสงบนิ่งว่า “เหิงปัว วันหน้า หากสุดท้ายแล้วพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน จำไว้ว่าไม่ต้องตามหาข้าอีกเลย”

 

 

ในฝัน นางได้ลืมตาขึ้นรำไร เห็นปลายท้องฟ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่รู้ว่าหมอกควันหนาทึบเหล่านั้นถูกพัดไปตั้งแต่เมื่อไร เผยให้เห็นยอดเขาขาวราวหิมะเสี้ยวหนึ่ง