ความฝันครั้งนี้ยังไม่จบลง

 

 

นางนอนได้ไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าความหนาวระลอกหนึ่งเข้าใกล้ พอลืมตาขึ้นก็รีบหลับตาลง

 

 

สว่างจ้า แสบตามาก

 

 

ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคืออะไร เปล่งประกายระยิบระยับ แสบตาจนวิงเวียนตาพร่า ซ้ำรอบด้านยังเป็นเช่นเดียวกัน นางยกมือขึ้นบังแสง แต่ต้องตกใจที่พบว่าแสงนั้นคล้ายมีพลังทะลุผ่าน ส่องจนทั่วฝ่ามือขาวโพลน

 

 

ความหนาวสายหนึ่งคืบคลานเข้ามาทีละน้อย นางตัวเย็นเฉียบหลังเมาเหล้า รู้สึกหนาวเกินต้านทาน สั่นสะท้านทั่วร่างทันที พึมพำออกมาว่า “หนาวจัง…”

 

 

ข้างหลังอุ่นขึ้นมาหน่อย นางหันข้างเห็นใบหน้าของท่านมู่ หน้ากากเงินของเขาสะท้อนแสงหิมะสีขาวเงิน มุมปากเม้มราบเรียบ เหมือนจะ…อารมณ์ไม่ดีเลย

 

 

“เป็นอะไรไป…” นางถามขึ้นอย่างสับสน รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

 

 

“ยามนี้เจ้าหายตัวได้หรือไม่” เขาถามนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวรับรู้สัมผัส พยักหน้าแล้วส่ายหน้า กล่าวว่า “ไปได้ไม่ไกล”

 

 

นางหรี่ตามองทุ่งกว้าง จุดขาวสว่างที่อยู่ไกลออกไปพวกนั้นล้อมเป็นวงกลม ถ้านี่คือคนทั้งหมด ก็หมายความว่าพวกนางถูกล้อมเอาไว้แล้ว

 

 

เดิมทีทุ่งกว้างนี้เชื่อมต่อทั่วถึงกัน วิ่งไปทางไหนก็ได้ แต่ตอนนี้วงล้อมที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกขนาดนี้ของอีกฝ่ายกลับทำให้วิ่งไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะระยะที่อีกฝ่ายล้อมไว้ไกลมาก ขณะนี้นางหายตัวไปไม่พ้นเขตวงล้อม ทำได้แค่พาตัวเองส่งไปในวงล้อมเร็วขึ้น

 

 

นางรู้สึกแปลกใจ การลอบสังหารควรแอบเข้าไปแล้วลงมือกะทันหันไม่ใช่หรือ? เหตุใดคนพวกนี้เหมือนกลัวคนไม่รู้ ล้อมไว้แต่ไกล ใช้แสงขาวส่องให้คนตื่นขึ้นมา นี่มันจะอวดดีเกินไปหน่อยกระมัง?

 

 

อีกทั้งคนพวกนี้ก็รู้ถึงความสามารถของนาง? ตีวงล้อมออกไปไกลขนาดนั้น ควบคุมการหายตัวของนางไว้ได้พอดี

 

 

“คล้ายจะเป็นมือสังหารนะ” นางกระซิบบอกเขา คิดว่าเรียกอีกฝ่ายเป็นมือสังหารก็เหมือนดูถูกมือสังหารอยู่หน่อยๆ มือสังหารจอมปลอมขนาดนี้ก็มีด้วยหรือ กระทั่งตอนนี้ยังไม่ลงมือ

 

 

ข้างหลังอบอุ่นมาก ร่างของเขาบดบังความหนาวไว้ นางอยากจะขยับออก แต่พอเขากดไหล่ของนางไว้ นางก็ไม่ขยับอีกเลย คนเมาแล้ว เกียจคร้านไปหมด

 

 

“อย่าดูถูกมือสังหาร” เขาตอบ

 

 

นางหัวเราะฮ่า รู้สึกว่าวีรบุรุษก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน

 

 

“คิดจะทำอย่างไร” นางกังวลนิดหน่อย “ข้าเมา เจ้าบาดเจ็บ ซ้ำยังเดินไม่ได้ ยามนี้พวกเราคล้ายตกอยู่ในสถานการณ์ช่วงที่แย่ที่สุดเลยนะ…”

 

 

“รอดูท่าทีก่อน” เขาเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “พวกเขามากด้วยกลอุบาย ลองจับตาดูก่อน” เขาเอ่ยวาจาพลางถอดผ้าคลุมของตนออกมาห่อนางไว้อย่างแน่นหนา

 

 

สมองเชื่องช้าของนางแล่นอยู่สักพัก ถึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ “เจ้ารู้จัก?”

 

 

“นึกถึงสำนักบางแห่งในข่าวลือ” เขาเอ่ยว่า “แน่ใจไม่ได้ เจ้าดูสิ”

 

 

นางหันหน้า ก่อนเบิกตากว้างในทันที

 

 

จุดขาวที่ไกลออกไปยังอยู่ แต่ใกล้เข้ามามีจุดขาวอีกจุดหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับเกิดมาจากพื้นหญ้า ขาวซีดเผือดไปทั่วผืน อยู่ข้างหน้าหันหน้าหานางพอดี ห่างไปประมาณสิบจั้ง พื้นหญ้าที่ยังเหลือสีเขียวผืนนั้น ต้นหญ้าขาดสะบั้นพร้อมกันทันที

 

 

พื้นดินที่กำจัดวัชพืชแล้วเผยให้เห็นดินโคลนดำคล้ำ จากนั้น แสงแวววาวค่อยๆ เปล่งประกาย คล้ายตรงนั้นกำลังเยือกแข็ง

 

 

น้ำแข็งกำลังเยือกแข็งอย่างต่อเนื่อง ลำต้นทรงกระบอกค่อยๆ ก่อตัวขึ้นไป จากนั้นก็แตกกิ่งออกมา บนกิ่งแตกก้านออกมา บนก้านแตกใบออกมา…

 

 

ต้นไม้น้ำแข็งที่ใหญ่เท่าคนโอบหนึ่งต้นค่อยๆ เยือกแข็งเป็นรูปเป็นร่าง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของนาง

 

 

ต้องบอกว่าฉากนี้สวยมาก น้ำแข็งผลึกแก้วเวียนวนสูงขึ้นใต้แสงจันทร์ ต้นไม้ทั้งต้นโปร่งใสแวววาว ถูกแสงท้องฟ้าส่องสะท้อน แสงฟ้ารุ่งโรจน์เรืองรอง ใบไม้ทุกใบโปร่งแสงงดงาม ดั่งแกะสลักด้วยผลึกแก้ว สะท้อนแสงจันทร์สีฟ้าอ่อน

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าฉากนี้สวยงามเหมือนภาพเคลื่อนไหวสามมิติที่ใช้เทคนิคพิเศษในสมัยปัจจุบัน ซ้ำยังสร้างโดยสหรัฐอเมริกาอะไรแบบนั้น

 

 

ถ้าคนธรรมดาพบเจอฉากแบบนี้ เกรงว่าก็ต้องคุกเข่ากราบไหว้ แต่จิ่งเหิงปัวกับท่านมู่แค่มองอยู่เงียบๆ

 

 

ต้นไม้เยือกแข็งโดยสมบูรณ์แล้ว จากนั้น ใต้รากไม้ก็เริ่มปล่อยไอขาวเจือจางออกมา

 

 

“พวกเราไปได้แล้ว” ท่านมู่กระซิบข้างหูนาง “ห่างออกไปสามลี้มีแม่น้ำน้อย ห่างออกไปสี่ลี้มีป่าไม้ ข้างหลังป่าไม้มีภูเขา บนภูเขามีร่องลึกกับอุโมงค์ เชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ เจ้าจะไปที่ใด”

 

 

“สวยจังเลย ขอดูอีกหน่อย ขอดูอีกหน่อย” ดวงตาสองข้างของนางเป็นประกาย

 

 

เขาคล้ายถอนหายใจ ทั้งเหนื่อยหน่าย ทั้งเอ็นดู

 

 

เงาของต้นไม้น้ำแข็งกะพริบวูบในนัยน์ตาของเขา นัยน์ตาเขาฉายแววทั้งแสนเย็นชาทั้งแสนรังเกียจ คล้ายเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็นที่สุดในโลกนี้ สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์

 

 

ไอขาวใต้ต้นไม้น้ำแข็งลอยขึ้น เยือกแข็งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหิมะน้ำแข็งอีกผืนหนึ่ง คล้ายสายผ้าต่วนสีขาวนับมิถ้วน ซ้ำยังคล้ายมีคนปูพรมสีขาวม้วนใหญ่ แผ่ขยายไปข้างหน้าโดยไร้เสียงจากตรงรากต้นไม้ กระทั่งถึงเท้าของจิ่งเหิงปัวและท่านมู่

 

 

ขณะนี้หากมีคนมองลงมาจากท้องฟ้า ก็จะเห็นต้นไม้น้ำแข็งอยู่กลางทุ่งกว้าง ข้างล่างมีถนนน้ำแข็งสีขาวแผ่ขยายดั่งสายผ้าต่วน ก็ล้อมเป็นวงกลมแยกเป็นรัศมีกระจายไปทั่วทิศทาง คล้ายพระอาทิตย์ที่ส่องแสงทั่วทิศทาง สลักบนพื้นดินกว้างไกล

 

 

“งดงาม!” จิ่งเหิงปัวชม

 

 

ต้มตุ๋นหลอกลวงได้ถึงขั้นนี้ นับว่าระดับเทพสวรรค์แล้ว

 

 

จัดฉากทั้งหมดเรียบร้อยจนได้ นางกำลังเตรียมที่จะหนี ทันใดนั้นบนลำต้นต้นไม้น้ำแข็งนั่น ประตูก็เปิดออกดังแอ๊ด

 

 

คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตู เยื้องกรายมาตามพรมหิมะที่ทอดยาวออกมา

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักเล็กน้อย ไม่นึกว่าจะออกโรงด้วยท่านี้

 

 

ขณะที่ต้นไม้น้ำแข็งเยือกแข็งนั้นนางมองอยู่ชัดๆ ทำไมถึงไม่เห็นว่ามีคนซ่อนอยู่ข้างใน หรือว่านางดื่มเหล้ามากไปจนตาลาย?

 

 

ต้นไม้น้ำแข็งพร่างพราว ทางหิมะดั่งพรม คนผู้นั้นเดินออกมาจากต้นไม้น้ำแข็ง เหยียบย่ำพรมหิมะอย่างมั่นคง ท่าทางสูงศักดิ์ อาภรณ์พลิ้วไหว เคร่งขรึมแต่มีกลิ่นอายแห่งเซียน

 

 

มองอยู่ไกลๆ เขาก็เปล่งแสงระยิบระยับประหนึ่งต้นไม้น้ำแข็ง มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา เข้าใกล้ถึงพบว่าคนนี้ตัวไม่สูงแต่รูปร่างสมส่วน เสื้อผ้าบนร่างทำจากผ้าชั้นดี เปล่งประกายเงิน ฉะนั้นซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้น้ำแข็งก็ไม่อาจสังเกตเห็นได้โดยพลัน

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวรู้ว่าขณะที่ต้นไม้น้ำแข็งกำลังเยือกแข็ง คนนี้ไม่อยู่ตรงนั้นแน่นอน ตอนที่ต้นไม้น้ำแข็งก่อตัวเสร็จ พรมน้ำแข็งทอดยาว ความสนใจของคนอื่นอยู่บนพื้น เขารีบวิ่งเข้ามาใกล้จากหลังต้นไม้ อาศัยลำต้นบังไว้ เจาะโพรงบนต้นไม้เดินออกมา อธิบายแล้วก็เป็นแค่กลลวงตาคน

 

 

แน่นอนว่าคนทั่วไปคิดไม่ออกไปชั่วขณะ คงคิดแค่ว่าต้นไม้น้ำแข็งเกิดขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ ส่วนคนนี้เดินออกมาจากในต้นไม้น้ำแข็งอย่างอธิบายไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ทั้งเทพทั้งปีศาจ

 

 

อุณหภูมิรอบด้านกำลังลดลง คนนั้นเดินออกมาอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงเย็นชาและน่าเกรงขาม “น่ามู่เอ่อร์ทูตสวรรค์แห่งนิกายสวรรค์…”

 

 

จิ่งเหิงปัวหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกว่ากระเพาะม้วนขดจนอึดอัด พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรงทันที กล่าวเสียงดังออกมาว่า “ไอ้เห็ดหูหนูดำ! รีบมาเจอข้าราชาแห่งความโสโครก…โอ้ก!”

 

 

ไม่ทันสิ้นเสียง นางก็ร้องโอ้กอ้าก ทั้งเหล้าและอาหารในกระเพาะพุ่งพรวดใส่หน้าคนนั้นดังซ่า

 

 

กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งทะยานขึ้นฟ้า คนผู้นั้นก็ไม่นึกเลยว่าโฉมงามขนาดนี้จะมาไม้นี้ ไม่ทันได้มัววางมาดอีกแล้ว รีบถอยหลังออกไป

 

 

เขาถอยไป จิ่งเหิงปัวจูงมือของท่านมู่ไว้แล้ว “วิ่ง!”

 

 

พริบตาต่อมานางจูงท่านมู่หายตัวข้ามต้นไม้น้ำแข็งแล้ว สะบัดมือกลางอากาศเพียงครั้ง หินก้อนหนึ่งก็ลอยขึ้นกระแทกบนต้นไม้น้ำแข็ง ต้นไม้น้ำแข็งครึ่งต้นหักลงดังโครม

 

 

“ดูหมิ่นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กับทูตสวรรค์ พวกเจ้ารนหาที่ตาย!” เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นแว่วมาจากทางด้านหลัง มาเร็วยิ่งนัก

 

 

ขณะเดียวกัน จุดขาวที่อยู่ไกลออกไปก็เข้าใกล้อย่างรวดเร็ว วงล้อมกำลังเล็กลง

 

 

จิ่งเหิงปัวสะบัดมืออีกครั้ง เศษน้ำแข็งมากมายจากซากต้นไม้น้ำแข็งลอยขึ้นดังฟิ้ว ดั่งดาวตกข้ามผ่านฟากฟ้า พุ่งตรงไปยังคนชุดขาวที่เข้ามาใกล้พวกนั้น

 

 

“เอาชีวิตมา!” ข้างหลังมีเสียงตะโกน ก็จวนอยู่ข้างหู น่ามู่เอ่อร์ที่ออกมาจากต้นไม้น้ำแข็งนั่นมีวิชาตัวเบาค่อนข้างยอดเยี่ยม

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเย็นวาบตรงหลังไหล่ ลามไปทั่วร่าง มือของน่ามู่เอ่อร์ที่เย็นเฉียบคว้ามาทางกลางหลังของนางอย่างแรง

 

 

ข้างหน้า คนชุดขาวที่รับหน้าที่ล้อมไว้เหล่านั้นชักกระบี่ออกมาดั่งสายฟ้าฟาด ท่ามกลางเสียงเพล้งๆ เคร้งๆ กระแทกแผ่นน้ำแข็งและแท่งน้ำแข็งแหลกละเอียด คมกระบี่ยังแทงไม่จบสิ้น รวมตัวกันเป็นสายรุ้งสีขาว คำรามโจมตีทางหน้าอกของนาง!

 

 

โจมตีทั้งข้างหน้าข้างหลัง ไร้หนทางหลบหนี

 

 

คนข้างหลังเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาแล้ว…ผู้ที่ไม่เคารพนิกายสวรรค์ ไม่ว่ากี่คนก็ต้องสิ้นใจใต้การขนาบโจมตีเช่นนี้