ไท่จื่อยืนขึ้น เอ่ยบ่ายเบี่ยงว่า “ข้าไปดูเซี่ยวเอ๋อร์ที่หลานเจาซวิ่นทางนั้นสักหน่อย เพลานี้แม่ชีอารามฉางชิงคงจะเสร็จงานกันแล้ว เจ้าก็ไปได้แล้ว”
เสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น ถ้วยใบหนึ่งลอยไปทางไท่จื่ออย่างแรง แต่เขากลับหลบได้
อีกด้านหนึ่ง เจี่ยงอวี๋ได้ยินว่าวันนี้อวิ๋นหว่านชิ่นถูกเรียกเข้าเฝ้าที่ศาลาริมน้ำ ก็อยู่ไม่สุขเหมือนที่แล้วๆ มา จึงพาสาวรับใช้ไปที่นั่น
แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปต่อหน้าทั้งคู่อย่างคราก่อนอีก
นางจึงทำเพียงแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้นอกศาลา เห็นทั้งคู่หยอกเล่นกับลูกของหลานเจาซวิ่นก่อน ดูแล้วเหมือนครอบครัวสุขสันต์ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไป จากนั้นยังมาเห็นแม่นมอุ้มหลานน้อยออกไปเหลือเพียงแค่ทั้งคู่อยู่กันสองต่อสอง ก็ยิ่งกำหมัดไว้แน่น
จนมาเห็นทั้งคู่ทำท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกัน เจี่ยงอวี๋โมโหอกแทบระเบิด หากไม่ได้สาวรับใช้มาขวางไว้ก็คงจะตีฆ้องร้องป่าวให้คนมาดูด้วยแล้ว ยังดีที่ถูกสาวรับใช้ลากออกมาเสียก่อน
เดินไปได้ครึ่งทางเจี่ยงอวี๋ยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งเห็นมาเมื่อครู่ ลูบอกไปมา เดินไปไม่เท่าไรก็หันกลับ “ไม่ได้! ข้าต้องเรียกคนมาดูท่าทางของนังพระชายาฉิงอ๋องที่ยั่วยวนไท่จื่อ! จะเดินออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ยิ่งเป็นการให้โอกาสนางมิใช่หรือ!”
สาวรับใช้ทั้งดึงทั้งขวางนาง “ไอ้หยา นายหญิงเจ้าคะ หากท่านทำเช่นนั้น ชื่อเสียงของพระชายาจะมิได้เสียไปแต่เพียงผู้เดียวนะเจ้าคะ ไท่จื่อก็จะเสื่อมเสียไปด้วย เช่นนั้นแล้วไท่จื่อจะมิทรงกริ้วท่านหรือ อีกทั้งเมื่อครู่เราก็เห็นชัดๆ ว่าท่าทางของทั้งคู่เช่นนั้นมิดูเหมือนพระชายายั่วยวนไท่จื่อแต่เหมือนเป็นไท่จื่อเองที่——”
ใช่ เหมือนเป็นไท่จื่อเองที่จับกดนาง! แต่มันต่างอะไรกันล่ะ! อย่างไรเสียความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ใช้น้ำล้างไม่สะอาด[1]! สตรีที่มีสามีแล้วยังมาใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชายรัชทายาทเช่นนี้อีก!
เจี่ยงอวี๋จะเรียกคนมาจับชู้ก็ทำไม่ได้ ซ้ำวิ่งเข้าไประบายความโกรธแค้นก็ไม่ได้ เก็บความแค้นนี้กลับไปด้วยจนอัดอั้นใจตายก็ยิ่งไม่ได้ มือดึงสาวใช้เดินตึงตังไปตำหนักเฟิงจ๋าอีกครั้ง
เจี่ยงฮองเฮากำลังชิมชาขาวบรรณาการที่ถวายโดยเจ้าหน้าที่จากทางใต้ กลับได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกๆ จากหลานสาวลอยมา คิ้วพลันขมวดมุ่นไล่นางกำนัลให้ออกไป แล้วตรัสถาม “เป็นอันใดมาอีกแล้ว”
ทำหน้าทำตาเหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลายทุกครั้งที่เจอเรื่องราวเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ยังอยากจะเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท พระนางดึงดันส่งเสริมหลานคนนี้ให้ขึ้นเป็นพระชายาสมดังใจ ทนไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องโดนคนเตะลงมาแน่
ตรองแล้วก็หมดอารมณ์จะดื่มชาต่อ หากยามนั้นตระกูลเจี่ยงมีเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนที่ฉลาดปราดเปรื่องและมีน้ำอดน้ำทนกว่านี้ล่ะก็ พระนางก็คงไม่เลือกหลานสาวไร้ความสามารถเช่นนี้แน่
เจี่ยงอวี๋ยามนี้โมโหเลือดขึ้นหน้า ไม่ทันสัมผัสถึงความไม่พอพระทัยของกูกู คุกเข่าลงน้ำหูน้ำตานอง กล่าวอย่างโมโหและเอาแต่ใจ “กูกู หลายคราก่อนท่านบอกข้าว่า ถ้าข้าจับมิได้คาหนังคาเขาก็ซี้ซั้วพูดเรื่องไท่จื่อกับพระชายาฉินอ๋องไม่ได้ใช่หรือไม่ วันนี้ข้าจับได้แล้ว!”
จอกชาในมือเจี่ยงฮองเฮากระทบถาด “เป็นอย่างไร”
“วันนี้ข้าอยู่นอกศาลาเห็นกับตาว่าไท่จื่อกับพระชายาฉินอ๋อง——” เจี่ยงอวี๋หน้าแดงกล่ำ ฟันขาวกัดกรอดตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ไท่จื่อกอดพระชายาฉินอ๋องอยู่บนเก้าอี้ที่ศาลาริมน้ำ ใกล้ชิดกันอย่างมาก——”
หึ ไท่จื่อมีใจแก่พระชายาฉินอ๋องจริงๆ
เพียงแต่นิสัยของอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ใช่จะเสียสติทำเรื่องเช่นนั้นได้ เจี่ยงฮองเฮาหรี่ตาลง “ท่าทางของพระชายาฉินอ๋องยินยอมหรือ”
เจี่ยงอวี๋นิ่งอึ้ง “กูกูหมายความว่าอย่างไร พระชายาฉินอ๋องนางก็อยากรีบร้อนไต่เต้าเหมือนกันนะเพคะ อีกฝ่ายเป็นถึงไท่จื่ออนาคตฮ่องเต้องค์ต่อไป สวามีนางยังต้องทำความเคารพกราบไหว้ นางจะมิยินยอมอิงแอบเข้าสู่อ้อมอกได้อย่างไร——”
“พูดความจริงมา!” น้ำเสียงตะคอกดุดัน
เจี่ยงอวี๋อ้ำอึ้งเขิลกล่าว “ดูเหมือนจะมิเต็มใจเท่าใดนักเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮามุมโอษฐ์ยกขึ้น ราวกับกล่าวกับตัวเองว่า “นั่นก็แสดงว่าเป็นไท่จื่อที่เรียกพระชายาฉินอ๋องไปทำงานที่ตงกง แต่กลับอาศัยโอกาสที่ศาลาริมน้ำไร้ผู้คน เย้าหยอกรังแกนาง”
เจี่ยงอวี๋ส่งเสียงฮึ่มไม่พอใจ “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง”
เจี่ยงฮองเฮายิ้มเบาๆ “ดี เจ้ากลับไปเถิด”
กลับไป เจี่ยงอวี๋ลุกขึ้น “กูกู จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้อีกหรือเพคะ! ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ายังมิจับได้คาหนังคาเขาก็พูดอะไรมากมิได้ ครานี้ข้าเห็นมากับตา กูกูยังยอมให้นางเข้าออกตงกงเช้าค่ำเช่นนี้อีกหรือเพคะ”
“กลับไป” สุรเสียงเข้มขึ้นอีก
เจี่ยงอวี๋คุ้นชินกับนิสัยของกูกูดี รู้ว่าน้ำเสียงเช่นนี้เป็นความสงบก่อนพายุจะมา จึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ กลับน้ำตาไหลพราก กระทืบเท้าตึงตังด้วยความโมโหกลับไปด้วยความน้อยใจและเคียดแค้น
รอจนเจี่ยงอวี๋ออกไปแล้ว เจี่ยงฮองเฮาก็เอ่ยเรียกไป๋ซิ่วฮุ่ยให้เปิดม่านเข้ามา
“คำพูดเหลียงตี้เมื่อครู่ เจ้าได้ยินชัดแจ้งใช่หรือไม่” เจี่ยงฮองเฮายกถ้วยชาขึ้นมาใหม่ กลิ่นหอมของชาลอยแตะจมูกทำให้มีอารมณ์ชิมชาขึ้นมาอีกครั้ง
“บ่าวได้ยินชัดเจนเพคะ” ไป๋ซิ่วฮุ่ยฉงน รู้ว่าเหนียงเหนียงมีแผนการ
“ปล่อยข่าวกับบ่าวรับใช้ในตงกงให้ลอยไปถึงจวนฉินอ๋องทางนั้น”
ในที่สุดงานเลี้ยงฉลองพระชนม์ของเจี่ยงฮองเฮาก็มาถึง
เนื่องจากพระอาการประชวรของหนิงซีฮ่องเต้ยังมิหายดี จึงรั้งอยู่ที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนมิได้มาร่วมงาน แต่ทรงออกราชโองการให้ผู้รับผิดชอบเป็นแม่งานใหญ่อย่างฉินอ๋อง เยี่ยนอ๋อง ชาววังแต่ละตำหนักและกรมธรรมการให้อย่าได้ละเลยเฉยชา ระเบียบพิธีการ และลำดับงานให้จัดเรียงตามอย่างงานฉลองพระชนมพรรษาของพระองค์ทุกอย่าง
งานเลี้ยงครานี้นอกจากจะเชิญขุนนางที่มีชื่อเสียงและบรรดาตระกูลใหญ่ๆ ของเยี่ยจิงมาแล้ว ยังมีเหล่าคุณชายคุณหนูจากครอบครัวที่ร่ำรวย รวมถึงราชทูตจากต่างเมืองมาเข้าร่วมอีกด้วย เพื่อให้บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของฮองเฮางดงามเจริญตา อุ่นหนาฝาคั่ง คึกคักยิ่งขึ้น
พอราชโองการรับสั่งออกไป ก็เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับวันฉลองพระชนมพรรษาฮองเฮาอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้คนจึงไม่มีใครกล้าเพิกเฉย
เช้าตรู่ของวันงาน อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นไวกว่าเดิมครึ่งชั่วยาม[2] ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
ทางตงกงได้มีคำสั่งล่วงหน้าว่า วันนี้ให้นางกับแม่ชีอารามฉางชิงอีกสองสามท่านไปช่วยงานดังเดิม และคอยผลัดเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงอยู่หลังเวที
แม้จะให้ช่วยผลัดเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้แสดงอยู่หลังเวที แต่ก็มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ
งานเลี้ยงวันนี้จะมีเหล่าบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังมิได้ออกเรือนมาเข้าร่วมมากมาย
คุณหนูเหล่านี้ทุกครั้งเมื่อได้เข้าวังส่วนใหญ่ก็เพื่อที่จะได้ตำแหน่งพระชายาแห่งไท่จื่อไปครอง การเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของฮองเฮาคือโอกาสที่ดียิ่ง จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด
วันนี้เป็นโอกาสที่เหมาะนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นมวยผมเรียบร้อยก็ออกจากอารามฉางชิงไปกับเหล่าแม่ชีคนอื่นๆ
งานเลี้ยงครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ตำหนักจินหวาซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองของพระราชวังโดยเฉพาะ
ประตูเจิ้งหยางเปิดออกตั้งแต่เช้า บรรดาทูตและขุนนางที่มาร่วมงานต่างพาบุตรสาวหลานสาวในตระกูลมากันด้วย ลงจากม้าตั้งแต่หน้าประตู จากนั้นก็ตามคนนำทางจากวังเดินเข้าสู่เขตพระราชวังไปจนถึงตำหนักจินหวา
ตำแหน่งการนั่งของแขกในตำหนักจินหวานั้น บุรุษนั่งด้านนอก กั้นด้วยผ้าม่านบางๆ ชั้นหนึ่ง ด้านในจึงเป็นที่นั่งของเหล่าสตรี
ลานกว้างด้านนอกตำหนักนั้นปูด้วยพรมแดง ตรงกลางมีเวทีสี่เหลี่ยมตั้งตระหง่าน เป็นที่ที่ใช้สำหรับการแสดงถวายพระพรแก่ฮองเฮา
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเหล่าแม่ชีมายังเรือนด้านข้างของตำหนักจินหวาก่อน เพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้แสดง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังเข้ามาจากด้านนอกก็รู้ได้ว่าบรรดาแขกได้มาถึงกันล่วงหน้าแล้ว ทักทายกับเหล่าแม่ชีเสร็จก็เดินออกไปคนเดียว
ในตำหนักจินหวายามนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อเนืองแน่นจนแทบจะไม่มีที่นั่ง เสียงก็ดังคึกคัก
ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ที่งานจะเริ่มขึ้น เจี่ยงฮองเฮายังไม่เสด็จ ในช่วงเวลานี้จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด นางกำนัลในวังยกชาชั้นดีของพระราชวังมาให้แก่ขุนนางที่นั่งอยู่ตามตำแหน่งของตัวเอง ต่างดื่มชาพลางหัวเราะพูดคุยกันไป
[1] ใช้น้ำล้างไม่สะอาด ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
[2] ครึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วโมง