ตอนที่ 183.3 ท้ออายุยืน (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

แม้ว่าเรื่องนี้ถึงขั้นต้องให้เสด็จอาตัดสิน ตัวนางได้เปรียบกว่าอยู่ดี!

ในตอนนั้น มีเสียง “โอ้ย…” ดังขึ้นจากด้านใน เหมือนเป็นเสียงของผู้ชาย

สีหน้าของเจี่ยงอวี๋เปลี่ยนไปทันที สีหน้านั้นมีทั้งความอิจฉาและความตกใจ

สาวรับใช้ทำเสียงดุใส่ขันที “ยังไม่ถอยไปอีก ไท่จื่อให้เกียรติเหลียงตี้มาโดยตลอด เหลียงตี้เพียงแค่ต้องการเข้าไปเยี่ยมไท่จื่อ ไท่จื่อไม่ว่าหรอก!”

ขันทีถูกสาวรับใช้ผลักออกโดยที่ยังไม่ทันตอบกลับ สองคนนั้นผลักประตูเข้าไปแล้วอยากห้ามแต่ก็ไม่กล้า เพราะปัจจุบันเจี่ยงเหลียงตี้เป็นสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงที่มีอำนาจใหญ่สุดในตงกง ยังเป็นหลานสาวแท้ๆ ของฮองเฮาอีกด้วย ในตงกงนางเป็นหญิงที่มีอำนาจล้นมือใครจะกล้าขัดคำสั่ง นอกจากทำได้เพียงหลับหูหลับตาหนึ่งค้างและปล่อยให้เขาสองคนเดินไป

เจี่ยงอวี๋เดินเข้าไปด้านในอย่างกระฟัดกระเฟียด เห็นไท่จื่อเอนตัวอ้าซ่าอยู่บนเก้าอี้กลมกอดข้อศอกส่งเสียงเจ็บโอ้ย และพูดงึมงำฟังไม่ได้ความ “…เจ้ามันหญิงใจร้าย ข้าเพียงแค่ล้อเล่น ไม่เห็นต้อง…”

พระชายาเอกในฉินอ๋องยืนอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชาตรงข้ามกำลังรินน้ำ รินไปได้ครึ่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงเท้ากระทบพื้นจึงหันกลับไปดู

ไท่จื่อเห็นเหลียงตี้เดินเข้ามาอาการเมาก็สร่างทันที ข้อมือที่เกือบถูกอวิ๋นหว่านชิ่นทำหักเมื่อครู่ก็หายเจ็บแล้วเช่นกัน เขานั่งตัวตรงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาโดยพลการเช่นนี้!”

เจี่ยงอวี๋ย่อตัวน้อมทักทาย “ข้าเห็นไท่จื่อซ้อมบรรเลงเป็นเวลานานกลัวว่าท่านจะเหนื่อยก็เลยมาดูว่าท่านจะทรงรับน้ำชาหรือไม่เจ้าค่ะ พอข้ามาถึงตรงหน้าประตูได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านใน แล้วบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านก็อยู่ด้านนอกทั้งหมด ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงได้เดินเข้ามาเจ้าค่ะ” นางเหลือบตาไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชา “แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่อยู่ด้านในนี้จะเป็นพระชายาเอกในฉินอ๋องเจ้าค่ะ”

ไท่จื่อขยับข้อมือขมวดคิ้ว “เอาล่ะ ดูเสร็จแล้วก็กลับไปเถิด ข้าจะซ้อมต่อ”

เจี่ยงอวี๋เห็นว่าไท่จื่อไม่โกรธที่ตนพุ่งเข้ามาโดยพลการ แต่ยังเห็นใจไม่ถือโทษกับความผิดเล็กๆ น้อยๆ นี่ นางรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน นางหันไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นและพูดกับนางด้วยน้ำเสียงราวพูดคุยกับคนในบ้าน “ตอนนี้พระชายาฉินควรจะรับโทษอยู่ที่อารามฉางชิงมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่ตงกง”

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “วันนี้ตงกงไปเชิญคนจากอารามฉางชิงมาช่วยงานเจ้าค่ะ”

“อ่อ ข้าเห็นกลุ่มแม่ชีทำงานกันอยู่ด้านหลัง เหตุใดพระชายาเอกในฉินอ๋องถึงไม่อยู่ตรงนั้น มาอยู่ในตำหนักซงหยวนคนเดียว”

ไท่จื่อขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจแต่ก็ยังพูดกับเหลียงตี้ด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม “พระชายาเอกในฉินอ๋องชำนาญเรื่องเสียงเพลง ข้าเรียกให้นางมาซ้อมเป็นเพื่อน ก็ถือว่าได้ช่วยงานเช่นเดียวกัน”

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไหลไปตามคำพูดของไท่จื่อ “ใช่เจ้าค่ะ”

ซ้อมเป็นเพื่อนงั้นรึ เจี่ยงอวี๋ทำตัวได้คืบเอาศอกเดินเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมจ้องหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นตรงๆ “พระชายาเอกยังอยู่ในช่วงรับโทษและยังเป็นภรรยาขององค์ชายสาม แต่เข้ามาอยู่ในห้องของไท่จื่อเพียงลำพังคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง”

อวิ๋นหว่านชิ่นฉวยโอกาสนี้ตอบกลับไปว่า “เหลียงตี้พูดถูก ข้าไปช่วยงานที่ครัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

สีหน้าไท่จื่อดำสนิทแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงมองเจี่ยงอวี๋ชูมือขึ้น “อืม ไปเถิด”

อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปน้อมทักทายกับไท่จื่อและหันหลังเดินออกจากตำหนักซงหยวน

เมื่อเห็นพระชายาเอกในฉินอ๋องเดินออกไปแล้วเจี่ยงอวี๋ถอนใจหายโล่งอกเฮือกใหญ่ นางเดินเข้าไปใกล้ไท่จื่อและได้กลิ่นสุรา นางหยิบน้ำชาที่อวิ๋นหว่านชิ่นรินได้ครึ่งหนึ่งเททิ้งและรินใหม่ยื่นให้พร้อมกับพูดด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “งานฉลองพรรษาของฮองเฮาใกล้เข้ามาแล้ว ไท่จื่อคงเหนื่อยน่าดู ดื่มน้ำชาพักเสียหน่อยนะเจ้าคะ——”

เจี่ยงอวี๋พูดยังไม่ทันจบก็ถูกชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อจนแก้วน้ำชาในมือตกกระจายทั่วพื้น!

“ใครสั่งให้เจ้าเข้ามาโดยพลการเช่นนี้ ข้าเรียกเจ้าหรือไง ออกไป!” เสียงเข้มแต่ยังกดความโมโหเอาไว้

ตั้งแต่เข้ามายังตงกงไท่จื่อไม่เคยแสดงสีหน้า แสดงกิริยาหยาบเช่นนี้กับนางมาก่อน

เจี่ยงอวี๋ตกใจมากความอิจฉาภายในใจพุ่งขึ้นมาในทันใด นางโพล่งออกไปเป็นชุด “นางมีเจ้าของแล้วแล้วยังเป็นหญิงที่มีความผิดติดตัว ข้าไม่อยากให้ไท่จื่อได้รับผลกระทบไปด้วย ข้าก็แค่คิดเผื่อชื่อเสียงของท่าน หากไท่จื่อมีใจให้กับพระชายาเอกในฉินอ๋อง แล้วทำไมท่านถึงไม่คิดหาวิธีพานางเข้ามาอยู่ในตงกงก่อนที่นางจะแต่งงานเล่า!”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่คิดรึ” ไท่จื่อสะบัดแขนเสื้อยืนขึ้นจ้องหน้าเจี่ยงอวี๋อย่างเย็นชา จากนั้นเดินกลับเข้าไปยังด้านในด้วยสภาพเอนเอียงเพราะฤทธิ์ของสุราที่ยังไม่สร่าง

นั่นเป็นความเย็นชาที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน ไม่สิ คนในตงกงทุกคนก็มีแต่ได้รับความอ่อนโยนจากไท่จื่อและไม่เคยแสดงสีหน้าเย็นชาเช่นนี้มาก่อน

เจี่ยงอวี๋รู้สึกเย็นไปทั้งแผ่นหลัง

ด้านนอกตำหนักซงหยวน อวิ๋นหว่านชิ่นเดินมาถึงลานกว้างด้านหลังตงกงจนได้พบกับกลุ่มแม่ชีด้วยการนำทางของขันที

ของขวัญที่ไท่จื่อเตรียมให้เจี่ยงฮองเฮาคือบทละครที่มีชื่อว่าเฉินเซียงช่วยแม่เป็นบทละครเก่าที่นำมาดัดแปลงใหม่ ไท่จื่อเป็นผู้บรรเลงเพลงและดัดแปลงด้วยตนเอง ในเนื้อเรื่องมีการเพิ่มท่อนอวยพรเข้าไปถือว่าดูแปลกใหม่ดี

ตอนนี้แม่ชีพวกนั้นกำลังช่วยมอมอของตงกงเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้บนเวทีแสดง โดยตรวจเช็คว่ามีขาดตกบกพร่องหรือต้องล้างหรือนำไปตากแดดหรือไม่

ครั้งนี้ฮ่องเต้เป็นผู้เสนอจัดงานฉลองพรรษาย้อนหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าฉินอ๋องเป็นผู้จัด แต่เหล่าเจ้านายตำหนักอื่นก็เตรียมตัวอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจฮองเฮาไม่แพ้กัน ไท่จื่อเป็นรัชทายาทเป็นแบบอย่างของบรรดาองค์ชายและยิ่งเป็นลูกเลี้ยงในฮองเฮาแล้วก็ยิ่งเตรียมงานด้วยความตั้งใจ

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปในกลุ่มและเริ่มช่วยงาน

“ระวังหน่อย ระวังหน่อย ทำงานให้มันละเอียดหน่อยอย่าให้กระแทก ท้ออายุยืนในหวางหมู่เหนียงเหนียง[1]ให้ความสำคัญเรื่องอิ่มเอิบอุดมสมบูร์ อย่าว่าแต่หายไปเสี้ยวหนึ่ง แม้แต่ใบก็ห้ามร่วงตกสักใบ!”

เสียงแหลมปี๊ดของขันทีดังขึ้น

อวิ๋นหว่านชิ่นกับกลุ่มแม่ชีที่กำลังทำงานหันไปตามเสียง เห็นขันทีของตงกงออกคำสั่งกับขันทีน้อยสองคนที่กำลังยกถาดอันใหญ่อยู่ตรงหน้าประตู

บนถาดอันใหญ่รองด้วยผ้าสีแดงมีฝารูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสใสครอบไว้ มีท้ออายุยืนลูกใหญ่สูงเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของฝ่ามืออยู่ด้านใน ลูกท้อเนื้อสีอมชมพูดูฉ่ำวาวคู่กับใบไม้สภาพดีสองใบ ดูๆ แล้วคล้ายลูกท้อเซียนบนสวรรค์จริงๆ

นั่นคงนำมาใช้ในการแสดงละครบนเวทีแน่

อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ ครั้งก่อนที่ได้พบกับไท่จื่อในพระราชวัง นางได้ดูบทละครของเขา เพื่อเป็นการอวยพรฉลองพรรษาไท่จื่อได้เพิ่มเนื้อหาเข้าไปยังบทละครเฉินเซียงช่วยแม่ซึ่งต้นฉบับไม่มีท่อนนี้ : หลังจากละครจบลง สองมือของเฉินเซียงถือท้ออายุยืนเดินรอบเวทีหนึ่งรอบแล้วมอบให้กับมารดาที่ช่วยชีวิตเอาไว้ จากนั้นผ้าม่านก็ปิดลง

ฤดูหนาวของเมืองหลวงเป็นฤดูที่ไม่กินลูกท้อ ช่างไม่ง่ายเลยที่สามารถหาลูกท้อลูกใหญ่และงดงามลูกนี้มาได้ และก็คงไม่แปลกที่คนตงกงจะกลัวการทำผิดพลาด

ขันทีผู้ควบคุมสั่งให้คนย้ายท้ออายุยืนเข้ามาวางไว้ตรงกลางอย่างระมัดระวัง สั่งกลุ่มสาวรับใช้ “เวลาล้างระวังด้วยนะ อย่าให้ตกเชียวล่ะ”

กลุ่มสาวรับใช้นำฝาครอบออก มอมอคนหนึ่งยิ้มและกล่าวว่า “กงกง ลูกท้อลูกนี้เป็นลูกท้อเซียนที่จะมอบให้กับฮองเฮา พวกเราไม่กล้าทำพลาดอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

ขันทีผู้ควบคุมรู้ว่าคนพวกนี้เป็นคนทำงานละเอียดก็รู้สึกวางใจ พอกำชับเสร็จก็ไปทำอย่างอื่นต่อ

[1] หวางหมู่เหนียงเหนียง หมายถึง นางสตรีผู้ได้รับความนิยมและความเชื่อถือกันว่าเป็นผู้ประทานอายุวัฒนะ