อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูทารกในห่อผ้าปักดิ้นทอง นี่คงเป็นโอรสของไท่จื่อกับหลานเจาซวิ่น ดูๆ แล้วอายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น นางยิ้มพลางกล่าว “รบกวนเวลาสุขสันต์ในครอบครัวของท่านเสียแล้ว”
“มิเป็นไรหรอก” ไท่จื่อกล่าวอย่างยิ้มแย้มมีความสุข แล้วชี้ “วันนี้อากาศอบอุ่น แม่นมพาเซี่ยวเอ๋อร์ออกมารับลมข้างนอก เดินผ่านศาลาริมน้ำนี้พอดี ข้าจึงเรียกเขามาดู จึงได้รู้ว่าโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เกือบจะจำมิได้เสียแล้ว”
“เซี่ยวเอ๋อร์” อวิ๋นหว่านชิ่นนัยน์ตาสั่นไหว
“นามเต็มยังมิได้ตั้ง จึงเรียกชื่อเล่นไปก่อน” ไท่จื่อว่า
ชื่อเล่นของเด็กคนนี้ช่างตั้งได้เหมาะเจาะกับแผนการยามนี้ของไท่จื่อนัก อวิ๋นหว่านชิ่นทอดถอนใจพลันได้ยินท่านเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้ามัวเหม่ออันใด ดูเซี่ยวเอ๋อร์สิ หน้าตาเหมือนข้าหรือไม่ ข้ามองแล้วมองอีกรู้สึกว่าคิ้วกับปากเหมือนข้าอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับแวววาวมีชีวิตชีวาไม่เท่าข้า จมูกนั้นก็ไม่โด่งเป็นสันอย่างข้า”
ยามไม่พูดอะไรนั้นยังพอเหมือนเป็นพ่อคนอยู่บ้าง แต่พอได้พูดแล้วเหมือนกับเด็กยังไม่โต ขนาดลูกตัวเองยังจะมาเทียบความหล่อด้วย พอเทียบชนะก็ท่าทางพอใจ! อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงเดินเข้าไปเปิดห่อผ้าออก ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านรีบร้อนเกินไป อายุพึ่งจะไม่กี่เดือนเท่านั้น ยังมิโตเท่าใดเลยนะเจ้าคะ จะมาเปรียบเทียบหน้าตาอันใดกันได้ แต่ในภายภาคหน้าต้องล้ำหน้าท่านแน่นอน” พูดไปพลางถูฝ่ามือให้ร้อนกลัวทารกน้อยจะตกใจเพราะความเย็นจากมือนาง นิ้วเรียวค่อยๆ โค้งงอ จิ้มคางของทารกจ้ำม่ำตรงหน้าเบาๆ
เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก โอษฐ์น้อยๆ ยู่เข้าหากันเป่าฟองน้ำลายให้อวิ๋นหว่านชิ่นดู
ไท่จื่อจ้องมองแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่างงอนๆ “อะไรกัน เจ้ากระต่ายน้อยคนนี้นี่ ข้าหยอกอยู่ตั้งนานกลับนิ่งเฉย ยามนี้มีคนมาเล่นด้วยเจ้ากลับออดอ้อนเอาใจ!”
ไม่ทราบว่าน้ำเสียงที่กล่าวเมื่อครู่ของท่านดุดันจนทำให้ทารกน้อยตกใจหรือไม่ ยามนี้เซี่ยวเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยน ปลายจมูกแดงระเรื่อย่นขึ้น ทำท่าเป็นสัญญาณว่าจะร้องไห้
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางเอาทารกน้อยจากมือแม่นมมาอุ้มเข้าอก ตบปลอบเบาๆ เพื่อกล่อมให้เด็กน้อยที่ทำท่าจะร้องๆ นั้นหยุดลง
ไท่จื่อเห็นนางละเอียดลออกับทารกไม่น้อย ซ้ำยังมีความรักอยู่ไม่เบา จึงพิงกับเก้าอี้หนังในศาลา นัยน์ตาระริกเป็นประกาย “มาเล่นลูกของคนอื่นเช่นนี้มีอันใดสนุกกัน มีความสามารถก็คลอดออกมาเล่นเองเสียสิ”
ประโยคนี้ช่างไร้มารยาทนัก เกือบจะเหมือนประโยคแซวยั่วยุเข้าไปแล้ว แม่นมที่อยู่ข้างๆ ฟังจนหน้าแดงกล่ำ อดไม่ได้ที่จะมองไท่จื่อคราหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นชินกับท่าทางเช่นนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้กล่าวคำใด ตั้งใจหยอกเย้ากับทารกต่อ นางบีบเสียงเล็กให้เหมือนเด็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พระนัดดาน้อยช่างหน้าตาดียิ่งนัก โตมาอย่าปากเหมือนพระบิดาเจ้าจะดีไม่น้อย…”
แม่นมปิดปากหัวเราะ
ไท่จื่อทำตัวเองขายหน้าจึงเปลี่ยนเรื่อง “อ้อ จริงสิ ว่าราชการเมื่อเช้านี้ข้าเจอเจ้าสามด้วย”
ยามนี้ไท่จื่อรักษาการณ์แทนฮ่องเต้ ต้องออกว่าราชการกับเหล่าขุนนางทุกวัน ฉินอ๋องไม่ได้ไปฉางชวนก็จะเข้าวังประชุมทุกครา ทั้งคู่พบกันเช่นนี้มีอันใดน่าแปลกกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่สนใจ ซ้ำยังเล่นกับเซี่ยวเอ๋อร์ต่อ
ไท่จื่อเห็นนางยังคงหยอกล้ออยู่กับทารกน้อยไม่ยอมพูดคุยด้วย สีหน้าก็เริ่มเขียวคล้ำ มือทั้งสองหนุนรองศรีษะไว้ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “…เจ้าสามถามไถ่กับข้าเรื่องของเจ้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้น
ไท่จื่อเห็นนางมองมาทางนี้เสียทีก็พลูลมออกจากปากพลางยิ้มเจิดจ้าสว่างไสว “…หลังเลิกว่าราชการ เจ้าสามถามข้าว่าตงกงขาดคนหรือ หากขาดคนเช่นนั้นก็เลือกนางในมาเพิ่มให้ตงกงเสีย ฮ่าๆ อ้อมค้อมไปมาเสียจริง…ทำข้าใจร้อนแทน! มิใช่ว่าไม่อยากให้ข้าเรียกเจ้ามาตำหนักอีกหรอกหรือ ข้าบอกเขาว่าไม่ต้องแล้ว ข้าชอบการทำงานของแม่ชีสำนักฉางชิง ละเอียดรอบคอบ ทำงานไว ใช้งานง่าย ฮ่าๆ เจ้าสามสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาเชียวล่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งทารกคืนสู่อกแม่นมไป “สนุกพอหรือยังเจ้าคะ”
ขณะนั้นเอง ด้านนอกศาลานางกำนัลของตำหนักหลานเจาซวิ่นท่าทางจะเดินตามหามาตลอดทาง นางมองจากล่างบันไดเห็นแม่นมอุ้มพระโอรสอยู่ข้างๆ ไท่จื่อก็รีบเข้าไปถวายคำนับ
“มีกิจอันใดรึ” สายตาของไท่จื่อทอดมองด้านนอกศาลา ใบหน้ายิ้มแย้มไม่มีแววขี้เล่นก่อนหน้า
นางในคนนั้นกล่าวตอบ “ทูลไท่จื่อ มีคนจากตำหนักเฟิงจ๋ามาเยี่ยมพระนัดดาน้อยเหมือนที่แล้วๆ มาเจ้าค่ะ รวมทั้งซักถามเรื่องราวของวันนี้ หลานเจาซิ่นบอกไปว่าแม่นมพาพระนัดดาน้อยออกไปรับลมด้านนอก นางในคนนั้นจึงรออยู่ในตำหนัก บ่าวจึงออกมาตามแม่นมให้พาพระนัดดากลับไปเจ้าค่ะ”
องค์รัชทายาทโบกชายแขนเสื้อไปมา พระพักตร์ไม่แสดงสีหน้าใด “อืม อุ้มกลับไปเถอะ”
แม่นมอุ้มทารกทูลลากลับไป
ศาลากลางน้ำพลันเงียบสงบลง อวิ๋นหว่านชิ่นหยั่งเชิง “ฮองเฮาใส่พระทัยพระนัดดาน้อยนัก ส่งคนมาถามไถ่อยู่ทุกวัน”
ไท่จื่อยิ้มเบาๆ เหม่อมองไปยังผิวน้ำประกายระยิบระยับด้านข้างศาลา นัยน์ตาปรากฏประกายเย็นเยียบที่มิอาจบรรยาย ช่างไม่สอดคล้องกับรอยยิ้มแม้แต่น้อย “ในเมื่อนางตัดสินใจตัดข้าทิ้ง ก็ต้องหาหมากตัวใหม่ขึ้นมา จะมีผู้ใดเหมาะสมมาเป็นหุ่นเชิดให้นางได้เท่ากับเด็กทารกที่ไม่รู้เรื่องราว ซ้ำสถานะของมารดาเด็กคนนี้ก็ต่ำต้อย” เอ่ยจบ ไม่ทราบเพราะสะเทือนใจหรือเดือดดาล ชายเสื้อโบกพัดถูกเข้ากับพิณ เสียงโฉ่งฉ่างดังขึ้นวุ่นวาย อึกทึกคึกโครมจนวิหคพากันแตกรัง
อีกทั้งทารกคนนี้ยังเป็นทายาทของไท่จื่อ หากไท่จื่อสิ้นพระชนม์ นางก็เสริมส่งให้เด็กคนนี้เป็นพระนัดดารัชทายาท ยามเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้และเหล่าขุนนางก็จะยิ่งมีความได้เปรียบ
ที่ส่งคนมาไถ่ถามถึงพระนัดดาน้อยที่ตงกงทุกวันนี้ ดูๆ แล้วเหมือนเป็นการใส่ใจหลานชายคนแรก แต่ความจริงแล้วทรงเห็นถึงประโยชน์ที่จะใช้เด็กคนนี้ก็เท่านั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นตระหนก แผนการของเจี่ยงฮองเฮาละเอียดรอบคอบกว่าที่นางคิดไว้นัก มิน่าไท่จื่อจึงทนรอให้ถึงคราวเสด็จขึ้นครองราชย์ก่อนแล้วค่อยจัดการกับฮองเฮาไม่ไหว ที่แท้ก็เพราะท่านโดนบีบคั้นจนหมดหนทางแล้วนี่เอง
นางพลันรู้สึกว่าหลายปีมานี้ไท่จื่ออยู่ในวังมีความผ่อนคลายไม่เท่าฉินอ๋อง
เมื่อยามเด็กฉินอ๋องโดนเจี่ยงซื่อวางยาพิษ ก็หาใช่เรื่องร้ายซะทีเดียวไม่ อย่างน้อยก็ได้ใช้โอกาสนี้นำกลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[1]มาใช้เพื่อออกจากวัง แล้วรอจังหวะลอบโจมตีในที่มืด
แต่ไท่จื่อกลับใส่หน้ากากเดินหน้าเข้าสู้จนไม่มีทางให้ถอยกลับ ถูกหอกดาบของผู้อื่นล้อมหน้าล้อมหลังทำการใดก็มิได้
นางอดไม่ได้จึงยื่นมือไปดึงมือที่วางอยู่บนพิณมาจับไว้ เสียงรบกวนรอบข้างต่างเงียบลงอย่างฉับพลัน
นางดึงมือไท่จื่อมาไว้ด้านข้าง กำลังจะชักมือกลับ กลับถูกไท่จื่อพลิกมือมากุมเอาไว้ในฝ่ามือ
นางตกใจจะชักมือออก ชายหนุ่มกลับเพิ่มแรงจับเอาไว้ให้แน่นขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย ไม่แจ่มชัดดั่งกาลก่อน “หากเรื่องครานี้ราบรื่น สมหวังดั่งใจข้า ภายหน้าชิ่นเอ๋อร์ก็มิต้องกลับจวนฉินอ๋องแล้ว อยู่ในวังนี้ต่อดีหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นยามนี้เริ่มไม่พอใจแล้ว ชักมืออย่างรุนแรง แต่กลับขยับไม่ได้แม้แต่น้อย แรงชายกับหญิงอย่างไรก็ต่างกันนัก จึงกัดฟันกรอด “ท่านดื่มสุราตอนฝึกพิณอีกแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดจึงกล่าวเหลวไหลเช่นนี้!”
“วันนี้ข้ามิได้ดื่ม ซ้ำข้ายังคอแข็งนัก ต่อให้เมามายเพียงใดแต่วาจาที่กล่าวออกไปนั้นล้วนมาจากใจทั้งสิ้น”
[1] กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ จากเรื่องสามก๊ก เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการรักษาไว้ซึ่งตามแบบแผนการจัดแนวรบในรูปแบบเดิม ให้แลดูสง่าและน่าเกรงขาม เป็นการหลอกล่อไม่ให้ศัตรูเกิดความสงสัย ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตี เมื่อรักษาแนวรบไว้เป็นตั้งมั่นแล้วจึงลอบถอยทัพอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังทหารให้หลบหลีกไป เป็นกลอุบายอำพรางการถอยทัพกลับนั่นเอง