ตอนที่ 38 เพียงแค่เอื้อมมือ

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 38 เพียงแค่เอื้อมมือ

 

 

วานรเพลิงสีชาดหนีไปและภูเขาโดยรอบก็กลับมาเงียบสงัดดังเดิม

 

จี้เทียนซิงกำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้า ดวงตาของเขาจ้องมองไปบนท้องฟ้าและแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินก็มาถึงเส้นขอบฟ้าแล้ว

 

ท้องฟ้ากำลังจะมืด อีกไม่กี่ชั่วโมงดวงจันทร์คงจะลอยขึ้นด้วยซ้ำ

 

ชายหนุ่มรู้ว่าเวลาเร่งรัดเข้ามาทุกขณะ แต่เขาก็ไม่อาจผุดลุกขึ้นเพื่อขึ้นเขาไปต่อได้ แม้กระทั่งนิ้วเดียวก็ยังกระดิกไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

เขาอ่อนล้าเกินไป !

 

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากส่วนลึกของจิตวิญญาณทำให้เขาเข้าใจอย่างแท้จริงถึงผลที่เกิดจากการใช้จิตวิญญาณมากเกินไป

 

ตอนนี้ข้าสามารถควบคุมปราณกระบี่ให้พวกมันโบยบินไปจัดการกับศัตรูได้แล้ว นี่คือความสามารถของผู้ที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่7**ขึ้นไปจะบรรลุได้…. ”

แต่ผลกระทบของมันใหญ่หลวงเกินไป หากใช้งานมัน2-3**ครั้งติดต่อกันข้าเกรงว่าคงเป็นบ้าเพราะจิตวิญญาณแตกสลายเป็นแน่…   ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้มันอย่างรอบคอบและระมัดระวัง  สมควรใช้ยามคับขันเป็นตายเท่านั้น”

 

เขาคิดในใจอย่างเงียบงันในขณะที่หลับตารอให้พลังกายและจิตใจฟื้นฟูขึ้น

 

ในเวลานี้เองเสี่ยวปิงหูก็โผล่หัวออกมาจากพงหญ้าเพื่อมองหาจี้เทียนซิง

 

มันชะเง้อมองด้วยความระมัดระวังและเมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งอันตรายใดๆรอบกายแล้ว มันจึงเกี่ยวย่ามที่กระเด็นออกไปไม่ไกลและลากไปหาชายหนุ่ม

 

“เจ้าหนู ในย่ามเจ้ามีโอสถฟื้นฟูใช่ไหม ? กินโอสถฟื้นฟูความแข็งแกร่งโดยเร็ว  ฟ้าเริ่มมืดแล้วพวกเราต้องรีบไปจากที่นี่”

ในขณะที่มันกล่าวก็คุ้ยดูในย่ามและหยิบขวดหยกสีขาวหลายขวดเอาไปวางเรียงรายอยู่หน้าจี้เทียนซิง

 

ชายหนุ่มนอนเหยียดมือออกไปและหยิบขวดหยกขนาดเล็กที่เขียนว่าเม็ดยาฟื้นฟูพลังปราณขึ้นมา

 

เขาเปิดขวด เทเม็ดยาสีแดงเลือดสองสามเม็ดแล้วยัดเข้าไปในปากเคี้ยวสองครั้งแล้วกลืนลงไป

 

ทันใดนั้นเองเขาพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เขาหันควับไปมองเสี่ยวปิงหูทันที

“เสี่ยวปิงหู ! ทำไมเม็ดยาหายไปกว่าครึ่ง ? เจ้าขโมยไปรึ !”

 

เสี่ยวปิงหูสะดุ้งโหยงและถอยหลังไปหลายก้าวพลางยิ้มเจื่อนๆและอธิบายว่า “ข้าเบื่อๆเลยคุ้ยของในย่ามเจ้าดูและกินมันแทนน้ำตาลไปแล้วอ่า….. ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

 

“เพ้ย ! มันของกินเล่นที่ไหนเล่า ! จิ้งจอกเหม็นเอ้ย !”

จี้เทียนซิงหงุดหงิดและอยากจะทุบตีมันสักรอบ แต่สภาพร่างกายที่ไม่อำนวยจึงทำได้เพียงยอมแพ้

 

“เฮอะ ! อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ขโมยโอสถฟื้นฟูแล้วพอหายดีก็หนีไปสักหน่อย”

เสี่ยวปิงหูหันไปมองอีกฝ่ายและเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “พอๆเลิกทะเลาะกันได้แล้ว ตอนนี้จงเร่งฟื้นฟูพลังของเจ้าโดยด่วน”

“ถ้าหากเราไม่รีบไปก่อนฟ้ามืดสนิท กลิ่นคาวเลือดจะดึงดูดสัตว์อสูรจำนวนมากให้แห่กันมา สุดท้ายสองเราจะกลายเป็นเพียงมื้อค่ำให้พวกมันเท่านั้น”

 

จี้เทียนซิงระงับความโกรธและหยิบเม็ดยาคืนปราณออกมาเพื่อพยายามฟื้นฟูพลังโดยเร็วที่สุด

 

 

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าก็มืดสลัวและรัตติกาลเริ่มคืบคลาน

 

ในเวลานี้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของจี้เทียนซิงก็ฟื้นขึ้นมาได้ราว 60-70% แล้ว  เขาจึงรีบเก็บข้าวของและเดินทางต่อไป

 

ระหว่างทางเขาได้ยินการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรร้ายที่วิ่งไปมาทุกทิศทุกทาง

 

เสี่ยวปิงหูจึงกล่าวเตือนเขาอย่างรวดเร็วว่า “ดอกไม้ดาราแดงปรากฏแล้ว บรรยากาศก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มได้กลิ่นของมันและออกตามหากันให้ควั่ก”

“เจ้าต้องรีบแล้ว !  มิเช่นนั้นไม่เพียงแค่จะอด แต่เจ้าจะถูกล้อมไปด้วยเหล่าสัตว์อสูรอันร้ายกาจเป็นจำนวนมาก”

 

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและพยักหน้า เขาเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นทันที

 

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ปีนภูเขาสูงลูกหนึ่งและตัดผ่านมายังป่าที่มีต้นไม้เบาบาง

 

เขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวังเพื่อมองหาจุดที่ดอกไม้ดาราแดงปรากฏ แต่เนื่องจากท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว มีเพียงแสงสลัวๆเท่านั้นจึงทำให้มองเห็นได้ยากมาก

 

เขาได้ยินได้เพียงเสียงการเคลื่อนไหวภายในป่าที่เริ่มมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ มันฟังดูเหมือนกับว่าสัตว์อสูรกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที

 

เสี่ยวปิงหูเหยียดกรงเล็บเล็กๆของมันออกอย่างรวดเร็วและชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของป่า

“มันอยู่อีกด้านหนึ่ง ! ไปเร็วเข้า ที่หน้าผาตรงนั้นไง !”

 

ในเวลานี้จี้เทียนซิงไม่เสียเวลาคิดอีกแล้วว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เขารีบมุ่งหน้าไปยังจุดที่เสี่ยวปิงหูชี้อย่างรวดเร็ว

 

เขาวิ่งอย่างสุดชีวิตเป็นระยะทางกว่าสามไมล์ก่อนที่จะออกจากป่าทึบมายังพื้นที่เปิดโล่งที่เต็มไปด้วยหินผาลาดชัน  และก้อนหินสีน้ำตาลเข้มซึ่งปกคลุมไปด้วยวัชพืช

 

จี้เทียนซิงกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหินและเดินผ่านก้อนหินขนาดใหญ่มาถึงทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าผาที่เป็นจุดหมายจนได้

 

อีกห้าก้าวข้างหน้าคือหน้าผาสูงชันลิบลิ่วและท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา

 

หน้าผาแห่งนี้มีความลึกอย่างน้อยก็หนึ่งพันฟุตและมีหมอกสีขาวล่องลอยขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผา มันปิดกั้นทัศนวิสัยโดยสิ้นเชิงหากมองลงไปเบื้องล่าง จี้เทียนซิงไม่อาจมองเห็นพื้นที่ใต้หน้าผาได้เลย

 

จมูกสีแดงเล็กๆของเสี่ยวปิงหูสั่นระริกหลายครั้งและดวงตาของมันก็แสดงออกถึงความสุข มันรีบกล่าวกับจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าหนู ข้าได้กลิ่นของดอกไม้โชยมาจากข้างล่างใต้ผานี่ มันห่างจากเราไม่เกิน 20 ฟุตเท่านั้น เจ้ามองหาอะไรเล่ารีบเก็บซี่ !”

 

จี้เทียนซิงได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข แม้กระทั่งจิตวิญญาณของเขาก็ตื่นเต้นอย่างยิ่งในขณะที่มองไปรอบๆ

 

เขาก้าวขาเหยียบลงบนขอบหน้าผาและค่อยๆหย่อนตัวลงมา จากนั้นเขาก็เห็นก้อนหินที่ยื่นออกมาจำนวนมากและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีเขียวจำนวนมากที่ชอนไชไปตามซอกหิน

 

ในที่สุดรัตติกาลก็มาถึง แต่ดวงดาวและดวงจันทร์ยังไม่ปรากฏขึ้น มันดูราวกับฟ้าดินเต็มไปด้วยความมืดมิด

 

จี้เทียนซิงควานหาอย่างใจจดใจจ่อไปทั่วทุกตารางฟุตและยังไม่เห็นดอกไม้ดาราแดง  แม้แต่สมุนไพรล้ำค่าก็ยังไม่พบ

 

ทันใดนั้นเองเสี่ยวปิงหูก็กระโดดมายืนที่ไหล่ของเขา มันเหยียดอุ้งเท้าเล็กๆของมันและชี้ไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ใต้หน้าผา มันร่ำร้องออกมา “เจ้าหนู ดูทางนั้น !”

 

จี้เทียนซิงกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่ว่าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยแตกของหินในหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มันส่องแสงสีเงินจางๆเล็กน้อยออกมา

 

“ใช่แล้ว นั่นย่อมเป็นดอกไม้ดาราแดงอย่างแน่นอน !”

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเกาะเถาวัลย์หนาอย่างรวดเร็วเพื่อคลานหน้าผาไปตามเถาวัลย์

 

ก่อนที่จะมาถึงเทือกเขาเย่ เขาได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ดาราแดงอย่างละเอียดมาแล้ว มันมีความสูงมากกว่าสองฟุต ลำต้นอยู่ใต้ดินและมีสีเงิน

 

ดอกไม้ชนิดนี้ดูดซับแสงจากดวงอาทิตย์,ดวงจันทร์และดวงดาวเป็นเวลาหลายปี กลีบดอกของมันจะเปล่งแสงสีเงินจางๆในเวลากลางคืนเช่นเดียวกับแสงของดวงดาว

 

อย่างไรก็ตาม มันใช้เวลาถึง 60 ปีก่อนที่ดอกของมันจะบานสักครั้งและแต่ละต้นจะมีเพียงดอกเดียวเท่านั้น หลังจากผ่านไป 6 วัน ดอกของมันก็จะเหี่ยวเฉาและร่วงหล่นไร้ซึ่งคุณสมบัติใดๆ

 

ในเวลาสั้นๆ จี้เทียนซิงก็ปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้วเหยียบก้อนหินก้อนใหญ่ที่ยื่นออกมาจากโขดหิน แต่เขาก็ยังอยู่ห่างจากก้อนหินก้อนที่ดอกไม้ดาราแดงกำลังบาน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกระโดดข้ามไปจุดนั้นด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา

 

โขดหินระหว่างก้อนหินทั้งสองนั้นเปลือยเปล่าและไม่มีจุดให้เกาะก่ายหรือยืน มีเพียงเถาวัลย์สีเขียวเข้มที่เติบโตยื่นออกมาเท่านั้น

 

เถาวัลย์ที่ว่านั้นมีความหนาเท่ากับตะเกียบซึ่งดูบอบบางอย่างยิ่ง มันย่อมไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวของเขาได้เลย

 

เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าหากปีนเถาวัลย์ไปหยิบดอกไม้มา เขาจะต้องร่วงหน้าผาตกลงไปตายเป็นแน่

 

ในขณะนี้เองสีหน้าของจี้เทียนซิงเผยรอยยิ้มเจื่อนๆที่ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

 

ดอกไม้ดาราแดงอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่เขาไม่สามารถเด็ดมันหรือแม้แต่เข้าไปใกล้ได้

 

และเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าบนหน้าผานั้นเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของสัตว์อสูรกำลังวิ่งมา  สัตว์อสูรอย่างน้อยสามตัวได้มุ่งหน้ามาถึงที่ขอบหน้าผาแล้ว