17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

 

 

ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร

 

ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด

 

“ข้าแพ้แล้ว”

 

เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง

 

แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก

 

การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

 

แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี

 

ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น

 

ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป

 

เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้

 

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

 

มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก

 

“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”

 

ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน

 

“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ

 

“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่

 

เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?

 

“นะโม อมิตตาพุทธ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”

 

“ครับท่านเจ้าอาวาส”

 

ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

“ช่างน่าเบื่อ”

 

ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส

 

พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

 

“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”

 

ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์

 

สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม

 

เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์

 

“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า

 

“แพ้หมด?”

 

ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่

 

ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว

 

เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก

 

และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน

 

โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ

 

แต่ในตอนนี้

 

เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย

 

มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…

 

ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้

 

แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?

 

จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก

 

มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า

 

เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน

 

ภายในครึ่งชั่วโมง

 

“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]

 

ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน

 

“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”

 

ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม

 

เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ…”

 

พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา

 

ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?

 

เพียงคนเดียว!

 

บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

 

เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง

 

“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา

 

การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร

 

หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ

 

เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด

 

แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ

 

“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”

 

หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”

 

“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”

 

“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ศิษย์น้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่อารมณ์เดือดพล่านเกินไปทำให้กำลังภายในและเลือดลมในกายลดลง…”

 

 

ไม่ไกลนัก ซูฉินมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะที่ล้มลง แล้วเขาก็เงียบไป

 

เป็นเวลาสิบปีในวัดเส้าหลิน หัวหน้าลานจิปาถะดูแลซูฉินอย่างดีและมักมีความคิดที่จะย้ายซูฉินไปตำหนักลานอรหันต์หรือไม่ก็ตำหนักยุทธสงฆ์แทนที่จะมามัวแต่เป็นพระกวาดลาน

 

ทว่าความตั้งใจดีนั้นก็ถูกซูฉินปฏิเสธไปเสียทั้งหมด

 

“ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินสำคัญกับท่านมากเช่นนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินกระซิบถามตัวเองในใจ

 

จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับแล้วออกไป

 

 

ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

กลุ่มอารามวัชระต่างก็มุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปตามจุดหมาย

 

“ป๋าถัว เมื่อพวกเรากลับกันไปครานี้ท่านเจ้าอาวาสจะต้องดีใจมากเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้า เราจะได้รับตำแหน่งผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระมองไปที่ป๋าถัวและพูดด้วยความพอใจ

 

ชื่อของพระรูปนี้คือ ‘ถงหรู‘ และเขาเป็นผู้พิทักษ์ของอารามวัชระในยุคนี้ มีฐานพลังการฝึกฝนอยู่ที่ระดับชั้นที่สอง

 

ป๋าถัวในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถออกเที่ยวท่องไปตามที่ต่างๆ โดยไร้ซึ่งการคุ้มกัน ดังนั้นถงหรูจึงเป็นผู้คุ้มกันของป๋าถัว

 

“หลวงลุง เราทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

ป๋าถัวอดไม่ได้ที่จะถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

เขายังคงกำชับให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก “การต่อสู้กันด้วยแนวความคิดเป็นเรื่องของแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด”

 

เมื่อป๋าถัวได้ยินดังนั้นในดวงตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด

 

ทันใดนั้น

 

ช่วงเวลานี้นี่เอง

 

ผู้พิทักษ์ของอารามวัชระก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทายืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นหลินที่เหี่ยวเฉา

 

“เอ๊ะ?”

 

หัวคิ้วของผู้พิทักษ์ถงหรูขมวดเข้ามาชนกัน

 

“เจ้าใช่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหรือไม่?”

 

‘ถงหรู‘ ถามเสียงดัง

 

นี่เป็นบริเวณของวัดเส้าหลิน เป็นที่สงวนไว้สำหรับวัดเส้าหลิน พระวัดอื่นไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้

 

พระหนุ่มพยักหน้า แล้วสักพักก็ส่ายศีรษะ

 

พระหนุ่มรูปนี้ย่อมเป็นซูฉิน เขามาอยู่จุดนี้นานแล้ว

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระเป็นถึงพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด ที่ตัวข้ามาในยามนี้ก็ประสงค์จะพูดคุยปรึกษาถกเถียงปัญหาธรรมกับท่าน!”

 

ซูฉินเอ่ยออก ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป

 

“ถกปัญหาธรรม?”

 

‘ถงหรู‘ ผงะไปครู่หนึ่ง “อารามวัชระของเราได้ถกปัญหาธรรมกับวัดเส้าหลินของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มิได้มีเรื่องอันใดขัดข้อง เจ้าจะมาทำไมอีก?”

 

“หลวงลุงขอรับ”

 

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวัดเส้าหลิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ถกเถียงกันอีกสักครั้งเถิด”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้า และกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใด?”

 

“งั้นถกกันเรื่องที่เจ้าต้องการเป็นอย่างไร”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

 

ป๋าถัวพนมมือแล้วกล่าวว่า “งั้นศิษย์พี่ช่วยบอกหน่อยว่า‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

จนถึงตอนนี้ป๋าถัวถามในคำถามเดิมเหมือนกับตอนที่ทำให้ศิษย์ทั้งเก้าของวัดเส้าหลินต้องพ่ายแพ้

 

‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด

 

‘องค์ยูไล‘ ก็ย่อมต้องเป็น ‘องค์ยูไล‘ แต่ใครเล่าที่จะสื่อถึงองค์ยูไล?

 

เป็นมนุษย์หรือไม่? คือพระเจ้า? เป็นจิตวิญญาณ? หรือเป็นสิ่งใด?

 

ไม่มีใครอาจรู้เห็น

 

ไม่มีใครกล้าคาดเดามั่วๆ

 

ผู้พิทักษ์อย่าง ‘ถงหรู‘ ส่ายหัว

 

แม้แต่เจ้าอาวาสอารามวัชระก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน

 

นอกจากนั้น ถงหรูย่อมเห็นได้ว่าสถานะของซูฉินในวัดเส้าหลินไม่ได้สูงนัก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สวมจีวรสีเทา

 

และเหตุผลที่มาหยุดพวกเขาที่ตรงนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะแพ้พ่าย

 

แต่ถึงไม่เต็มใจแล้วจะทำอย่างไรได้

 

วัดเส้าหลินโดนบดขยี้โดยศิษย์น้องป๋าถัวจนจมดิน

 

เป็นไปได้หรือที่วัดเส้าหลินจะมีศิษย์คนไหนที่เอาชนะป๋าถัวได้อีก?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

“ ‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

ขณะนี้ซูฉินพูดทวนด้วยน้ำเสียงต่ำ แล้วเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่สูงขึ้นเรื่องๆ จนทุกคนตกใจ

 

“แหกตาดูสิ ‘องค์ยูไล‘ อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”

 

บูม!!!

 

คำพูดที่ออกมา

 

พระทุกรูปรวมถึงผู้พิทักษ์จากอารามวัชระต่างตกตะลึง

 

พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ ขนาดเปรียบเทียบตนเองกับ ‘องค์ยูไล‘?

 

“สามหาว!”

 

ผู้พิทักษ์อาราม ‘ถงหรู‘ ตอบโต้อย่างรุนแรงและกำลังจะกล่าวคำตำหนิ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ชั่วอึดใจต่อมา

 

เขากำลังจะได้เห็นฉากที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตที่เกิดมา

 

ทันใดนั้นร่างสีทองขององค์ยูไลก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซูฉิน เขาชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือจรดพื้นปฐพี มีแสงสีทองระยับไร้ขอบเขต มองดูสง่างาม แล้วพลันมีเสียงชวนฟังพูดออกมา

 

“สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”[3]

 

“นี่…นี่มัน…”

 

กลุ่มสงฆ์จากอารามวัชระยืนนิ่งงัน ป๋าถัวจ้องมองค้างราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด มองไปทางซูฉินด้วยอาการร่างกายสั่นเทา…

 

เมื่อมองไปยังองค์ยูไลสีทอง มองเห็นแสงเซนผุดผ่องแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าแลผืนดิน… เพียงตัวตถาคตคือผู้ประเสริฐที่สุด!

 

 

 

————————————————

 

[1] สังขตธรรม – สังขต หมายถึง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สังขารทุกอย่างที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากหลายๆ สิ่งรวมกัน เรียกว่า สังขต ย่อมหมายถึงสิ่งทุกอย่างนอกจากนิพพาน ส่วนนิพพานเป็นอสังขต

[2] คำกล่าวที่ยกมาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดย พระกุมารชีวะ (หรือจิวหมอหลอสือ) ราวปี พ.ศ.944 ความว่า 一切有为法,如梦幻泡影,如露亦如电,应作如是观。

ซึ่งมีการแปลโดย เสถียร โพธินันทะ จากจีนเป็นภาษาไทย ได้ความว่า “เพราะว่าสังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้” นอกจากนี้ยังมีฉบับของ อมร ทองสุข ว่า “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล”

[3] เป็นคำกล่าวของเจ้าชายสิทธัตถะยามเมื่อประสูติขึ้นมา ว่ากันว่าได้ออกเดินทั้งหมดเจ็ดก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นตามรายทางรองพระบาทไปทุกก้าวย่าง ก่อนที่จะเอ่ยอาสภิวาจาออกมา (ตามคัมภีร์หรือนิทานฉบับจีน) แต่ในฉบับที่ไทยรับมาก็มีคำกล่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อนึ่งในมุมของผู้แปลอยากจะกล่าวเสริมไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีหลักฐานเก่าแก่สุดราวๆ 700 ปีหลังพุทธกาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าในสมัยพุทธกาลจริงๆ มีเรื่องราวนี้มาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งของผู้คนในยุคหลัง