ประโยคเดียวทำลายทางลงที่นางหยิบยื่นให้แก่ไท่จื่อจนสิ้น วันนี้บุรุษผู้นี้คงไม่สนใจหน้าตาอันใดแล้วกระมัง
หากพูดถึงการคบค้าสมาคมกันระหว่างชายหญิงแล้ว ไท่จื่อช่างรู้จักวิธีคว้าใจสตรียิ่งกว่าท่อนไม้ตายด้านอย่างฉินอ๋องเสียอีก
มู่หรงไท่ในชาติก่อนก็รู้จักทำให้สตรีมาชมชอบเช่นกัน แต่รายนั้นชอบใช้วาจาอ่อนหวานปานน้ำผึ้งที่เชื่อถือไม่ได้เสียส่วนใหญ่ ทว่าบุรุษตรงหน้าใช้เพียงหน้าตาอันหล่อเหลาก็สามารถดึงดูดคนให้ตกหลุมได้
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันขำทำลายบรรยากาศที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากจนพังครืน
ไท่จื่อสีหน้าเข้มขรึม “ขำอันใดกัน กว่าข้าจะสร้างบรรยากาศขึ้นมาได้เจ้าว่ามันง่ายนักหรือ! ข้าจะบอกอะไรให้นะอวิ๋นหว่านชิ่น เจ้าอย่าได้หวังว่าจะมาทำลายมันลงได้ ข้ามิใช่เจ้าสามหัวรั้นคนนั้นที่เจ้าจะหลอกได้ง่ายๆ!”
“ข้าขำละครรสนิยมต่ำที่น้องชายสามีใช้ยั่วยวนพี่สะใภ้ ท่านเล่นได้สมบทบาทยิ่ง” อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามผลักออกอย่างไม่ลดละ
ไท่จื่อกะพริบตา “ข้ามิได้แสดง ข้าจริงจัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงขำและโต้กลับอย่างไม่ปรานี “มิได้แสดง เช่นนั้นท่านคงป่วยแล้วกระมัง”
ไท่จื่อขมวดคิ้ว “ข้าจะป่วยได้อย่างไร”
“หากท่านจริงจังล่ะก็ ก่อนข้าออกเรือนเหตุใดมิกล่าวค้านอันใดออกมา มาพูดเอาป่านนี้ มิใช่ป่วยจะเรียกว่าอันใด ให้ข้าอยู่ที่วังต่อรึ ท่านมิกลัวจมน้ำลายคน แต่ข้ากลัวคนมาชี้หน้าด่าว่าหลายใจไร้ยางอายเจ้าค่ะ!” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดแทงใจ
เงียบไปหลายอึดใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นไท่จื่อพะว้าพะวังหน้าตา แต่ริมปากกลับปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง ยิ้มครานี้จริงจังต่างออกไป ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความอึดอัดใจไม่น้อย ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างฉับพลัน
ในที่สุดมือก็คลายออก
นางจึงรีบชักมือกลับ พลันได้ยินสุรเสียงกล่าวว่า “ข้าเคยสาบานกับตัวเองเมื่อตอนอายุสิบสองไว้ว่า หากยังสะสางเรื่องราวกับเจี่ยงซื่อมิได้ จะมิเอาของล้ำค่าไว้ข้างกายเด็ดขาด”
มีความจริงใจ ย่อมมีความผูกผัน ยามเผชิญหน้ากับเจี่ยงซื่อวันนั้น ยังต้องสวมหน้ากากไว้ เหตุใดไม่รีบเปิดเผยความจริงใจ เป็นขุนนางที่สองแขนสวมเสื้อโปร่งใสสะอาด[1] จะได้ไม่เป็นการทำร้ายตนเองและผู้อื่นเช่นนี้
มือของอวิ๋นหว่านชิ่นค้างอยู่กลางอากาศ
“พี่สะใภ้น้องชายสามีอันใดกัน ราชสำนักไม่มีเรื่องเช่นนี้ มีแต่ชนะเป็นราชา ผู้ใดกุมอำนาจไว้ในมือ ผู้นั้นออกสิทธิ์ออกเสียง หากวันใดข้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ จะมีใครกล้ามานินทาข้าได้ เพียงแค่เจ้ายินยอม ข้าก็มีวิธีที่จะถอดถอนตำแหน่งพระชายาฉินอ๋องของเจ้าออกได้อย่างใสสะอาด มิให้ใครมาว่าร้ายเจ้าได้แม้ครึ่งคำ” ไท่จื่ออมยิ้ม น้ำเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “ส่วนฉินอ๋องนั้น ข้าเห็นแก่หน้าเจ้า ก็อาจจะไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เขาได้เจ้าไปก่อนข้า”
ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ อวิ๋นหว่านชิ่นจุกอยู่ในลำคอ “ท่านเสียสติไปแล้วจริงๆ——”
พึ่งจะสิ้นเสียง ข้อมือนางก็ถูกเขาจับไว้แล้วดึงขึ้น
นางเบิกตาโต เห็นอีกฝ่ายโน้มกายมาข้างหน้า นางตอบสนองโดยการหลบถอย แต่โดนต้อนจนไปอยู่บนเก้าอี้
ยามไท่จื่อดีดพิณนั้นทรงใช้รูปแบบโบราณไม่เกล้าผม บัดนี้ผมดำเข้มสองข้างถูกลมจากทะเลสาบพัดปลิวปรกลงบนหน้าผากนางจนคันยุบยิบ
อาศัยจังหวะที่นางกำลังถอยหลัง มือข้างหนึ่งจับข้อมือสองข้างรวบไว้ แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะนางแทบจะเหมือนกับการถูกกักขัง ส่วนมืออีกข้างถลกผ้าคลุมนางขึ้น ขายาวที่งอขึ้นถูกกดทับไว้ ให้นางหมดโอกาสตอบโต้ทั้งช่วงบนและช่วงล่าง
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกกักตัวไว้บนเก้าอี้ริมน้ำ ท่าทางหยดย้อยพาใจคนให้คิดไปไกล
ระยะห่างระหว่างใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งข้อนิ้ว ปลายจมูกแทบจะแตะกันอยู่รอมร่อ
“ซย่าโหวซื่อจุน ท่านเสียสติไปแล้ว ที่สาธารณะเช่นนี้——”
แต่กลับเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยิน ซ้ำยังยิ้มให้กับกลิ่นลมหายใจหอมหวานของนางอีกด้วย มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับคางนาง “หืม หน้าแดงแล้วหรือ ท่าทางเหล่านี้ล้วนเป็นท่าปกติสำหรับสามีภรรยามิใช่หรือ หรือที่ห้องนอนพวกเจ้าแค่… เจ้าสามนี่นะ น่าเบื่อเสียจริง…”
อวิ๋นหว่านชิ่นทนไม่ไหวอีกต่อไป มือเท้าต่างขยับไม่ได้ งั้นใช้ปากให้เป็นประโยชน์ก็แล้วกัน นางถุยน้ำลายพร้อมกล่าว “เขาไม่โรคจิตเหมือนท่าน ปล่อยข้าได้แล้ว เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า!”
“หืม ชิ่นเอ๋อร์ลืมแล้วหรือ นี่คือตงกง” ไท่จื่อหันหน้าหลบน้ำลายนาง แล้วใช้นิ้วโป้งปาดน้ำลายออกจากแก้ม ขยับหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น เอ่ยด้วยเสียงทุ้มแหบพร่า “อย่าว่าแต่ไม่มีคนกล้าเข้ามาเลย ต่อให้ใครมาเห็นเข้าด้วยสภาพเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอันใดแม้สักครึ่งคำ”
พอได้แล้ว! อวิ๋นหว่านชิ่นคร้านจะมากความกับไท่จื่อแล้ว จึงคลายขาที่เกร็งลง อาศัยยามเขาคลายขาแล้วค่อยตอบโต้ แต่กลับรู้สึกถึงมือที่โอบเอวนางไว้ ปลายนิ้วไล้เกลี่ยไปตามสันหลังนางอย่างหยอกเย้า
นิ้วมืออีกฝ่ายนั้นทั้งแข็งแกร่งและมีกำลัง แกล้งเกลี่ยนิ้วเป็นวงกลมลงบนชุดแม่ชีสีครามของนาง พลันรู้สึกว่าสตรีตรงหน้ากำลังตัวสั่นเล็กน้อย
บุรุษที่มีประสบการณ์โชกโชนเช่นนี้จะสังเกตปฏิกิริยาเล็กๆ นี้ไม่ได้ได้อย่างไร
ดวงตาทอดมองนิ่ง ปรากฏแววชอบใจอย่างมั่นใจ ก้มหน้าลงไปข้างๆ หูนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าสามร่างกายไม่ดี พวกเจ้าไม่เคยเข้าหอร่วมเตียงกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจจนเกือบจะลืมไปว่านางกำลังอยู่ในท่าทางแบบใดและถูกเขาจับไว้กลางศาลาริมน้ำ จึงโพล่งไปว่า “ท่านพูดเหลวไหลอันใดกัน”
“ผ้าแดงพรหมจรรย์[2]ที่ส่งให้กับกองกิจการภายใน” ไท่จื่อพรูลม เสียงยิ่งกดต่ำ คำที่พูดออกมาทำอวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะเอาก้อนหินมาทุบให้สลบ ค่อยขุดหลุมฝังตัวเองลงไป “ข้าเคยให้คนแอบไปดูมา นั่นมิใช่เลือดพรหมจรรย์ของสตรี”
“ท่าน…ซย่าโหวซื่อจุน ท่านมันโรคจิต…” นางโกรธแทบจะหมดแรงแล้ว
เขาหัวเราะพลางชื่นชมสีหน้าอับอายของนางที่แดงกล่ำตั้งแต่หน้าผากยันใบหู “คนที่ชื่นชอบไม่ได้เอาไว้ข้างกาย แต่ได้เฝ้าดูตลอดนั้นนับว่าทำได้ จริงสิ ยังมีที่เจ้าใช้ในอารามฉางชิง…”
“คนบ้า!” อวิ๋นหว่านชิ่นรีบขัดจังหวะเขา เกรงว่าจะได้ยินเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดไม่เหมาะไม่ควรเข้าอีก
ไท่จื่อเหลือบมองนอกศาลาคราหนึ่ง เงาร่างที่อยู่ไม่ไกลดูเหมือนจะจากไปแล้วจึงลุกขึ้นพลางถอนใจ “ข้าก็อยากให้ตัวเองบ้าเช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะได้ทำเรื่องบ้าบอได้” ตรัสจบก็พยุงอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมา มองไปนอกศาลาอีกครั้ง กล่าวเป็นนัย “เอาล่ะ ไปแล้ว”
นางสูดหายใจหลายเฮือก
ตอนถูกอีกฝ่ายกักอยู่บนเก้าอี้ ตอนที่เขาขยับมาเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูนางครั้งแรกนั้น อวิ่นหวานชิ่นก็รู้แล้วว่าเจี่ยงอวี๋อยู่ข้างนอก จึงกัดฟันทนเล่นละครไปกับเขาด้วย
หลายวันมานี้เจี่ยงอวี๋มักจะไปฟ้องเจี่ยงฮองเฮาอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งกลับไม่ได้รับการจัดการที่น่าพอใจ จึงกลับตงกงมาระบายอารมณ์ยกใหญ่ คาดว่าความแค้นคงกลัดแน่นอยู่เต็มอก
ครานี้มาเห็นฉากกระเซ้าเย้าแหย่เข้า ย่อมได้รับแรงกระตุ้นขึ้นอีกไม่น้อย คงไปร้องห่มร้องไห้ทูลฟ้องเจี่ยงฮองเฮาอีกเป็นแน่ หากเจี่ยงฮองเฮายังคงมิจัดการอันใด ความไม่พอใจของเจี่ยงอวี๋ที่มีต่อฮองเฮาก็จะยิ่งมากขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรรอยร้าวของสองคนป้าหลานคู่นี้จะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
แน่นอนว่าอาศัยแค่วิธีนี้อย่างเดียวไม่พอ
ไท่จื่อเห็นนางยังคงนั่งบนเก้าอี้หายใจฮึดฮัดอยู่ก็ยิ้มตาหยี “เป็นอันใดหรือ ข้ารินชามาดับอารมณ์ร้อนให้เจ้าดีหรือไม่” กล่าวจบก็ยกกามาเทชาลงครึ่งถ้วย ดันไปข้างมือนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นหลุดจากภวังค์ “ที่ท่านเอ่ยมาเมื่อครู่นั้นจริงหรือเท็จ”
ไท่จื่อแกล้งงง “เรื่องไหน”
“ผ้าแดงพรหมจรรย์…” ไอ้โรคจิตนี่ ต่อให้ไม่ถามนางก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องนี้จริงๆ
[1] สองแขนสวมเสื้อโปร่งใสสะอาด ขุนนางที่มือสะอาด ไม่ทุจริตคดโกง
[2] ผ้าแดงพรหมจรรย์ ผ้าที่ใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าสาวในวันเข้าหอ