ตอนที่ 184.1 พระนัดดาน้อย ผ้าแดงพรหมจรรย์ (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

การปลงพระชนม์พระมารดาทรงเลี้ยงนั้นเป็นเรื่องฉาวโฉ่ของราชวงศ์ อาจเพราะหนิงซีฮ่องเต้ทรงรักในชื่อเสียงและหน้าตา ไม่ยินยอมให้เรื่องอื้อฉาวนี้แพร่งพรายออกไป จึงได้ออกพระราชโองการที่มีเนื้อหาใจความกล่าวโทษอย่างกว้างๆ ไม่ลงลึกเจาะจงถึงรายละเอียดเช่นนั้น

ในเมื่อนางกล้าพูดประโยคเหล่านี้ออกมา นั่นก็แสดงว่านางจะไม่เปิดโปงตน คิ้วงามขมวดขึ้นพลางย้อนถามว่า “เจ้าจะกราบทูลเรื่องนี้หรือไม่”

อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องนิ่ง “ไม่เจ้าค่ะ”

ไท่จื่อยิ้มบาง นัยน์ตาแสดงออกถึงความเชื่อใจ

“หากท่านต้องการล้างแค้น เหตุใดถึงเสี่ยงด้วยวิธีเช่นนี้ การสังหารด้วยยาพิษมักทิ้งร่องรอไว้ หากโดนพบเข้า ต่อให้ท่านล้างแค้นได้ตามที่คิด ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนนี้อยู่ดี นี่มันคุ้มค่าแล้วหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นกระซิบเอ่ย สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าไม่สามารถบอกเขาได้ ตามความทรงจำที่มีอยู่เล็กน้อยของชาติที่แล้วนั้น หลังเจี่ยงฮองเฮาเสด็จสวรรคต ประกาศต่อไพร่ฟ้าประชาชนว่าทรงจากไปด้วยพระประชวร หาใช่เพราะถูกวางยาพิษแต่อย่างใด หมายความว่าครั้งนี้ต่อให้องค์รัชทายาทเอาบัลลังก์รวมถึงชีวิตและอนาคตของพระองค์เข้าแลก ก็อาจจะสูญเปล่าได้สูงมาก

ไท่จื่อเห็นนางเข้าใจบุญคุณความแค้นระหว่างพระองค์กับฮองเฮาอย่างชัดเจนเช่นนี้ ก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าใดนัก รอยยิ้มบนหน้าหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็งที่ทำให้คนเห็นหวาดกลัวจนตัวสั่น “คราเมื่อข้าทราบว่าพระมารดาแท้ๆ ของข้าถูกนางทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ไปอย่างไร ตายแล้วยังโดนนางใช้ฮวงจุ้ยมาทำให้มิได้ผุดได้เกิดไปตลอดกาล ยิ่งคิดว่าข้านับถือฆาตกรเป็นแม่มาสิบกว่าปีข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้น! บัดนี้นางรู้ว่าข้ามีใจออกห่าง เรื่องหอละครว่านฉ่ายครานั้น นางตัดสินใจทิ้งหมากอย่างข้าไปแล้ว หากข้ามิฆ่านาง ข้าก็ต้องโดนนางฆ่าอยู่ดี เจ้าคิดว่า——ข้าทำเรื่องพวกนี้มันคุ้มค่าหรือไม่”

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “หากท่านวางยาพิษฮองเฮา อย่างมากก็ได้ระบายความแค้นทวงความยุติธรรมให้แก่พระสนมหยวนที่ตายไป ยังมีคนอื่นที่โดนฮองเฮาทำร้ายจนตายที่ยังมิได้สะสางแค้นอีก มิสู้ท่านเปิดโปงความชั่วร้ายของนางต่อหน้าธารกำนัล ให้ฮ่องเต้ทรงทราบว่านางเป็นคนเช่นไร แล้วจัดการสะสางโทษในอดีตแต่ละเรื่องละราวให้หมดจด”

นัยน์ตาของไท่จื่อสั่นระริก “เสด็จพ่อเคารพและเชื่อใจต่อนางมาโดยตลอด ต่อให้มีหลักฐานก็เกรงว่าเสด็จพ่อจะคิดว่าเป็นของปลอม ถึงเวลานั้นข้ากับนางถึงคราแตกหักกันไปแล้ว แต่นั่นยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอีก”

“เช่นนั้นหากเป็นคนสนิทข้างกายของฮองเฮาเปิดโปงนาง ฮ่องเต้จะทรงเชื่อหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นย้อนถาม

ไท่จื่อกล่าวด้วยท่าทางสงสัย “เหลียงตี้ นางกับเจี่ยงซื่อสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นคนโง่ก็ไม่ยอมเปิดโปงเรื่องของป้าตัวเองหรอก ไม่มีทางเลย”

“เช่นนั้นก็ทำทางที่ไม่มีให้กลายเป็นมีเสียสิเจ้าค่ะ” นางกล่าวทีละคำอย่างมีจังหวะ

ยิ่งใกล้วันงานมากเท่าใด ภายในวังก็ยิ่งวิ่งวุ่นกันมากเท่านั้น

การจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาที่ตงกงเอิกเกริกใหญ่โต จึงขาดคนไม่น้อย ทุกวันต้องให้บรรดาแม่ชีอารามฉางชิงช่วยเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้แสดงแล้วนำมาซักตาก รวมทั้งเลือกอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบฉากด้วย

หลายวันล่วงเลย นางกำนัลบางคนต่างซุบซิบกันว่าพระชายาฉินอ๋องก็อยู่ในกลุ่มแม่ชีที่ช่วยงานด้วยเช่นกัน ทุกวันจะไปตงกงพร้อมกับคนอื่นๆ ไปตั้งแต่เช้าตรู่กลับก็เสียดึกดื่น ซ้ำยังถูกไท่จื่อเรียกตัวไปเข้าเฝ้าเป็นครั้งคราวอีกด้วย

พระชายาฉินอ๋องยามนี้รับโทษอยู่ที่ฝอถังในวังเช่นเดียวกับแม่ชีท่านอื่นๆ ที่ถูกราชสำนักส่งไปช่วยจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาที่ตงกง สมเหตุสมผลและปกติยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นไท่จื่อยามนี้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลราชกิจบ้านเมือง เรียกนางในที่มีโทษมาช่วยงานเช่นนี้จะนับเป็นอะไรได้

แต่อย่างไรเสียทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์เป็นพี่สะใภ้กับน้องชายสามี นางกำนัลบางคนได้ยินมาว่าทั้งสองรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน ก็คงหลีกเลี่ยงเรื่องซุบซิบนินทาพวกนี้ไม่ได้

เจี่ยไทเฮา ณ ตำหนักฉือหนิงได้ยินคำซุบซิบนินทานี้เข้าก็ส่งหม่าซื่อไปตงกงเพื่อบอกเป็นนัยๆ กับไท่จื่อว่า ภายหน้ายามเรียกคนจากฉางชิงมาช่วยงานที่ตงกง ไม่ต้องเรียกพระชายาฉินอ๋องให้ตามมาด้วยแล้ว คนจะได้ไม่เอาไปพูดกันลับหลังอีก

ไท่จื่อกลับตอบไปเพียงประโยคเดียวอย่างนอบน้อมว่า “กายตรงย่อมมิกลัวเงาเอียง[1] หากไปทำตามอย่างพวกลิ้นยาว[2]มันว่า ก็จะเป็นการร้อนตัว ไม่มีเรื่องก็จะทำให้เป็นเรื่อง”

เจี่ยไทเฮาได้ยินองค์รัชทายาทตอบมาดังนั้นก็ไม่กล่าวคำใดอีก หม่าซื่อเกรงว่าไทเฮาจะกริ้วจึงกล่าว “หรือจะให้บ่าวไปทูลกล่าวกับองค์รัชทายาทอีกรอบดีพ่ะย่ะค่ะ…”

เจี่ยไทเฮาโบกมือห้าม หลานคนอื่นๆ พระนางไม่รู้ แต่นิสัยของหลานคนนี้พระนางกลับเข้าใจดี แต่เล็กจนโตใบหน้ามักประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใสเหมือนฟ้ายามอากาศปลอดโปร่ง อ่อนโยนมีน้ำใจต่อผู้อื่น ท่าทางดูใจกว้างไม่น้อย เป็นมิตรเข้ากับคนง่าย แต่ความเป็นจริงนั้นข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง มีขีดจำกัดของตนอยู่ในใจ คาดเดาได้ยากกว่าองค์ชายที่ท่าทางสุขุมนุ่มลึกเหล่านั้น หากตัดสินใจอะไรลงไปแล้วจะปักใจมิเปลี่ยนแปร

คิดไปคิดมา เจี่ยไทเฮาตรัสเพียงว่า “ตามใจเขาเถิด เขาก็โตแล้ว รู้ว่าอันใดควรมิควร เพียงแต่หากเจ้าได้เจอฉินอ๋องก็บอกให้เขาอย่าได้ใส่ใจกับเรื่องมิเป็นเรื่องเหล่านี้ คิดมากไปก็จะทำให้พี่น้องผิดใจ มิรักใคร่ปรองดองกันเสียเปล่า ”

หม่าซื่อรับคำ

พระชายาฉินอ๋องขยันมาที่ตงกงเสียจนทำให้เจี่ยงอวี๋กระวนกระวานใจอยู่ไม่สุข

ยามเจี่ยงอวี๋ไปถวายพระพรที่ตำหนักเฟิงจ๋าก็มักจะกราบทูลเรื่องนี้ให้ฮองเฮาทรงทราบทุกเมื่อ ซ้ำยังให้พระนางทรงห้ามพระชายาไม่ให้เสด็จไปตงกงอีก แต่ฮองเฮากลับไม่เอ่ยคำใด ครั้นฟังบ่อยเข้าก็ขมวดคิ้วมุ่นตรัสว่า “นางเพียงไปช่วยงานที่ตงกงเท่านั้น ข้าจะไปห้ามอันใดได้”

เจี่ยงอวี๋ไม่ยินยอมพอใจ ดึงแขนเสื้อฮองเฮากล่าวอย่างออดอ้อนเอาแต่ใจ “กูกู[3] องค์รัชทายาทเรียกนางไปทำงานที่ไหนกันเพคะ นางไปคราใดก็โดนเรียกให้เข้าเฝ้าเพียงลำพังทุกครา รับสั่งบอกว่าให้ฝึกพิณเป็นเพื่อน แต่ความจริงทำอันใดกันสองต่อสองก็มิทราบได้! ท่านพูดอะไรหน่อยสิเพคะ!”

เจี่ยงฮองเฮาปัดมือของหลานสาวที่จับชายเสื้อตนไว้ออก พลางตรัสอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นเจ้าจับได้คาหนังคาเขาหรือไม่ หากจับมิได้ จะพูดอันใดไปก็สูญเปล่า! ชายาฉินอ๋องเป็นธิดาขุนน้ำขุนนาง พิณ หมาก อักษร และวาดภาพล้วนล้ำเลิศ ยามนี้ฝึกพิณเป็นเพื่อนองค์รัชทายาทชดใช้ความผิด ในสายตาคนนอกก็ดูสมเหตุสมผลแล้ว ให้ข้าออกคำสั่งห้ามพระชายาไปที่ตงกงเป็นเพราะว่าข้ารู้สึกว่าทั้งคู่จะแอบมีสัมพันธ์ลับกัน เจ้าอยากให้คนอื่นมาว่าข้ามิมีสมองหรือไร”

เจี่ยงอวี๋อึดอัดคับแค้นอย่างโมโห ไม่กล้ากล่าวคำใดอีก ทุกครั้งที่โดนกูกูตอกหน้ากลับมา ล้วนสะสมความแค้นไว้ในใจ

ปกติตนเรียกร้องอยากจะเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท กูกูไม่ช่วยนางซึ่งยอมรับได้ อย่างไรเสียในการเป็นพระชายานั้น หากดูจากฐานะของนางแล้วนับว่ายากไม่น้อย ทว่ายามนี้เพียงแค่สั่งห้ามไม่ให้นังนักโทษนั่นไปตงกง กูกูเป็นถึงฮองเฮา เพียงแค่สั่งประโยคเดียวเท่านั้น ไท่จื่อจะต้องเห็นแก่หน้ากูกูแน่นอน นี่มันยากตรงไหน เหตุใดกลับไม่ช่วยนาง!

เจี่ยงฮองเฮามีแผนการในใจแล้ว ไท่จื่อกับอวิ๋นหว่านชิ่นสนิทชิดเชื้อกันมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด แต่อย่างน้อยที่สุดฉินอ๋องก็ต้องมีขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แม้นปากจะมิพูด แต่ใจต้องผูกไว้กับไท่จื่อแล้วเป็นแน่

ยิ่งการต่อสู้ระหว่างองค์ชายดุเดือดมากเท่าใด ก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อนางมากเท่านั้น

พริบตาเดียวก็ใกล้จะถึงงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาแล้ว

อวิ๋นหว่านชิ่นเช้านี้พึ่งจะร่ำเรียนเสร็จ ก็ไปตงกงพร้อมกับเหล่าแม่ชีสำนักฉางชิงดังที่แล้วมา

พอถึงหน้าประตูตำหนัก ขันทีที่นำทางก็เรียกคนให้มาพาพวกแม่ชีไปยังท้ายตำหนักเพื่อทำงาน จากนั้นก็พาอวิ๋นหว่านชิ่นไปอีกทางเหมือนวันก่อนๆ

ขันทีบอกนางว่าไท่จื่อเห็นว่าวันนี้อากาศอบอุ่นดีไม่น้อย จึงให้คนยกพิณไปซ้อมที่ศาลาริมน้ำแทน

อวิ๋นหว่านชิ่นอ้อมระเบียงมาที่ศาลาริมน้ำด้านหลังของตำหนักซงหยวน เห็นเพียงแม่นมรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์นางหนึ่งกำลังอุ้มทารกไว้ ส่วนไท่จื่อประทับอยู่หลังพิณกำลังหยอกล้อทารกคนนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นนางก็กล่าวเสียงอย่างยิ้มแย้มว่า “มาแล้วหรือ วันนี้มาเร็วนัก”

พอแม่นมเห็นพระชายาฉินอ๋องก็ยืนขึ้นอุ้มทารกไว้ในอกคำนับเบาๆ แล้วถอยไปด้านข้าง

[1] กายตรงย่อมมิกลัวเงาเอียง ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องและทำได้ดี

[2] พวกลิ้นยาว คนที่ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อย

[3] กูกู ป้าหรืออา (น้องสาวหรือพี่สาวพ่อ)