ตอนที่ 183.4 ท้ออายุยืน (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นถามโดยไม่คิด “เอ๋ ลูกท้อนี้ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ในการแสดงละครหรอกหรือ ทำไมถึงต้องนำไปให้เหนียงเหนียงเสวยอีก”

มอมอที่เพิ่งพูดเมื่อครู่ตอบกลับว่า “ไท่จื่อบอกไว้แล้วว่าลูกท้อที่ใช้ในการแสดงอวยพรเป็นลูกท้อมงคล คนที่ดูละครส่วนใหญ่จะนำมากินเพื่อเป็นศิริมงคลให้อายุมั่งขวัญยืนเจ้าค่ะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองลูกท้อในมือของมอมอและพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ ว่า “การเพิ่มบทละครโดยมอบท้ออายุยืนให้กับแม่ ถือว่าน่าสนใจยิ่งนักแถมยังเป็นไปตามจุดประสงค์ของงานฉลองพรรษาอีกด้วย”

หลายคนพยักหน้ายิ้มและได้ยินพระชายาเอกในฉินอ๋องพูดต่อว่า “ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

มอมอผู้ถือลูกท้อเอาไว้ยื่นให้นางอย่างไม่ลังเล

อวิ๋นหว่านชิ่นรับเอาไว้อย่างระมัดระวังวางไว้บนเข่า สองมือกวักน้ำสะอาดขึ้นมาคล้ายกับคนกำลังทำความสะอาดลูกท้อ แต่แท้จริงแล้วนางกำลังสำรวจทุกส่วนของลูกท้อลูกนั้น

คนอื่นๆ เห็นว่านางล้างลูกท้อจึงลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นต่อโดยไม่สนใจนาง

น่าจะเป็นลูกท้อที่ถูกเลี้ยงในเต้นท์อุณหภูมิอุ่น มันทั้งใหญ่และมีสีชมพูดูฉ่ำวาวสดไร้ความผิดปกติ

พอจับที่ใบสีเขียวกลับรู้สึกว่าเนื้อสัมผัสดูหยาบไม่เรียบ

นางหยิบลูกท้อขึ้นมาดูใกล้ๆ พบว่าใต้ใบไม้สีเขียวมีรูเล็กๆ อยู่เต็มไปหมดแต่ไม่เหมือนกับรูหนอน

ถ้าเป็นรูหนอนมันจะไม่เป็นระเบียบเช่นนี้และอาจส่งผลกระทบต่อสีของเนื้อลูกท้อโดยรอบ รูเหล่านี้หากมองด้วยตาเปล่าเป็นสีใส หากไม่ดูใกล้ๆ ก็จะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นรูวงกลมที่มีขนาดเท่ากันและบริเวณตรงนั้น เนื้อลูกท้อมีความปูดขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่า——มันบวม

อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหายใจและยื่นหน้าเข้าไปสูดดมบริเวณที่เป็นรูเล็ก ทันใดนั้นนางแทบหายใจไม่ออกร่างกายเกือบแข็งตัวราวกับเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง นางตกใจจนลุกขึ้นยืน

มอมอหลายคนและแม่ชีจากอารามฉางฉิงรู้สึกแปลกใจจึงเดินเข้ามาหา มอมอคนหนึ่งเห็นสีหน้าของนางกลายเป็นซีดขาวจึงถามด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรรึเจ้าคะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นคลายมือออกลูกท้อในมือหล่น “ตุบ” ลงที่พื้น มันแตกกระจุยกระจายเต็มพื้น

ทุกคนตรงนั้นตะลึงตกใจและพากันเดินเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงดังกันใหญ่ “ไม่นะ พระชายาเอกทำท้ออายุยืนตก!”

ขันทีผู้ควบคุมได้ยินเสียงดังโหวกเหวกจึงรีบเดินเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ก็โกรธเป็นอย่างมาก “นี่มันอุปกรณ์สำคัญสำหรับละครอวยพรฉลองพรรษา เป็นลูกท้อที่ไท่จื่อเลือกให้ฮองเฮาด้วยตัวเอง พระชายาเอกสะเพร่าเกินไปแล้ว!”

อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหัวลง “ก็มือข้าลื่น——”

“ลื่น!?” ขันทีผู้ควบคุมทำเสียงฮึ่มและไม่อยากพูดอะไรกับนางอีกจึงเดินไปรายงานให้กับไท่จื่อทราบ

สาวรับใช้ต่างพากันส่งเสียงดังกันใหญ่

แม่ชีที่มาจากอารามฉางชิงเดินเข้ามาล้อมเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปเพียงครู่เดียวขันทีผู้ควบคุมงานคนนั้นกลับมาด้วยสีหน้าสีเขียว “ไท่จื่อสั่งให้มาเชิญพระชายาเอกไปหา!”

อวิ๋นหว่านชิ่นสูดหายใจลึกเดินออกจากท้ายตำหนักตามขันทีไป

ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นห้องหนังสืออันเงียบสงบที่อยู่ด้านข้างตำหนักซงหยวน ขันทีผลักประตูและเชิญพระชายาเข้าไป “เชิญพระชายาเอก!”

อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวข้ามคานประตูและเดินเข้าไปยังห้องหนังสือ

ผ้าม่านและหน้าต่างภายในห้องหนังสือปิดสนิท

เมื่อเดินเข้าไปยังด้านในสุดไท่จื่อกำลังไขว้มือไว้ที่หลังและหันหน้าเข้าหานาง

นางเพิ่งพบหน้าไท่จื่อเมื่อไม่นานที่ผ่านมาแต่ไม่รู้ทำไมเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ได้พบหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ไม่เป็นสุขเลยสักนิด

อาการเมากรึ่มๆ เมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักซงหยวนหายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าไร้สีหน้าใดๆ เหมือนจะไม่ได้โกรธเรื่องท้ออายุยืนเสียหาย แต่——เพราะเป็นแบบนี้เลยยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

“ข้าไม่ระวังทำท้ออายุยืนของไท่จื่อเสียหาย ได้โปรดไท่จื่อลงโทษข้าด้วยเถิด!” อวิ๋นหว่านชิ่นโค้งตัวน้อมรับความผิด

นัยน์ตายิ้มเป็นปกติของชายหนุ่มได้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความนิ่งดั่งแม่น้ำที่หลับใหล แล้วปากเขาก็ขยับพร้อมกับรอยยิ้มอันเยือกเย็น “พระชายาเอกในฉินอ๋องตั้งใจทำลูกท้ออายุยืนเสียหายมิใช่รึ”

ไม่มีการเรียกขานอย่างสนิทสนมอีกต่อไป เหลือเพียงความรอบคอบ ความระมัดระวังและความระวังตัว

อากาศภายในห้องไหลเวียนได้ช้าและอึดอัด

ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่าเขารู้เรื่องหมดแล้ว

อวิ๋นหว่านชิ่นรวบรวมความกล้าและตัดสินใจเงยหน้าขึ้น “ที่ข้าทำลูกท้อเสียหายก็เพื่อไม่ให้ไท่จื่อทำความผิดครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถถอยกลับได้อีก”

ไท่จื่อเห็นนางยอมรับในความผิดก็เริ่มหัวเราะ เขาหัวเราะไปด้วยเดินออกมาจากชั้นวางหนังสือด้วย เสียงหัวเราะนั่นปะปนไปด้วยความเสียดาย เขาเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวและกล่าวว่า “ชิ่นเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งชมว่าเจ้าเป็นคนซื่อ แต่ตอนนี้ทำไมเจ้ากลายเป็นคนพูดปดไปแล้วล่ะ เจ้าทำเพื่อข้าที่ไหนกัน คนจัดงานคือฉินอ๋องเจ้าทำเพื่อไม่อยากให้ฉินอ๋องต้องโดนทำโทษเพราะเรื่องนี้ด้วยต่างหาก!”

รองเท้าบู้ทสีทองคู่นั้นยืนอยู่บนพรมสีแดงและอยู่ตรงหน้า ทันทีที่อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้านางรู้สึกเพียงว่าเหมือนมีลมพัดผ่าน จากนั้นก็มีฝ่ามือหนึ่งข้างยื่นเข้ามาบีบที่คอของนางอย่างรุนแรงจนสองขาถึงกับลอยขึ้นจากพื้น

บริเวณลำคอมีเสียงเสียดสีของกระดูก อากาศหายใจเหมือนถูกกั้นเอาไว้สูดอย่างไรก็สูดเข้ามาไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องหน้าชายหนุ่มตรงหน้า

เขาไม่ยิ้มแล้ว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือด ความสง่างามของเมื่อวานหายไป เหลือเพียงน้ำตาที่ไหลรินก่อนจะกระหายเลือด ดวงตาอันงดงามเต็มไปด้วยการต่อสู้กำลังจ้องมาที่ตัวเอง

เขาเป็นเจ้านายแห่งตงกง ที่นี่เป็นพื้นที่ของเขา แม้ว่าเขาจะฆ่าคนที่นี่ก็ตาม แต่การตายของนางก็สามารถหาเหตุผลร้อยแปดพันอย่างมาอธิบายกับผู้อื่นได้

แต่แล้วเขาก็คลายมือออก นางรู้สึกมีอากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามาแล้ว แล้วตัวนางก็ล้มลงที่พื้น

นางล้มลงไปอย่างอ่อนระทวยและสูดหายใจลึกอยู่หลายอึก

เขาสะบัดแขนเสื้อและพูดด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติ “เจ้าไปเถอะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นไอค่อกแค่กอยู่หลายทีแล้วจึงลุกขึ้นปัดๆ ชุดแม่ชี “ไท่จื่อยอมปล่อยข้าไปเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะมีปัญหาในภายหลังหรือเจ้าคะ ถ้าข้าออกไปตอนนี้แล้วประกาศออกไปว่าไท่จื่อวางยาพิษร้ายแรงใส่เข้าไปในลูกท้ออายุยืนเพื่อให้ผู้ฉลองพรรษาเสวย โทษของข้าอาจได้รับการยกโทษทันที แต่ไท่จื่ออาจไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป!”

นางเคยอ่านในสมุดบันทึกการรักษาเล่มหนึ่ง มีหมอชาวตะวันตกคนหนึ่งเมื่อครั้นอยู่รักษาผู้คนในต้าซวน เขานำไม้ไผ่มาฝานให้กลายเป็นไม้ไผ่บางเส้นเล็กเจาะด้านในจนกลวงทะลุทั้งสองฝั่ง จากนั้นใช้มันจิ้มเข้าไปยังเนื้อของผู้ป่วยและเรียกสิ่งนั้นว่าเข็มฉีดยา

รูเล็กบนลูกท้อเหล่านั้นล้วนเป็นร่องรอยของการฉีดยา ด้วยขนาดของรูที่เล็กมากหากฉีดเข็มเดียวฤทธิ์ยาอาจจะไม่พอจึงฉีดเข้าไปหลายรอบจนเป็นหลายรู พอหยิบขึ้นมาดมใกล้ๆ ทำให้ได้กลิ่นของยาพิษจางๆ

มีการเพิ่มบทพิเศษเข้าไปโดยยื่นท้ออายุยืนอาบยาพิษให้เจี่ยงฮองเฮาเสวย…คิดไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะเกลียดชังฮองเฮาได้มากถึงเพียงนี้

ไม่ใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย

และเมื่อตอนที่รู้ว่าลูกท้อในมือคือลูกท้ออาบยาพิษ ความหนาวเหน็บที่เกิดขึ้นมาไม่เพียงแต่เป็นเพราะรู้ว่าไท่จื่อจะลอบปลงพระชนม์แม่เลี้ยงในงานฉลองพรรษา แต่นางยังนึกถึงพระราชโองการการปลดตำแหน่งรัชทายาทในชาติก่อน

“เอาแต่ใจ เหย่อหยิ่งจองหอง ไม่กตัญญูต่อมารดา ไม่เคารพบิดา เป็นลูกอกตัญญู”

หากเรื่องลอบปลงพระชนม์ฮองเฮาเกิดขึ้นจริง สมควรอย่างยิ่งกับความผิดอันใหญ่หลวงที่เขียนไว้ในพระราชโองการฉบับนี้