ตอนที่ 256 สวัสดีปีใหม่

เสียงประทัดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ดังขึ้น เป็นการข้ามปีอีกหนึ่งปีแล้ว ปีใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ปีนี้ข้ามปีกันด้วยความร่ำรวยอู้ฟู่กว่าปีที่แล้ว!

หลังจากผ่านช่วงปีใหม่ก็เหมือนกับปีที่ผ่านมา เดินทางไปสวัสดีปีใหม่ เยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ ใช้เวลาเพื่อพักผ่อน เพราะหลังจากวันที่สิบห้าของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติผ่านพ้นไป ก็ต้องตอกบัตรเข้างาน การทำงานหนักก็จะเริ่มต้นขึ้น

เมื่อถึงวันที่สองของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวต่างก็กลับมาไหว้พ่อแม่ที่บ้าน คุณแม่จ้าวสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาต้อนรับถึงหน้าบ้าน ครั้นลูกสาวทั้งสองได้เห็นคุณแม่จ้าวก็รู้สึกประหลาดใจมาก

“แม่ ไปตัดชุดนี้จากที่ไหนคะเนี่ย สวยขนาดนี้เลย!” พี่สาวห้าจ้าวกวาดตาสำรวจพลางกล่าว

พวกเด็ก ๆ ก็เข้ามาห้อมล้อมพร้อมกับส่งเสียง “คุณยายสวยจังเลย!”

คุณแม่จ้าวถึงกับรู้สึกเคอะเขิน “ฉูฉู่เป็นคนตัดให้แม่เอง นี่เป็นชุดที่ออกแบบให้แม่โดยเฉพาะเลยนะ รีบเข้าบ้านเถอะ!”

พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ฉูฉู่มีทักษะแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย สุดยอดจริง ๆ!”

ลูกเขยทั้งสองคนแม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเสื้อผ้า แต่ก็รู้สึกได้ว่าชุดของคุณแม่จ้าวตัวนี้ทำออกมาได้สวยทีเดียว

“คิดไม่ถึงเลยนะว่าฉูฉู่จะมีความสามารถกับเขาด้วย ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลย!” พี่เขยใหญ่กล่าว

พี่เขยห้ากล่าว “ไม่ได้เจอกันไม่กี่วันเก่งขึ้นเป็นกองเลย!”

ทางฝั่งนี้พี่เขยกับภรรยาของน้องเขยพูดคุยแซวกันได้ ดังนั้นพี่เขยทั้งสองจึงพูดแบบนี้

คุณพ่อจ้าว “แม่ของพวกเธอแก่จะตายแล้วยังรักสวยรักงามอีก”

คุณแม่จ้าวแค่นเสียงเหอะ “ก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้คุณอยากหล่อสักหน่อย”

“ไม่ได้หรอก ผมหล่อไม่ไหวแล้ว” คุณพ่อจ้าวพูดด้วยท่าทางจริงจังอย่างมาก

พวกลูกสาวและลูกเขยต่างก็พากันขบขัน หลาน ๆ ก็หัวเราะไปด้วย

“เจ้าสี่ล่ะคะ? ในห้องไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวอะไรเลย?” เมื่อเข้ามาในบ้าน พี่สาวใหญ่จ้าวจึงเอ่ยถาม

“บ้านนั้นกลับไปเยี่ยมบ้านแม่ยายแล้ว” คุณแม่จ้าวไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “อากาศหนาวขนาดนี้ยังกระเตงลูกออกไปอีก คงได้เป็นหวัดแน่! ปีที่แล้วก็ไม่เห็นว่ายัยนั่นจะเป็นคนดีขนาดนี้ ปีนี้ดันอยากกลับบ้าน ได้เงินมานิดหน่อยคงไม่รู้จะเอาไปทำอะไรมั้ง!”

พี่สาวใหญ่จ้าวรีบพูด “แม่ ดูแม่พูดเข้าสิ พวกเรายังกลับมาสวัสดีปีใหม่เลย น้องสะใภ้กลับไปสวัสดีปีใหม่ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะ?”

คุณแม่จ้าวบุ้ยปาก “พ่อแม่แบบนั้น สวัสดีไปก็เปล่าประโยชน์!”

“แม่ ต่อให้เป็นคนนิสัยไม่ดีมากกว่านี้ก็เป็นพ่อแม่แท้ ๆ นะคะ แม่อย่าพูดแบบนี้สิ” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว

“ฉันจะบอกอะไรให้ฟัง ยัยนั่นอยากจะกลับไปหรือเปล่าก็เรื่องของหล่อน แม่แค่เป็นห่วงหลาน ตัวเล็กแค่นั้นคงทรมานแย่ เธอดูอย่างฉูฉู่สิ แค่ไม่กี่ก้าว ฉูฉู่ยังไม่กลับไปเลย” คุณแม่จ้าวกล่าว

“แม่ของฉูฉู่อยู่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอคะ กลับไปก็เป็นภาระพี่สะใภ้เปล่า ๆ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “สู้ไม่กลับไปยังจะดีเสียกว่า”

“เหวินเทาล่ะคะ?” พี่สาวห้าจ้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เหวินเทายังยุ่งอยู่กับที่ดินอยู่เลย เขาซื้อที่ดินตรงภูเขาป้านลา เอาไว้เลี้ยงกระต่าย นี่เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว น้ำแข็งก็ละลายแล้วด้วย ก็เลยต้องสร้างรังให้กระต่าย แถมยังต้องปูหญ้าให้กระต่ายด้วยนะ หลายเรื่องเลยแหละ!” คุณแม่จ้าวชงน้ำชายกมาเสิร์ฟบนเตียงเตา “ปีนี้เจ้ารอง เจ้าสาม แล้วก็เจ้าสี่กลับไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายกันหมด สัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในบ้านก็ต้องให้พ่อของพวกเธอเป็นคนดูแลให้ อีกเดี๋ยวพวกเราที่เหลือมากินเกี๊ยวกันนะ”

“คุณยาย ปีที่แล้วก็กินเกี๊ยวแล้ว ไม่ว่าจะมีแค่พวกเราหรือมีคนอื่น คุณยายก็ยังกินแต่เกี๊ยว!”

“ใช่ มาบ้านคุณยายก็ได้กินแต่เกี๊ยว!”

“คุณยายชอบห่อเกี๊ยวที่สุด!”

พวกเด็ก ๆ ส่งเสียงตะโกน

พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวตำหนิ ได้รับประทานเกี๊ยวแล้วยังไม่พอใจกันอีก ตอนที่พวกหล่อนเป็นเด็กอย่าว่าแต่เกี๊ยวเลย แม้แต่ซุปเกี๊ยวก็ยังไม่มีให้ซด!

พวกเด็ก ๆ ไม่กล้าคัดค้าน จึงวิ่งออกไปข้างนอก

นี่ก็มากันหลายครั้งแล้ว พวกเขาคุ้นชินกับด้านในหมู่บ้านมาก พวกผู้ใหญ่ต่างก็ไม่ได้เป็นกังวล

“แม่ ขึ้นมาบนเตียงก่อนเถอะค่ะ นี่ยังเช้าอยู่เลย พวกเรามีคนห่อเกี๊ยวเยอะขนาดนี้ แป๊บเดียวก็ห่อเสร็จแล้ว” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว

คุณแม่จ้าวมองดูเวลา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่า “ปีนี้พวกเธอกลับมาเร็วนะ”

“พวกเราตั้งใจตื่นเช้าเป็นพิเศษน่ะค่ะ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “จะได้ไม่ต้องรีบร้อนด้วย”

ทางฝั่งคุณพ่อจ้าวก็ถามลูกเขยทั้งสองเกี่ยวกับตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ “ชนบทแยกกันทำงานมาปีหนึ่งแล้ว การเก็บเกี่ยวก็มากกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่า ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็ลงนากันแบบโง่เขลา ตอนนี้ไม่มีใครโดนหลอกแล้ว แทบอยากจะดูแลทุ่งนาให้งอกงาม!”

พี่เขยใหญ่กล่าว “พอได้ออกมาทำงานกันเอง พลังบวกก็เพิ่มขึ้นเลย การเปลี่ยนแปลงก็ต้องมากอยู่แล้ว พวกเราก็อยู่อย่างนั้นแหละครับ ไม่ได้ต่างอะไรกับปีที่แล้ว เพียงแต่สวัสดิการช่วงข้ามปีมากกว่าปีที่แล้วนิดหน่อย”

พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้ได้ข้าวมาห้าสิบชั่ง ฉันเอากลับมาสิบชั่ง พ่อกับแม่ชิมดูนะ”

“ดูแกสิ ข้าวแค่นี้ยังต้องลำบากขนกลับมาทำไม พวกแกมีกันตั้งหลายคน เก็บไว้กินเองเถอะ” คุณแม่จ้าวกล่าว

“แม่ พวกเรายังมีเหลืออยู่ ข้าวเป็นของที่หากินได้ยากเลยนะคะ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว

คุณพ่อจ้าวถามถึงชีวิตหนึ่งปีที่ผ่านมาของพี่เขยห้า

พี่เขยห้ากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ผมก็เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ในหนึ่งปีออกไปข้างนอกก็ปาไปครึ่งปีแล้ว รายได้มากขึ้นนิดหน่อย แต่ในบ้านผมก็แทบไม่ได้ดูแลอะไรเลย”

“ได้เงินกลับมาก็ดีแล้ว คุณไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก” พี่สาวห้าจ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม

พี่เขยห้าจงใจพูด “พ่อกับแม่ฟังสิ นี่ถ้าไม่ได้เงินกลับมาคงไม่ยอมให้ผมกลับบ้านแล้ว”

พี่สาวห้าจ้าว “ทำไมจะไม่ได้เงินกลับมาล่ะ คุณเป็นผู้ชายจะไม่เลี้ยงดูครอบครัวเหรอ”

หลังจากพูดคุยสนุกสนานครู่หนึ่ง คุณแม่จ้าวก็ลงจากเตียงไปจัดการกับไส้และแผ่นแป้งเพื่อเตรียมห่อเกี๊ยว

“แม่ ชุดที่แม่ใส่สวยขนาดนี้ จะไปทำงานได้ไงคะ ให้พวกฉันห่อเถอะ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว

“นั่นสิคะแม่ ชุดแบบนี้ถ้าสกปรกขึ้นมาคงปวดใจแย่เลย” พี่สาวห้าจ้าวเดินตามมาพร้อมกับแย้มยิ้ม

คุณแม่จ้าวรัดผ้ากันเปื้อน “พวกแกจ้องตาเป็นมันแล้วมั้ง ถ้าจ้องตาเป็นมันขนาดนี้ก็บอกให้ฉูฉู่ตัดให้คนละตัวสิ ฉูฉู่เป็นคนออกแบบเสื้อผ้านะ การออกแบบก็สวยด้วย หล่อนร่วมมือกับพี่สะใภ้สามเย่ขายเสื้อผ้ากัน ขายได้เงินมาไม่น้อยเลย”

ภายในใจของคุณแม่จ้าว ลูกสาวย่อมไม่ใช่คนนอก จึงพูดอย่างไม่ปิดบัง นางเล่าให้พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวฟังว่าเย่ฉูฉู่ได้เงินก้อนโตมาจากการออกแบบเสื้อผ้า ทั้งยังเป็นตัวเลขที่สูงลิ่วเลย!

“นี่ได้เยอะกว่าเงินเก็บหลายปีมานี้ของพวกเราอีกนะ” พี่สาวห้าจ้าวพึมพำอยู่นาน “ฉูฉู่ก็สุดยอดเกินไปแล้ว”

คุณแม่จ้าวพูดอย่างภาคภูมิใจ “เหวินเทาเด็กคนนี้เกิดมาไม่ธรรมดาเลย ตั้งแต่เด็กจนโตก็โชคดีกว่าคนอื่น ถ้าให้แม่พูดนะ โชคที่ดีที่สุดของเขาคงเป็นเรื่องที่ได้แต่งงานกับฉูฉู่นี่แหละ เขาว่ากันว่าผู้หญิงกลัวแต่งงานผิดคน อันที่จริงการที่ผู้ชายได้แต่งงานกับภรรยาเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าอีก แต่งงานกับคนดี ๆ ก็เป็นประโยชน์ไปสามชั่วอายุคน!”

พี่สาวใหญ่จ้าวหัวเราะ “ชุดใหม่ของแม่ไม่เสียเปล่าเลยนะคะ เหตุผลมาเป็นชุดเลย ”

คุณแม่จ้าวกลอกตา “พวกแกสองคนคงมองตาเป็นมันแล้วสินะ?”

พี่สาวใหญ่จ้าวหยิบต้นหอมหนึ่งกำมือใส่ลงไปในกะละมังพลางกล่าว “ไม่ใช่มองชุดตาเป็นมันสักหน่อยค่ะ แต่การที่ได้เงินมากขนาดนี้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ใครจะไม่มองตาเป็นมันบ้างล่ะ!”

พี่สาวใหญ่จ้าวเตรียมแป้งพลางพูดว่า “ไม่ต้องออกไปตากลมตากฝนเลย ทำไมฉันไม่ได้ทำเรื่องดี ๆ แบบนี้บ้างนะ!”

“ก็ต้องมีความสามารถถึงจะมีเรื่องดี ๆ” คุณแม่จ้าวกล่าว “ฉูฉู่เด็กคนนี้ทั้งกตัญญูทั้งมีความสามารถ”

“พอเถอะค่ะแม่ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าฉูฉู่คือลูกสาวแท้ ๆ ของแม่นะ!” พี่สาวห้าจ้าวแอบรู้สึกหวง

คุณแม่จ้าวล้างผักดองเค็มและหั่นเป็นเส้น ๆ อย่างกระฉับกระเฉง ปากก็พูดไปว่า “ฉูฉู่ไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ แต่ก็ดีกว่าลูกสาวแท้ ๆ นะ!”

พี่สาวห้าจ้าวและพี่สาวใหญ่จ้าวหันสบตากันและส่ายหน้า พี่สาวใหญ่จ้าวถาม “ฉูฉู่ออกแบบเสื้อผ้าได้เงินพวกนี้มา งั้นพี่สะใภ้สามของหล่อนก็ต้องได้เยอะกว่านี้อีกสินะ?”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ถึงยังไงพี่สะใภ้สามคนนั้นก็ค้าขายอยู่ที่เมืองหลวงนะ” คุณแม่จ้าวพูดพลางถอนหายใจ “โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนคนในเมืองยังกินกันไม่อิ่มท้องเลย ต่างก็มาที่ชนบทเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวแลกเปลี่ยนแป้ง ตอนนี้ซื้อเสื้อผ้าแพง ๆ แบบนี้ได้แล้ว แล้วดูชนบทของพวกเราสิ ยังเหมือนเดิมอยู่เลย นี่ก็แบ่งที่ดินกันแล้ว การเก็บเกี่ยวเพิ่งจะดีขึ้นนิดหน่อย นี่ถ้ายังไม่แบ่งที่ดิน แม้แต่ข้าวก็ยังกินกันไม่อิ่ม!”

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ทางฝั่งฉูฉู่เองก็พัฒนาไปไม่ด้อยกว่าเหวินเทาเลยค่ะ เริดทั้งสามีภรรยาเลย

ไหหม่า(海馬)