ตอนที่ 398 เซ่นไหว้
ผู้คนที่เดินไปมาบนถนนต่างก็จับตามองไปที่รถม้าของจวนอ๋องมู่เพราะได้ยินว่าพระชายามาเป็นเพื่อนนางสนมเพื่อไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษของอีกฝ่าย ช่างเป็นคนดียิ่งนัก
“พระชายามู่ ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงามหาได้ยากยิ่ง ! ”
“ใช่แล้ว ได้ชายาที่ดีเช่นนี้ถือเป็นโชคดีของท่านอ๋องมู่ ! ”
ผู้คนตามถนนกล่าวชื่นชมอันหลิงเกอถ้วนหน้า แต่ตัวนางที่อยู่บนรถม้ามิได้ใส่ใจเลย
คนที่อยู่ในรถม้าคันหลังก็คือฟางซู่ซู่ อันหลิงเกอลูบที่หน้าอกของตนเพราะตอนนี้อาการของนางยังปลอดภัยอยู่ นางจำที่ปี้เถาบอกได้ว่าหากเดือนนี้มิสามารถนำหนอนกู่ออกมา นางต้องได้รับความทรมานที่ยากทานทนอีกหนึ่งครั้ง
ตอนนี้ก็ผ่านมาได้สักพักแล้ว นางต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด !
“พระชายา ถึงแล้วเจ้าค่ะ” ปี้จูกระซิบเสียงเบา
“อืม” อันหลิงเกอเตรียมพร้อมไว้แล้ว นางรู้ว่าการเดินทางมาในครั้งนี้อันตรายยิ่งนักเพราะเหล่านักฆ่าของแคว้นชิงเยว่ก็มีความสามารถในการควบคุมพิษหนอนกู่เช่นกัน
แต่หากมิเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แล้วนางจักสืบหาวิธีแก้ไขได้เยี่ยงไร ?
“พระชายา ขอพระชายาได้โปรดเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของซู่ซู่ด้วยเจ้าค่ะ” ฟางซู่ซู่ยังมิรู้ว่าอันหลิงเกอทราบเรื่องพิษหนอนกู่แล้วจึงแสร้งทำท่าทีหวาดกลัวคนของแคว้นชิงเยว่
“เจ้าวางใจเถิด ข้ามิคิดทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว” ท่าทางของอันหลิงเกอดูแปลกไป นางมิเคยคิดทำร้ายฟางซู่ซู่จริง ๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องการให้นางถึงแก่ความตาย
“ขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”
เมื่อเดินตามฟางซู่ซู่เข้าไปบริเวณสุสานที่อยู่ในป่า ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอันตราย
ดีที่มีชิงเฟิงอยู่ข้างกายและองครักษ์เงาของตนก็กระจายอยู่โดยรอบ จิตใจของอันหลิงเกอจึงค่อยสงบลง
อาศัยแค่นักฆ่ามิกี่คน หากต้องการสังหารฟางซู่ซู่ย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่บัดนี้อันหลิงเกอพาองครักษ์ในจวนมาด้วย อย่างน้อยอีกฝ่ายมาแล้วก็คงมิอาจกลับไปอย่างแน่นอน
“ท่านปู่เจ้าคะ ท่านอ๋องดีกับหลานมาก ท่านปูมิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
ฟางซู่ซู่กำลังเซ่นไหว้หลุมศพอยู่มิไกล ภายในป่าก็เกิดเสียงบางอย่างขึ้นมา
ฟางซู่ซู่ยังมิทันรู้ตัวก็มีร่างคนผู้หนึ่งปรากฏตรงหน้าของนางแล้ว
“ชิงเฟิง ! ” อันหลิงเกอเห็นคนผู้นั้นก็รีบสั่งให้องครักษ์จวนอ๋องปรากฏตัวออกมาทันที แต่นางยังมิได้เรียกองครักษ์เงาออกมาในตอนนี้
เพราะองครักษ์เงากระจายไปโดยรอบเพื่อตามจับปลาที่หลุดออกจากแหของนาง
ฟางซู่ซู่ย่อมคาดมิถึงว่าครั้งนี้อันหลิงเกอจักใช้นางเป็นเหยื่อล่อ
“พระชายา พวกเรา พวกเรารีบกลับกันเถิดเจ้าค่ะ” ฟางซู่ซู่เห็นคนกำลังต่อสู้กันอยู่ก็อยากหนีไปทันที มิว่าอย่างไรชีวิตย่อมสำคัญที่สุด
“ส่งนายหญิงฟางกลับจวน ! ” อันหลิงเกอกล่าวออกมา แต่ตนยังยืนอยู่ที่เดิมมิไปไหน
ส่วนฟางซู่ซู่มิมีเวลามาคิดอันใดให้มากความ หลังจากขึ้นรถม้าก็มีองครักษ์คอยคุ้มกันและส่งนางกลับจวนอ๋องมู่ทันที
“พระชายา จับได้ 3 คนขอรับ ! ” ชิงเฟิงเข้ามารายงาน
“เรียนพระชายา ในป่าพวกเราจับได้ 5 คนขอรับ!” ตามด้วยองครักษ์เงาที่เข้ามารายงาน
อืม
อันหลิงเกอพยักหน้า ถือว่ามิเลวเลย
“จำไว้ อย่าให้พวกมันตายเด็ดขาด” อันหลิงเกอกล่าวจบ ชิงเฟิงก็พบบางอย่างผิดปกติ
“พระชายา บนตัวคนพวกนี้มีป้ายเข้าออกเมืองเยว่เฉิงอยู่ด้วยขอรับ”
เมืองเยว่เฉิงอย่างนั้นหรือ ?
อันหลิงเกอมิรู้อันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังองครักษ์เงา
“เรียนพระชายา เมืองเยว่เฉิงเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างแคว้นชิงเยว่และต้าโจวขอรับ คนที่นั่นส่วนใหญ่เป็นพวกโจรของแคว้นชิงเยว่ แต่เพราะที่นั่นวุ่นวายมาก บัดนี้จึงยังไร้วิธีปกครองขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ดูท่าแล้วคนพวกนี้คงเป็นคนจากแคว้นชิงเยว่ซึ่งมีหน้าที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเยว่เฉิงกระมัง
“เอาตัวกลับไปสอบสวนให้ละเอียด ! ” ผู้ที่คิดร้ายหมายเอาชีวิตนาง อันหลิงเกอย่อมต้องระวังตัวเป็นพิเศษ
ทันทีที่กลับถึงจวน หมิงซินก็เข้ามารายงาน
“เรียนพระชายา วันนี้ในท้องพระโรงมีผู้เสนอให้ท่านอ๋องไปจัดการเรื่องเมืองเยว่เฉิงเจ้าค่ะ”
เมืองเยว่เฉิงอีกแล้วหรือ ?
อันหลิงเกออดสงสัยมิได้ เหตุใดจึงบังเอิญมากเพียงนี้ ?
นางเพิ่งรู้มาว่าคนของแคว้นชิงเยว่รวมตัวกันที่เมืองเยว่เฉิง ฮ่องเต้ก็คิดส่งมู่จวินฮานไปที่นั่นเสียแล้ว
“ท่านอ๋องอยู่ที่ใด ? ”
“น่าจักอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
หมิงซินกล่าวจบ อันหลิงเกอก็รีบเดินไปทันที เรื่องในวันนี้ชิงเฟิงรายงานให้มู่จวินฮานทราบแล้ว เขารู้สึกพอใจในสิ่งที่พระชายาทำลงไปมิน้อย
เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไปแล้วนางเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ มิหนำซ้ำยังชำนาญเรื่องต่าง ๆ รอบตัว
“เหตุใดจึงเก็บของเร็วปานนี้เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอขมวดคิ้วเมื่อเห็นมู่จวินฮานรีบเก็บของ เขาจักออกเดินทางไปเมืองเยว่เฉิงเดี๋ยวนี้เลยหรือ ?
“เจ้าทราบแล้วหรือ ? ” มู่จวินฮานชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาเพิ่งสมรสกัน มิทันไรก็ต้องมาห่างกันแล้ว เขามิอยากให้เป็นเช่นนี้เลย
“ข้าจักไปด้วย ! ” อันหลิงเกอมิใช่คนที่จักมารออยู่ในจวนเฉย ๆ นางต้องการสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขา
“ไปครั้งนี้มิรู้ว่านานเท่าใด เจ้าไปกับข้ามิได้หรอก” เมื่อกล่าวจบก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องในท้องพระโรงว่ามีคนตั้งใจเสนอชื่อเขาและให้อันหลิงเกอไปด้วยกัน เขาจึงรู้ได้ทันทีว่ามันอันตรายเกินไปจึงทูลปฏิเสธ
ทว่านิสัยของอันหลิงเกอ มิใช่ว่าเขาอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธได้โดยง่าย
เช้าวันต่อมา ยามที่กำลังจักออกเดินทาง มู่จวินฮานก็เห็นอันหลิงเกอนั่งรออยู่ในรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางมิให้โอกาสมู่จวินฮานปฏิเสธได้อีก
เมื่อเห็นว่าชายาดื้อรั้นถึงเพียงนี้ มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย
หนทางไปเมืองเยว่เฉิงยาวไกล อันหลิงเกอหลับหลับตื่นตื่นไปตลอดทาง กอปรกับความมิคุ้นเคยจึงทำให้สีหน้าของนางมิสู้ดีนัก
“เจ้านี่นะ ต่อไปยังดื้ออีกหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสารปนเอ็นดู
“แหะแหะ” อันหลิงเกอหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ก็ทรมานมิน้อยเลยทีเดียวจนนางถึงขั้นเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา
กว่าจักถึงเมืองเยว่เฉิงต้องเดินทางเป็นเวลาสามวันทำให้อันหลิงเกอซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดจนมู่จวินฮานอดสงสารมิได้
สถานการณ์ในเมืองเยว่เฉิงรุนแรงมาก มิเพียงมีโจรมากมาย ชาวบ้านที่ยากลำบากก็มิน้อยเช่นกัน
แต่โชคดีที่ครั้งนี้พวกเขานำเสบียงมาด้วยจำนวนค่อนข้างมาก คงพอใช้จัดการเมืองเยว่เฉิงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้
แต่ปัญหาใหญ่สุดคือพวกนักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในนี้
“จริงสิ ป้ายผ่านทางพวกนี้ปลอมแปลงได้หรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเพิ่งนึกถึงป้ายที่นางเจอมาก่อนหน้านี้ได้
“พวกนี้ล้วนเป็นป้ายที่ราชสำนักทำขึ้น มิสามารถปลอมแปลงได้” มู่จวินฮานเข้าใจความหมายของนาง ป้ายผ่านทางพวกนี้เวลาแจกก็ต้องมีบันทึกเอาไว้ ดังนั้นพวกคนที่นางจับได้ก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายเช่นกัน
เนื่องจากสถานการณ์ของเมืองเยว่เฉิงมิเหมือนที่อื่น ดังนั้นคนที่จักเข้าออกเมืองได้ต้องมีป้ายผ่านทางและการบันทึกเอาไว้ ใช้เวลามินานพวกเขาก็หาเรือนของพวกนักฆ่าเจอ
ดูจากสภาพที่อยู่แล้วก็คงปักหลักอยู่ที่นี่นานหลายปี แสดงว่านักฆ่าของแคว้นชิงเยว่ต้องแฝงตัวมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
“เรื่องหนอนกู่ มิทราบว่าจักหาเบาะแสจากพวกมันได้บ้างหรือไม่” อันหลิงเกอถอนหายใจออกมา ตามที่ปี้เถาบอกคืออีกมิกี่วันนางจักได้รับความทรมานจากพิษแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนนี้นางแค่อยากหาวิธีรักษาโดยเร็วเท่านั้น
ทว่าช่วงที่อยู่เมืองเยว่เฉิง แม้พวกเขาจับตัวนักฆ่าได้แต่มิมีผู้ใดรู้ที่มาและวิธีรักษาพิษหนอนกู่แม้แต่คนเดียว
ท้ายที่สุดจึงรู้แค่ว่าหนอนกู่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ นอกจากคนเลี้ยงมันแล้วคนอื่นจักมิสามารถควบคุมมันได้
หลังจบเรื่องของเมืองเยว่เฉิง มู่จวินฮานจึงพอมีเวลาว่าง
แม้ยังหาวิธีรักษาพิษหนอนกู่มิได้ แต่อันหลิงเกอก็มิคิดมากอันใด เมื่อเห็นว่าชาวบ้านได้กลับมาอยู่ดีกินดีอีกครั้งนางก็สุขใจแล้ว
“ท่านคิดว่าคนที่อยู่ในวังหลงลืมพวกเราไปแล้วหรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอที่กว่าจักเห็นมู่จวินฮานมีเวลาว่างจึงพูดหยอกล้อพร้อมยิ้มให้เขาอย่างผ่อนคลาย