18 วิหารพระสหัสพุทธ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 18 วิหารพระสหัสพุทธ (เชียนฝัวเตี้ยน)

 

 

“นี่คือ‘องค์ยูไล‘ คือ‘องค์ยูไล‘จริงๆ…” ป๋าถัวสูญเสียสติไป

 

เขาเข้าสู่อารามวัชระมาตั้งแต่เด็ก อ่านพระคัมภีร์มาแล้วทั้งวัด และได้คิดจินตนาการถึง‘องค์ยูไล‘ ไปนับพันแบบ

 

แต่ขณะนี้…

 

ป๋าถัวได้ตระหนักแล้วว่าตนเองอาจหาญเพียงใด

 

‘องค์ยูไล‘ องค์จริงสีทองส่องสว่างไสวตรงหน้านี้ เขาจะไปจินตนาการถึงได้อย่างไร?

 

“นี่คือ?”

 

ผู้พิทักษ์อารามถงหรู หลุดออกจากอาการตกใจมาได้อย่างยากลำบาก

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลแผ่ขยายไปทั่ว

 

‘ถงหรู‘ รู้สึกได้ว่าเส้นสายกำลังภายในของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่มากโข อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่ขยับตัวยังลำบาก มันยากเย็นราวกับกำลังไต่บันไดขึ้นสวรรค์อยู่

 

ศิษย์อารามวัชระทั้งเจ็ดยิ่งแย่ไปกว่านั้น พวกเขาถึงขั้นลงนั่งกับพื้น สีหน้าว่างเปล่า

 

แล้วเวลาก็ผ่านไป

 

ไม่นานนัก รังสีขององค์ยูไลก็ค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

 

หลังจากที่แสงแห่งองค์ยูไลหายไปโดยสมบูรณ์ กลุ่มอารามวัชระจึงค่อยฟื้นคืนสติกลับมา

 

“คนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว”

 

ศิษย์ของอารามวัชระคนหนึ่งกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

พระรูปอื่นๆ ก็พลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง และพบว่าไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นหลินอีกต่อไปแล้ว

 

“วัดเส้าหลินนี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…” ถงหรูมีการแสดงออกที่ซับซ้อนบนใบหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

 

ในตอนนี้เขาอยากจะไปพูดคุยกับคนที่มันปล่อยข่าวลือเรื่องที่วัดเส้าหลินได้เสื่อมโทรมลงเสียจริงๆ

 

ถ้าวัดเส้าหลินเสื่อมโทรมลงแล้วจริงๆ จะอธิบายเรื่องพระหนุ่มผู้เรียกรัศมีแห่งองค์ยูไลออกมาได้อย่างไร?

 

ถ้านี่ถือว่าเป็นการเสื่อมถอยลงแล้วล่ะก็ อารามวัชระไม่ได้นับว่าเสื่อมโทรมยิ่งกว่าจนถึงขั้นจวนจะล่มสลายไปเลยหรอกหรือ

 

“ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครานี้ ตกลงพวกเราแพ้หรือชนะกันแน่?” ในเวลานั้นเองพระรูปหนึ่งของอารามวัชระถามออกมาอย่างระมัดระวัง

 

หัวใจของพระรูปอื่นๆ เหมือนถูกบีบไว้แน่นแล้วมองไปที่ป๋าถัว

 

แม้แต่ถงหรูก็เบนสายตามายังป๋าถัว

 

“ชนะหรือแพ้?”

 

ป๋าถัวยิ้มขึ้น “เมื่อเราถกเถียงกันเรื่อง‘องค์ยูไล‘ ต่อหน้า ‘องค์ยูไล‘ ไยเราจึงจะสามารถชนะได้?”

 

“หลวงลุง กลับอารามวัชระกันเถอะ”

 

“วัดเส้าหลินควรค่าแก่นามนี้แล้ว สมกับชื่อเสียงที่มีมา ฉะนั้นพวกเราอย่าได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”

 

หลังจากป๋าถัวพูดจบ เขาก็มุ่งหน้ากลับอารามวัชระ

 

ถงหรูถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แล้วเดินตามไป

 

ศิษย์ที่เหลือทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็เดินตามพระอาจารย์ ‘ถงหรู‘ ไป

 

 

ณ อารามวัชระ

 

พระอาจารย์ถงหรูก็ได้เล่าประสบการณ์ให้เจ้าอาวาสอารามวัชระฟังตามความเป็นจริง

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระเงียบไปนานก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาว่า

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าวัดเส้าหลินยุคสมัยนี้จะมีพระระดับอรหันต์อยู่?”

 

“อรหันต์?” ถงหรูตกใจ

 

ระดับอรหันต์ในสำนักพุทธสามารถเปรียบได้กับเหล่าตำนานยุทธ เป็นขั้นพลังที่ทรงพลังไร้ต้านเหนือล้ำไปกว่าระบบการนับระดับพลังยุทธทั้งเก้าขั้น

 

และตัวตนของแต่ละ ‘อรหันต์‘ หรือ ‘ตำนานยุทธ‘ ล้วนบ่งบอกถึงความยืนยงไร้พ่าย

 

 

 

ยามเมื่อซูฉินกลับมาที่วัดเส้าหลิน ศิษย์จำนวนมากในโถงใหญ่ต่างก็ถูกไล่กลับไปโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ส่วนหัวหน้าตำหนักก็เริ่มทยอยออกกันไปแล้ว

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าแค่การแสดงเมื่อครู่จะทำให้เกิดปรากฏการที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น แถมยังใช้พลังภายในของข้าไปจนเกือบหมดเกลี้ยง”

 

ซูฉินถูนวดที่ระหว่างคิ้วพยายามทำใจให้สงบ ทำไมถึงเป็นหว่างคิ้วน่ะหรือ ก็เพราะด้านในส่วนลึกที่หว่างคิ้วนั้นเป็นที่ประดิษฐานขององค์ยูไลสีทองที่มาจากวิชา [ฝ่ามือยูไล] น่ะสิ

 

ตอนที่ป๋าถัวถามเขาว่าสิ่งใดคือ‘องค์ยูไล‘ ซูฉินก็นึกไปถึง [ฝ่ามือยูไล]

 

[ฝ่ามือยูไล] เป็นที่ทราบกันว่าคือวิชาส่วนตัวขององค์ยูไล และในทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะใกล้เคียงกว่านี้ในการสื่อถึง‘องค์ยูไล‘ มากไปกว่า [ฝ่ามือยูไล] อีกแล้ว

 

ดังนั้นซูฉินจึงใช้พลังกระตุ้นไปที่หว่างคิ้วเล็กน้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการทำงานได้

 

ผลที่ตามมายามเมื่อเขากระตุ้นการทำงานไปนั้น ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์การปรากฏตัวของร่างองค์ยูไลสีทอง

 

ด้วยสิ่งนี้ซูฉินจึงประหยัดเวลาไปมากโขในการตอบคำถามของป๋าถัว

 

“แต่ว่า…จริงๆ แล้ว [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชายุทธระดับไหนกันแน่นะ?”

 

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

 

ซูฉินเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีพลังภายในแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงกระตุ้นใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้แค่เล็กน้อย พลังภายในก็ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหากต้องการจะใช้พลังของฝ่ามือทั้งหมดจริงๆ มิตัวแห้งตายไปเลยหรอกหรือ?

 

ซูฉินคิดวนเวียนแล้วจึงเดินทางกลับไปยังลานจิปาถะ

 

เวลานี้หัวหน้าลานจิปาถะฟื้นแล้วและสีหน้าก็ดูดีขึ้นบ้าง

 

แต่ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของหัวหน้าลานลดฮวบลงไปอีกครั้ง และเข้าใกล้ปากเหวจุดสิ้นสุดของชีวิตเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อย

 

ซูฉินเดาว่าอย่างน้อยก็ห้าถึงสิบปีหัวหน้าลานจิปาถะคงมรณภาพลง

 

“เฮ้อ…..”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา แต่ก็ยังก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักสบายดีหรือไม่”

 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

 

หัวหน้าตำหนักโบกมือไปมา “ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไป”

 

หัวหน้าตำหนักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “คนเราก็แก่ชราขึ้นทุกวัน เมื่อชราแล้วเลือดเนื้อพลังชีวิตก็มีแต่จะลดลงๆ ทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากจะยอมรับมัน”

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรออย่างทรมานเพื่อให้อารามวัชระประกาศผลของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ออกมา

 

แต่ทว่าเจ้าอาวาสก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็ยังไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของอารามวัชระ ราวกับการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลินนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

 

“อารามวัชระก็ได้ชนะในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ไปแล้วแต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ป่าวประกาศออกมาอีก?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสงสัย

 

ถึงแม้จะไม่ค่อยสบายใจที่ต้องส่งมอบตำแหน่งผู้นำในสำนักพุทธทั้งสี่ออกไป แต่ในเมื่อคุณชนะคุณก็คือผู้ชนะ ถ้าคุณแพ้คุณก็แค่แพ้

 

วัดเส้าหลินไม่ได้อยากจะปฏิเสธมันหรอก

 

วัดเส้าหลินจะไม่ปฏิเสธแม้อารามวัชระจะแพร่ข่าวนี้ออกไป

 

หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นอยากจะให้วัดเส้าหลินเริ่มประกาศออกไปเองว่าแพ้ให้กับอารามวัชระ?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

ในฐานะสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินก็ต้องรักษาหน้าเช่นกัน นอกจากนั้นในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ตั้งแต่อดีตมา ฝ่ายที่ชนะไม่เคยทำแบบนี้

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถึงกับงงงวย

 

เนื่องจากอารามวัชระไม่ออกมาพูดอะไร เจ้าอาวาสก็ไม่ต้องการจะถามออกไป พอเป็นเช่นนี้สำนักพรรคส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างก็ไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างอารามวัชระกับวัดเส้าหลินมีการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กันไปเรียบร้อยแล้ว

 

แล้วสำนักพรรคส่วนน้อยที่ทราบเรื่องนี้ ก็คงคิดไปว่าอารามวัชระนั้นพ่ายแพ้และไม่เต็มใจที่จะแถลงไข

 

ในด้านของอารามวัชระ แม้ว่าจะรอไปหลายเดือน พวกเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมวัดเส้าหลินยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีการเอ่ยถึงการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เลย

 

ด้วยเหตุนี้เจ้าอาวาสอารามวัชระจึงได้เพียงแต่คิดไปว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคงคร้านจะใส่ใจกับผลลัพธ์เหล่านี้

 

ในด้านของ ‘ผู้ร้าย‘ ตัวจริงที่สร้างความสับสนงุนงงให้ผู้อื่นไปทั่วอย่างซูฉิน ก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ นั่นก็คือลงชื่อเข้าใช้แล้วก็กวาดลานวัด

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา ‘เคล็ดวิชาไม้ตายซาก‘ ]

 

ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินมีความสุขเอามากๆ

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] เป็นหนึ่งในทักษะวิชาเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน ความสามารถนั้นยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่เพื่อการโจมตีหรือการป้องกัน แต่ฝึกไว้เพื่อซ่อนตัวและปลอมแปลงตน

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] นั้น เมื่อฝึกไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นย่อมควบคุมลมหายใจ ไอพลังของตนเองได้ตามต้องการ แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นเพียงกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว แลดูเหมือนความว่างเปล่า

 

“ไม่เลวเลย”

 

“[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] เมื่อรวมเข้ากับ [กายาวัชระคงกระพัน] มันการเป็นการเข้าคู่ที่สมบูรณ์แบบ!”

 

ซูฉินพึงพอใจเป็นอันมาก

 

แต่เดิม [กายาวัชระคงกระพัน] ก็ช่วยให้ซูฉินยับยั้งไอพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แล้วตอนนี้ยังเพิ่ม [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] มาซ้อนทับกันไปอีกระดับ

 

ในตอนที่ซูฉินกำลังจะทดลองใช้พลังของ [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] พลันพบเจอบางอย่างเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

 

“นั่นอะไรกัน?”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบลง มองไปยังทิศทางหนึ่ง