ตอนที่ 786 เหนือความว่างเปล่า

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

มีสี่คนอยู่ในถ้ำ

คนหนึ่งคือชายชราผู้ถือยันต์เพื่อเปิดปิดหลุม

คนต่อมาคือเซี่ยกูหงผู้มีเจ็ดดาบอยู่บนแผ่นหลัง

อีกทั้งยังมีชายร่างกำยำผู้เปลือยกายท่อนบนและถือคทายาว

คนสุดท้ายคือกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกำหมัดเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสามคนก่อนกล่าวว่า “ทั้งสามคน ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอพวกเจ้าที่นี่”

ชายชราผมขาวถามว่า “หัวหน้าจ้าว ทำไมท่านถึงมาในที่อันตรายเช่นนี้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “สำนักถูกทำลายแล้ว ในฐานะหัวหน้า ข้าจะไม่แก้แค้นกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”

ทั้งสามคนเงียบ

ใช่แล้ว ในสงครามครั้งนี้ สำนักเซียนธารจันทราอยู่ใกล้แนวหน้าจนต้องรับหน้าที่ในฐานะเป็นทางผ่านสงคราม พวกเขาเปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ในสายตาของสัตว์ประหลาด

ท้ายที่สุดสำนักเซียนธารจันทราจึงถูกทำลาย

นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

คำพูดของกู่ฉิงซานทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเห็นใจและนับถือในทันที

เขามาที่นี่เพียงลำพังเพื่อจะตายไปพร้อมกับศัตรู!

เซี่ยกูหงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “หัวหน้าจ้าว พวกเทพยังอยู่ที่นี่ หากครั้งนี้พวกเรากลับไปได้อย่างปลอดภัย ข้าจะไปขอร้องเทพ หวังว่าพวกเทพจะสามารถช่วยท่านสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง”

“ขอบคุณในความเมตตาของเจ้า ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสามคนตั้งใจฟัง ไม่คิดที่จะโน้มน้าวอีก

หากอยู่ในระดับพวกเขา ทุกการตัดสินใจไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้โดยง่าย

ชายร่างกำยำเปลี่ยนเรื่อง “โอกาสที่ทั้งสองโลกจะมาพบกันนับว่าหายากยิ่งในชั่วชีวิต พวกเรารู้สึกเช่นกันว่าแทนที่จะอยู่ในสวรรค์ต่อ พวกเราควรมาที่นี่เพื่อสืบให้แน่ชัด”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”

เซี่ยกูหงถามว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว”

“ไม่นานหลังจากข้ามาถึง ข้ากำลังคิดหาทางผ่านสัตว์ประหลาดพวกนั้นอยู่ก่อนจะสังเกตเห็นพวกเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองคนเหล่านั้นก่อนค่อยๆ นึกออกถึงตัวตนของชายชราและชายร่างกำยำ

ก่อนกลายเป็นศิษย์ในตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก กู่ฉิงซานเคยได้ยินเกี่ยวกับมนุษย์แข็งแกร่งมาก่อน หลังจากกลายมาเป็นราชาเทพ เขายิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ชายชราผมขาวตรงหน้าเขาคือจ้าวอาวุโสของสำนักผู้เก่งกาจธาตุทั้งห้าและหกวิชา โดยเฉพาะวิชาดาวฤกษ์หกแฉก

ชายร่างกำยำคือผู้ฝึกฝนวิชายุทธสายเรียบง่าย แต่พละกำลังส่วนตัวของเขานับว่าอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การต่อสู้ระยะประชิดของเขาแทบจะไร้เทียมทาน

พวกเขาสามคนคือยอดนักพรตผู้อยู่ระดับเบิกเนตรมิติ

ชายชราคือนักพรตระดับแสวงโลกา ตามมาตรฐานของรุ่นหลัง แม้กระทั่งในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เขายังถูกเรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง

เขาถือเป็นคนสำคัญของโลกเก้าร้อยล้านชั้น พละกำลังของเขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากสิ่งมีชีวิตทั่วทุกโลก

ชายร่างกำยำแข็งแกร่งกว่า เขาคือนักพรตระดับวงแหวนนภา

ผู้ฝึกฝนระดับวงแหวนนภาสามารถเป็นจ้าวโลกในโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ แต่ไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวโลก

สิ่งที่เรียกว่าระดับแสวงโลกาในรุ่นหลังคือคำที่ใช้กล่าวถึงผู้ที่สามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวจนมองเห็นโลกชั้นที่เก้าสิบ

สิ่งที่เรียกว่าระดับวงแหวนนภาคือบุคคลทรงพลังผู้สามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้โลกแปดร้อยล้านชั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าแบบกลับด้าน

เหนือสองระดับนี้ ยังมีอีกระดับอยู่ มันถูกวัดด้วยมาตรฐานของโลกเก้าร้อยล้านชั้น เป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวโลก แค่การโจมตีแบบสุ่มก็สามารถทำให้โลกสามพันใบปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าได้โลกแล้วโลกเล่าและคงอยู่ได้นาน ดังนั้น มันจึงถูกเรียกว่าระดับสามพันโลก

ดังนั้นในสามระดับนี้จึงแบ่งเป็น: แสวงเก้าสิบโลกา แปดร้อยวงแหวนนภา สามพันโลก

ช่องว่างระหว่างสามระดับนับว่าใหญ่มาก แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวข้ามอีกฝ่ายไปได้

เท่าที่กู่ฉิงซานรู้ เซี่ยกูหงคือหนึ่งในผู้ที่อยู่ระดับสามพันโลกแล้ว

ตอนตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกถูกทำลาย เขาพัฒนามาถึงระดับนี้จนก้าวเข้าสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์คือระดับของเทพ เมื่อมาถึงระดับนี้ พวกเขาสามารถสร้างดิน น้ำ ไฟและลมได้ก่อนใช้พลังสี่เสานี้เพื่อเปิดนภาก่อนสร้างโลกขึ้นมา

ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณกำลังจะล่วงลับ พละกำลังของเซี่ยกูหงกำลังจะพัฒนาไปสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

จากนั้นเทพจงใจหันดาบมาที่เขาด้วยหมายจะตรวจสอบพละกำลังที่แท้จริง

ผลที่ได้ ถึงแม้เซี่ยกูหงจะยังไม่ไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ แต่ฝีมือดาบของเขานับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เขาบังเอิญไปเอาชนะเหล่าเทพได้ด้วยการโจมตีเพียงครึ่งส่วน การกระทำนี้ส่งผลให้เกิดหายนะจนนำมาสู่การสูญสิ้นของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก

กู่ฉิงซานกลายเป็นจ้าวอู๋จง จ้าวอู๋จงคือผู้มีรากฐานการฝึกฝนสูงในระดับวงแหวนนภา นับว่าเหนือกว่าชายร่างกำยำและชายชราเล็กน้อย แต่เขายังด้อยกว่าเซี่ยกูหง

กู่ฉิงซานกำหนดระดับพละกำลังของคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นถามว่า

“พวกเจ้าสามคนหาทางผ่านสัตว์ประหลาดนี้ได้หรือไม่”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ท่านฆ่าพวกมันไม่ได้หรอก แถมยังทำให้สัตว์ประหลาดทรงพลังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของโลกตื่นตัวอีกด้วย ดังนั้นพวกเราต้องรอ”

“รอหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

“ใช่แล้ว” ชายชราตอบ “ทุกช่วงเวลาจะมีคลื่นความโกลาหล จากนั้นก็มีเสียงที่แปลกประหลาดยิ่ง”

ชายร่างกำยำกล่าวว่า “พวกข้าคิดค้นกฎเกณฑ์หนึ่งขึ้นมา เมื่อคลื่นโกลาหลลูกใหม่มาถึง พวกเราจะลองตอบรับเสียงนั่นเพื่อพยายามทะลวงสู่ส่วนลึกของดินแดนบรรพกาล”

“เสียงแปลกประหลาดนั่นน่ะหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

ชายชรากล่าวว่า “ตอนเสียงนั่นปรากฏขึ้นสองสามครั้งก่อน พวกข้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงนั่นเสียเท่าไหร่”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ดังนั้นพวกข้าเตรียมที่จะลองวิธีดังกล่าวดู พวกเราจะรอให้คลื่นโกลาหลก่อตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบรับเสียงนั่น”

“เดี๋ยวนะ พวกเจ้าไม่กลัวว่านี่เป็นกับดักของผู้ปกครองโลกบรรพกาลเลยหรือ” กู่ฉิงซานถาม

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ก่อนพวกข้าจะพบท่าน พวกข้าได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องไปทั่วโลก ดูท่ามันจะเจอบางอย่างเข้า”

ชายชรากล่าวว่า “อีกอย่าง ก่อนข้าพบหัวหน้าจ้าว ข้าได้คำนวณคลื่นโกลาหลจนพบว่ามันคือสัญญาณเป็นมิตร”

ตราบที่วิชาดาวฤกษ์หกแฉกของนักพรตราบรื่นและผู้ใช้เต็มใจจ่ายชีวิตส่วนหนึ่ง พวกเขาจะได้รับลางบอกเหตุที่น่าเชื่อถือ

อีกอย่าง การรับรู้วิญญาณของสามยอดนักพรตนี้น่าทึ่ง การคาดการณ์ถึงอันตรายยังเชื่อถือได้มาก

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ

“งั้นมารอด้วยกันเถอะ” เขากล่าว

ผ่านไปสักพัก

ฉับพลันนั้นเอง ทั้งสามคนสบตากัน

ชายร่างกำยำกระซิบ “คลื่นโกลาหลกำลังมา!”

คนอื่นหยุดสนทนาในทันที

สิ่งที่เรียกว่าคลื่นโกลาหลมาจากหินวิเศษที่กองอยู่ทั่วโลกบรรพกาล

หินวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้เต็มไปด้วยความว่างเปล่ากับพลังโกลาหล พวกมันสั่งสมพลังไว้มากขึ้นเรื่อยๆ แรงระเบิดปะทุออกมาเป็นครั้งคราว

‘ตูม!’

มีเสียงดังมาจากสวรรค์และปฐพี

วิญญาณทั้งห้าธาตุขัดแย้งกันเองขณะซ้อนทับกันไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีอันคมปลาบนับพัน เสียงเหมือนกับภาพซ้อนทับจำนวนมากขนาดใหญ่กำลังกรีดร้องในสวรรค์และปฐพี

หลุมในพื้นเริ่มโงนเงนและสั่นสะเทือนอย่างไม่มีสิ้นสุด

คลื่นโกลาหลปลดปล่อยพลังและยังคงอยู่อีกหลายสิบอึดใจ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เสียงผู้หญิงดูเป็นมิตรดังขึ้นจากในถ้ำ

“พบเผ่าพันธุ์มนุษย์สี่คนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย พวกเขากำลังพยายามหาวิธีหลบเลี่ยงอย่างปลอดภัย”

“เนื่องจากระบบตอนนี้ขาดพลังงานอย่างร้ายแรง จึงเลือกทางเลือกเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น”

“ขอมอบแหล่งกำเนิดพลังเพื่อปกปิดร่างของท่าน ท่านจะรับหรือไม่”

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน

สามคนไม่คิดมาก ยังไงเสีย พวกเขาก็เคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่กู่ฉิงซานแทบจะตกตะลึง

ในรูม่านตาของเขา แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ตรวจพบระบบสงครามขนาดใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พยายามทำการเชื่อมต่อ”

“แจ้งเตือน!”

“พลังงานของอีกฝ่ายไม่เพียงพอเป็นอย่างยิ่ง การเชื่อมต่อในครั้งนี้ล้มเหลว”

“โปรดเติมพลังงานอีกฝ่ายเพื่อปลุกระบบสงครามขนาดใหญ่นี้ขึ้นมา”

กู่ฉิงซานอดที่จะถามในใจไม่ได้ว่า “ระบบ พลังงานที่ต้องการคืออะไร”

 ‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามตอบว่า “ข้าไม่เคยติดต่อกับอีกฝ่ายมาก่อน จึงไม่รู้ว่าตอนนี้พลังงานดังกล่าวทำงานอย่างไร ท่านต้องสำรวจด้วยตัวเอง”

กู่ฉิงซานจมสู่ห้วงความคิด

ตอนนี้เอง เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ข้าจะไปก่อน หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าจะออกไปสู้กับสัตว์ประหลาดจนวินาทีสุดท้าย”

เขามองนักพรตสามคนที่เหลือ “ถ้าถึงตอนนั้นจริง ข้าจะดึงความสนใจของสัตว์ประหลาดให้อย่างสุดความสามารถเอง พวกเจ้าจะออกจากที่นี่หรือหาทางไปต่อก็จงตัดสินใจด้วยตัวเอง”

หลังจากเซี่ยกูหงพูดจบ เขาไม่รอให้สามคนที่เหลือตอบสนองก่อนพูดกับความว่างเปล่าว่า “ข้ารับ!”

เสียงหญิงสาวกล่าวตอบทันทีว่า “ข้าจะมอบแหล่งกำเนิดพลังเงาให้ท่าน”

“โปรดจำไว้ว่าเพราะระบบนี้ขาดพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานจึงใช้ปกปิดได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

‘วิ้ง’

ในความว่างเปล่า วงสีเทาเข้มพลันปรากฏขึ้นก่อนห้อมล้อมเซี่ยกูหงเอาไว้

วงแหวนค่อยๆ หายไป

ร่างของเซี่ยกูหงหายไปต่อหน้าทั้งสามคนเช่นกัน

พวกเขาสามคนปลดปล่อยวิญญาณเพื่อตรวจสอบพร้อมกัน แต่ยังไม่สามารถตรวจจับตัวตนของเซี่ยกูหงได้

ชายชราผมขาวกล่าวอย่างไม่มั่นใจว่า “จ้าวตำหนักเซี่ย ท่านยังอยู่ที่นี่หรือไม่”

ตรงข้ามพวกเขา เสียงของเซี่ยกูหงดังขึ้นทันที “นี่นับว่าน่าแปลกจริงๆ ข้ายังอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่สามารถหาตัวเองเจอด้วยซ้ำ แม้กระทั่งจิตเทพก็ยังไม่เจอ”

ชายร่างกำยำกล่าวว่า “ในเมื่อท่านยอมรับพลังวิเศษนั้นมา ข้าเกรงว่าพวกเราจะรู้ในไม่ช้าว่านี่เป็นกับดักหรือเปล่า”

ทั้งสี่คนรออย่างเงียบงันอยู่หลายอึดใจ

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

………………………………….