ตอนที่ 399 จัดการเมืองเยว่เฉิง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 399 จัดการเมืองเยว่เฉิง

เมื่อได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็รู้ได้ทันทีว่านางหมายความเช่นไร นึกมิถึงว่าชายาคนนี้ยังมีกะจิตกะใจไปเที่ยวเล่นอีก

“ใช่แล้ว ดูเหมือนครานี้ข้ากับพระชายาคงมีอิสระสักพัก”

เป็นดังคาดจริง ๆ สีหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความยินดี เขารู้ดีว่านางอยากใช้โอกาสนี้ออกไปท่องเที่ยวข้างนอกบ้าง

ทว่าใบหน้าของอันหลิงเกอที่ฉายความดีใจก็ค่อย ๆ สลดลง ก่อนจักก้มหน้าแล้วกล่าวว่า “หากฮ่องเต้เรียกกลับตอนนี้เล่าเจ้าคะ ? ”

ช่วงที่อยู่ในเมืองเยว่เฉิง มู่จวินฮานมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานราชการ เดิมนางคิดว่าเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้วคงได้มีช่วงเวลาอิสระสักพักหนึ่ง แต่ผู้ใดจักคิดว่าจนบัดนี้ยังต้องรอฟังคำสั่งจากฮ่องเต้อยู่ดี

หากฮ่องเต้เรียกตัวเขากลับ ช่วงเวลาอิสระเหล่านี้ก็ถือว่าแสนสั้น

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สายตาขุ่นเคืองของนางก็จ้องไปยังมู่จวินฮาน

มิว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ นางเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ที่อยู่แต่ในเรือน แม้ตอนนี้สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ เองได้ก็จริง ทว่าโอกาสที่จักได้ออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกกลับมีน้อยมาก

เมื่อเห็นท่าทางของนางแล้ว มู่จวินฮานก็อดหัวเราะเสียงดังมิได้

อันหลิงเกอรู้ทันทีว่าท่าทางนิ่งเงียบเมื่อสักครู่ของมู่จวินฮานแท้จริงคือเขากำลังกลั่นแกล้งนางอยู่จึงส่งเสียง หึ ขึ้นจมูกออกมาเบา ๆ “นี่ท่านหลอกข้าหรือ ! ”

ทำให้มู่จวินฮานอาศัยโอกาสนี้ดึงนางเข้ามากอดพร้อมเอ่ยปลอบโยน “เอาล่ะ เจ้าอยากไปเที่ยวที่ใด ข้าจักพาเจ้าไปที่นั่นดีหรือไม่ ? ”

“ท่านพูดเองนะเจ้าคะ หากฮ่องเต้เรียกท่านกลับวันนี้เล่า ? ” อันหลิงเกอเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา สีหน้าดูซุกซนยิ่งนัก

นางรู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้มิรีบร้อนให้พวกนางกลับเมืองหลวงเพราะยิ่งมู่จวินฮานอยู่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไร ฝ่าบาทก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

“ต่อให้ข้าต้องขัดราชโองการก็จักพาเจ้าไปท่องเที่ยวให้ได้ ดีหรือไม่ ? ”

อันหลิงเกอพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องของเมืองเยว่เฉิงขึ้นมา “เมื่อเรื่องของที่นี่จบลง ท่านคิดว่าเมืองเยว่เฉิงมีสถานที่ใดน่าสนใจบ้างเจ้าคะ ? ”

มู่จวินฮานส่ายหน้า “เมืองเยว่เฉิงเพิ่งฟื้นจากความอดอยาก ทุกที่จึงล้วนมีแต่ชาวบ้านที่อพยพเข้ามา”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกังวลเรื่องนักฆ่าแคว้นชิงเยว่ที่ยังจับกุมมิหมด ดังนั้นจึงมิกล้าให้อันหลิงเกออยู่ที่นี่นานนัก

“แต่ระหว่างทางกลับจวนอ๋องและห่างจากที่นี่มิกี่ลี้มีทะเลสาบจันทราอยู่ ได้ยินว่าที่นั่นทิวทัศน์งดงามมาก”

เมื่อได้ยินว่ามีทะเลสาบจันทราอยู่มิไกล อันหลิงเกอก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที อย่างไรการไปเที่ยวที่ไหนก็เหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังมิต้องทนทรมานจากการนั่งรถม้านาน ๆ อีกด้วย “เช่นนั้นก็ไปที่นั่นกันเถิด ! ออกเดินทางตอนนี้เลยสิเจ้าคะ ! ”

เห็นท่าทางของนางแล้ว มู่จวินฮานก็อดหัวเราะเสียงดังมิได้ แต่ก็ห่วงว่านางจักทรมานจากการเดินทางจนทนมิไหว “เจ้าพักผ่อนอีกสักสองวันแล้วเราค่อยไปทะเลสาบจันทราด้วยกัน”

สองวันหลังจากนั้น ขบวนของพวกเขาก็ออกเดินทางและมาถึงทะเลสาบจันทรา

ทะเลสาบจันทรางดงามราวกับสวรรค์บนดินก็มิปาน นางหันไปมองมู่จวินฮานอย่างตกตะลึง “มิคิดเลยว่าถิ่นทุรกันดารเช่นนี้จักมีทิวทัศน์งดงามปานสรวงสวรรค์ซ่อนอยู่”

“ยังมีสถานที่งดงามอีกมากมาย ทะเลสาบจันทราเป็นแค่สถานที่หนึ่งเท่านั้น ต่อไปข้าจักพาเจ้าท่องเที่ยวทั่วหล้าเอง ! ” เขากล่าวออกมาพร้อมดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด สำหรับเขาแค่นี้ก็เหมือนว่าได้ครอบครองใต้หล้าแล้ว

แต่อันหลิงเกอรู้ดีว่าคำพูดของมู่จวินฮานยากที่จักเป็นความจริงได้

เพราะชีวิตนี้ของพวกนางถูกลิขิตให้โดนขังอยู่ภายในเมืองจิง

ที่นี่ก็เหมือนกับ*ดินแดนดอกท้อ เมืองที่อยู่ติดกับทะเลสาบจันทรามีหญิงสาวขายดอกไม้ตามข้างทาง ซอยเล็กมีเด็กวิ่งเล่นไปมาแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของสถานที่นี้ได้เป็นอย่างดี อันหลิงเกอจับแขนของมู่จวินฮานไว้ราวกับคู่สามีภรรยาธรรมดาคู่หนึ่งที่ออกเดินไปตามถนนและตรอกซอกซอยต่าง ๆ

คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นคู่ของเขาสองคนก็ล้วนต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันมองพร้อมรอยยิ้มกันทั้งนั้น “เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกอย่างแท้จริง ! ”

หลังจากหยุดพักมิกี่วัน มู่จวินฮานก็พาอันหลิงเกอกลับเข้าเมืองหลวง

ระหว่างทางนั้นความเหนื่อยล้าจากการเดินทางของอันหลิงเกอทำให้อาการของนางทรุดหนัก

“ด้านหน้าเราเป็นหมู่บ้าน หยุดพักที่นั่นสักหน่อยแล้วกัน” มู่จวินฮานกล่าวกับคนที่หมดสติไปหลายตลบในอ้อมกอดของตน

อันหลิงเกอรีบพยักหน้ารับทันทีพร้อมเอ่ยอย่างอิดโรย “ให้พวกเขาช้าลงหน่อย…”

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงเปิดม่านออกแล้วสั่งคนขับรถม้าทันที ความเร็วของรถม้าจึงค่อย ๆ ลดลง

มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง สองสามีภรรยาและองครักษ์ที่ติดตามบางส่วนได้เข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนผู้ติดตามที่เหลือได้ล่วงหน้ากลับเมืองหลวงก่อนแล้ว

ภายในหมู่บ้านคึกคักมิน้อย อันหลิงเกอก็มีท่าทางแตกต่างจากตอนที่อยู่บนรถม้าราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง

เพราะนางยังอายุมิมาก ดังนั้นจึงชมชอบของเล่นที่แปลกใหม่เป็นอย่างมาก

เพียงแต่ที่ผ่านมานางยุ่งอยู่กับการต่อกรสองแม่ลูกตระกูลหลี่ ทว่าตอนนี้สมรสกับมู่จวินฮานแล้วจึงมีความคิดที่อยากออกไปท่องเที่ยวบ้าง

ระหว่างทางมู่จวินฮานคอยระมัดระวังตัวมากขึ้น

“จงระวังความเคลื่อนไหวโดยรอบให้ดี หากมีสิ่งผิดปกติก็รีบมารายงานข้าทันที ! ” มู่จวินฮานอาศัยช่วงที่อันหลิงเกอหลับอยู่ไปสั่งการกับองครักษ์ข้างกาย

เขานึกถึงการกระทำขององค์ชายเจ็ดในวันนั้นว่าผิดปกติเกินไป หากบอกว่ามิมีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงเขามิเชื่ออย่างแน่นอน

องค์ชายเจ็ดเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอชื่อมู่จวินฮานให้มาจัดการเมืองเยว่เฉิงจึงเป็นผู้ที่น่าสงสัยอย่างมาก

เพื่อป้องกันเหตุมิคาดฝันมู่จวินฮานจึงสั่งให้องครักษ์เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หากมีสิ่งใดผิดปกติจักได้รับมือทันท่วงที อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันความปลอดภัยให้ทุกคนได้

องครักษ์ได้ยินคำสั่งของมู่จวินฮานก็มีท่าทางแข็งขันมากขึ้น การปกป้องท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของพวกตนอยู่แล้วย่อมเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเผื่อเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้น

“ดีมาก พวกเจ้าเปลี่ยนเวรกันไปพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็กลับขึ้นรถม้า มิรู้เหตุใดเรื่องเช่นนี้เขาถึงมิอยากให้อันหลิงเกอต้องมารับรู้ด้วย

ระหว่างทางเหล่าองครักษ์ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องที่มู่จวินฮานเป็นกังวลก็มิได้เกิดขึ้น ตอนแรกเขาเข้าใจว่าตนคิดมากเกินไป แต่จนกว่าจักถึงจวนอย่างปลอดภัย เขาย่อมประมาทมิได้เลย

“อีกนานแค่ไหนพวกเราจักถึงเมืองหลวงเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอที่นอนซบอยู่กับอกของเขากำลังม้วนผมที่ตกอยู่บริเวณแขนเล่นไปมาพลางเงยหน้าขึ้นถาม

เขาลูบผมของนางเบา ๆ “น่าจักประมาณ 1 วันได้”

เมืองเยว่เฉิงมีหนทางยาวไกล ขาไปอันหลิงเกอก็ตระหนักถึงข้อนี้ดี ยิ่งกว่านั้นพวกเขานั่งในรถม้าย่อมช้ากว่าขี่ม้ามิน้อยเลย

มู่จวินฮานมองคนที่อยู่ในอ้อมกอด อยู่ ๆ ภายในใจก็รู้สึกกังวลขึ้นมาราวกับใกล้มีบางอย่างเกิดขึ้น

“เรียนท่านอ๋อง ด้านหน้าเป็นป่าขอรับ” ชิงเฟิงเปิดม่านออกพร้อมรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สถานที่เช่นนี้มักเกิดเหตุมิคาดฝันได้ง่ายจึงควรรายงานท่านอ๋องก่อนดีที่สุด

“ข้าทราบแล้ว พวกเจ้าคอยเฝ้าระวังต่อไป”

อันหลิงเกอมองเขาอย่างสงสัย ขณะกำลังเอ่ยปากถามก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังขึ้นจากภายนอกเสียก่อน

“มีนักฆ่า ! ปกป้องท่านอ๋องและพระชายา ! ” องครักษ์ด้านนอกกำลังสู้กับนักฆ่าที่ปรากฏตัวขึ้น

มู่จวินฮานที่อยู่ในรถม้าได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอกก็บอกอันหลิงเกอด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”

นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เมื่อเขาออกไปแล้วนางก็นั่งอยู่ในรถม้าอย่างมิเป็นสุขนัก นางรู้ดีว่าหากออกไปก็มีแต่จักทำให้เขาลำบากกว่าเดิม และการนั่งรออยู่ในรถม้าเป็นวิธีดีที่สุดแล้ว

ทว่าอันหลิงเกอก็คิดวนเวียนเช่นนั้นมิหยุด เมื่อได้สติขึ้นมาก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของพวกตนทั้งสองอันตรายมากเพียงใด

*ดินแดนดอกท้อ คือโลกในอุดมคติเป็นดินแดนที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์และความสุข