บทที่ 297 – เบาะแสที่คาดไม่ถึง (4)
การปลกพลังในเขตพื้นที่เป็นกลางได้สิ้นสุดลงแล้ว
หลังจากได้รับคลาสแล้ว ตารางการฝึกของอึนยูริก็ได้เปลี่ยนแปลงไปบางส่วน เธอไม่อาจจะเอาแต่ฝึกไปทั้งวันจนจบเขตพื้นที่เป็นกลางได้ นับจากนี้เธอจะต้องเริ่มทำภารกิจเพื่อสั่งสมประสบการณ์
ดังนั้นแล้วคิมฮันนาห์จึงแนะนำให้อึนยูริตั้งทีมหกคนที่มีนักบวชเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกปลุกพลังในคราวนี้ไปด้วย แน่นอนว่าปาร์ควูรีกับยูยอลมูก็รวมอยู่ในทีมนี้ด้วย
ทำภารกิจในตอนเช้า ฝึกร่างกายในตอนเย็น และฝึกมานาในระหว่างนอนหลับ
ในจุดๆนี้หากเธอจะบ่นก็คงไม่แปลกเลย แต่ว่าอึนยูริกลับไม่ได้คัดค้านแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีให้เห็นของเธอได้กลายเป็นมากยิ่งขึ้นในทุกวัน จนเหมือนกับเธอกำลังมีความสุขไปกับมัน
เธอกระทั่งขอให้ซอลจีฮูมาฝึกให้เธอเป็นการส่วนตัวอีกด้วย
“พี่ช่วยฝึกฉันหน่อยได้ไหม?”
“…ฝึก?”
ซอลจีฮูได้ถามกลับไปอย่างสับสน ในตอนนี้ทั้งสองคนกำลังอยู่ระหว่างกินอาหารในโรงอาหาร
“คุณกำลังพูดถึงในระหว่างกินอาหารงั้นหรอ?”
“นะคะ มีการบ้านที่อาจารย์สั่งให้ฉันทำ แล้วฉันก็มีเวลาไม่พอ”
“ถึงแบบนั้น”
“ช่วงนี้อาจารย์จางเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกขึ้น เพราะงั้นพอฝึกเสร็จฉันก็หมดแรงเลย เพราะงั้นฉันจะต้องใช้เวลาว่างก่อนหน้านั้น”
อึนยูริได้ขอร้องเขาไม่หยุด เธอบอกว่าโรเซร่าจะลงโทษเธอหากว่าเธอตามบทเรียนได้ไม่ทัน ซอลจีฮูได้แต่ต้องหยักหน้ายอมรับออกมา
“แล้วคุณอยากให้ผมช่วยยังไงล่ะ?”
“ก็ไม่ยากหรอก”
อึนยูริได้ยื่นช้อนที่เธอกำลังจับให้ซอลจีฮู
“ช่วยป้อนข้าวฉัน”
“?”
ซอลจีฮูคิดว่าเขาฟังผิดไป เธออยากจะให้เขาทำอะไรนะ?
“พี่แค่ต้องป้อนข้าวฉัน แล้วก็คุยเรื่องต่างๆ”
เขาไม่มั่นใจ่ว่าเธอกำลังชวนเขาเดทหรืออยากจะให้เขาช่วยฝึกกันแน่
ซอลจีฮูได้จ้องเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณอึนยูริ”
ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็น่าสงสัย เพราะงั้นเขาถึงได้ถามออกมา
“หรือว่าคุณชอบผม?”
อึนยูริสะดุ้งขึ้น
“ทำไมพี่พูดแบบนั้นล่ะ? ไม่ใช่ว่าพี่หรอกหรอที่ชอบฉันน่ะ?”
ในเวลาเดียวกันเธอก็โบกมือข้างซ้ายที่มีแหวนอยู่ไปมา ก่อนที่จู่ๆจะชะงักไป
“พี่สาว! มานี่เร็ว! มีออเดอร์ใหม่เข้ามา!”
ฟีโซราที่กำลังหั่นเนื้ออยู่ในห้องครัวได้ตะโกนออกมา แต่ซอยูฮุยกลับเพียงถือถาดเปล่ามองสลับไปมาระหว่างสองคน
“คุณหมายถึง-”
“เร็วเข้าเถอะ เรามีเวลาไม่มากแล้ว”
อึนยูริได้รีบกระตุ้นเขา และอ้าปากกว้างออกมา
“แกว๊ก”
ขณะที่เธอทำแบบนี้ จู่ๆลูกเจ๊ยบก็โผล่มายืนข้างเธอพร้อมอ้าจงอยปากกว้าง
“เฮ้ นี่นายมาจากไหนเนี้ย… อ่า ให้ตายสิ ก็ได้ ฉันขอถามหน่อยแล้วกันนะ”
ซอลจีฮูได้แต่จับช้อนไว้ด้วยความสับสน
“คุณกำลังฝึกอะไรอยู่?”
เขาได้ถามออกมาพร้อมป้อนข้าวให้กับลูกแมว และลูกเจี๊ยบ
“มันเรียกว่าอารัมภบทโรเซร่า เป็นความสามารถสำคัญที่ฉันกำลังเรียนรู้อยู่”
อึนยูริได้ตอบพร้อมเคี้ยวข้าวไปด้วย
“อารัมภบทโรเซร่า?”
“ค่ะ มันเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายเฉพาะตัวของอาจารย์”
“อืมม… โอเค แต่ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับที่ฉันต้องป้อนข้าวเธอด้วยล่ะ?”
“ก็แบบว่าฉันจะได้ใช้สองมือได้ไงค่ะ”
ขณะที่อึนยูริอธิบาย เธอก็ขยับนิ้วทั้งสิบวุ่นวายนับตั้งแต่ที่วางช้อนแล้ว
มือข้างหนึ่งของเธอได้ตวัดขึ้นลง ส่วนอีกข้างก็วาดเป็นวงกลมกลางอากาศ
“คุณกำลังทำอะไรอยู่หรอ?”
“ฝึกมุทรา” (เป็นสัญลักษณ์มือทางศาสนา หรือคล้ายๆกันกับการประสานอิน)
อึนยูริได้กลืนอาหารลงไป
“เมื่อก่อนในระหว่างยุคของจักรวรรดิมีอยู่สองวิธีที่นักเวทย์จะใช้ในการสร้างมานา หรือคือการใช้ปากร่ายเวทย์ อีกอย่างก็คือการใช้สัญลักษณ์มือมุทรา อ๊ามม~”
เธอได้เปิดปากขึ้นอีกครั้ง ซอลจีฮูที่ตั้งใจได้ขยับมือป้อนเธอไปด้วย
“เพราะงั้นในทางทฤษฎีแล้ว มันจึงเป็นไปได้ที่จะร่ายเวทย์ทั้งสามบทพร้อมๆกันในคราวเดียว แน่นอนว่ามันจะทำได้ก็ต้องเมื่อต้องใช้ปากร่ายเวทย์ และมือทั้งสองข้างแยกกันร่ายเวทย์อย่างละข้างเท่านั้น”
ระหว่างอึนยูริอธิบายอย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูก็กลายเป็นตกตะลึง
“มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?”
“ยากค่ะ มันไม่ใช่แค่ต้องทำสามอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ยังต้องแบ่งแยกการทำงานของวงจรมานาให้เป็นสามส่วนด้วย”
อึนยูริที่ปากก็เคี้ยวอาหาร พร้อมขยับนิ้ววุ่นวายได้อธิบายต่อ
“อาจารณ์บอกว่าในยุคของอาจารย์นอกจากอาจารย์แล้วไม่มีใครทำได้อีกเลย การร่ายเวทย์สามบทมันเป็นไปได้ในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่อาจารย์ก็ทำได้สำเร็จ นี่จึงเป็นเหตุผลที่มันถูกตั้งชื่อว่าอารัมภบทโรเซร่า”
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วการร่ายเวทย์ก็เหมือนกับการร้องเพลง ส่วนการเคลื่อนไหวของนิ้วทั้งสิบก็ดูเหมือนการเล่นเปียโน
การทำทั้งสามอย่างไปพร้อมๆกันด้วยทั้งมือและปากนี่มัน
‘นี่คือเหตุผลที่ถูกเรียกว่าอารัมภบทสินะ…’
“อาจารย์บอกว่าฉันจะสามารถใช้สัญลักษณ์มุทราได้เองโดยไม่จำเป็นต้องเรียนเทคนิคนี้เป็นขั้นตอน นี่คือเหตุผลที่ฉันขอให้พี่- เอ๋”
อึนยูริได้ร้องออกมากลางคัน
“อ๊าาาา-”
เธอได้กำผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ มันดูเหมือนกับว่าเธอจะทำสัญลักษณ์มุทราผิด
“จะ ใจเย็นก่อนนะ มันดูไม่ง่ายเลย”
“ไม่ค่ะ”อึนยูริได้พูดขึ้นด้วยความผิดหวัง
“มันไม่มีทางที่ฉันจะทำได้แค่เท่านี้ ในเมื่อฉันมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม แล้วยังได้ดื่มโพชั่นอำนาจการฝึกพิเศษไปอีกด้วย”
เธอได้กัดฟันแน่นพร้อมประกาศกร้าวว่าเธอจะต้องทำให้มันปรากฏขึ้นบนหน้าต่างสถานะเธอในหนึ่งสัปดาห์
ซอลจีฮูที่เห็นเศษเสี้ยวความบ้าคลั่งนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงเธอ
‘เธอจะไม่เป็นไรแน่นะ…?’
ถึงมันจะเป็นเรื่องดีที่มีแรงจูงใจมากแบบนี้ แต่ว่าหากมันล้มเหลวผลที่ตามมาก็จะรุนแรงด้วยเช่นกัน
ยังไงก็ตามหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเขาก็ต้องทึ่ง
นั่นก็เพราะ…
[4.ความสามารถ]
2.ความสามารถประจำคลาส (0)
3.ความสามารถอื่นๆ (2)
-อารัมภบทโรเซร่า (ต่ำสุด)
-วงจรมานาประยุกต์ (ปานกลาง)
…อึนยูริได้ทำตามที่ปฏิญาณเอาไว้
แม้ว่าจะเป็นระดับต่ำสุด แต่แค่การเรียนรู้ความสามารถได้ด้วยตัวเองแบบนี้มันก็เกินกว่าแค่ความรู้สึกสำเร็จไปแล้ว
ยังไงก็ตามอารัมภบทโรเซร่าเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
2.ความสามารถประจำคลาส (1)
-เส้นทางมานา (ต่ำสุด)
3.ความสามารถอื่นๆ (2)
-อารัมภบทโรเซร่า (ต่ำสุด)
-วงจรมานาประยุกต์ (ปานกลาง (สูง))
ในอีกสัปดาห์ที่หก…
2.ความสามารถประจำคลาส (2)
-ร่ายเร็ว (ต่ำสุด)
-เส้นทางมานา (ต่ำสุด)
3.ความสามารถอื่นๆ (3)
-อารัมภบทโรเซร่า (ต่ำสุด)
-วงจรมานาประยุกต์ (สูง)
-หนึ่งคำ (ต่ำสุด)
ในอีกสัปดาห์ที่เจ็ด…
2.ความสามารถประจำคลาส (2)
-ร่ายเร็ว (ต่ำ)
-เส้นทางมานา (ต่ำ)
-ความจริงอันไม่สมบูรณ์ (ต่ำสุก)
3.ความสามารถอื่นๆ (3)
-อารัมภบทโรเซร่า (ต่ำสุด)
-วงจรมานาประยุกต์ (สูง)
-หนึ่งคำ (ต่ำสุด)
และในที่สุดก็สัปดาห์ที่แปด
ในแต่ละทุกๆสัปดาห์ อึนยูริก็จะมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาพร้อมความเชี่ยวชาญความสามารถที่สูงขึ้น หรือไม่ก็มีความสามารถใหม่
“…”
ซอลจีฮูได้นั่งจ้องมองจออยู่ที่ห้องหัวหน้าผู้จัดการ ในวันนี้เวลาส่วนใหญ่ของเขาถูกใช้ไปกับการสังเกตอึนยูริ
ด้วยสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์พร้อม รวมเข้ากับความพยายามของตัวบุคคลเองทำให้ความสามารถของเธอเบ่งบานออกมา
‘…น่าทึ่ง…’
อึนยูริที่หมกหมุ่นอยู่กับการฝึกโดยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นิดเดียวช่างน่าทึ่ง
เขาแทบจะรู้สึกอิจฉา
บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ทำให้เขาไม่อาจจะละสายตาไปจากเธอได้เลย
และขณะที่เขากำลังจ้องมองเธออย่างเหม่อลอยนี้…
[นายอาจจะได้สัมผัสกับมันมาแล้ว แต่ว่าพาราไดซ์ได้ดึงดูดผู้คนทุกประเภทเข้ามา]
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของจางมัลดง
[แค่จากเขตพื้นที่เป็นกลางก็พอจะบอกได้แล้ว ท่ามกลางมือใหม่มากมาย มักจะมีคนที่พิเศษอยู่สักคนหรือสองคนอยู่เสมอ เหล่าคนที่ถูกเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์]
[แต่มันน่าขำตรงไหนรู้ไหม ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ด้วยกันก็ยังมีความต่างกันอยู่ คนที่มีพรสวรรค์มากกว่า คนที่พิเศษยิ่งกว่า]
[ยิ่งนายอยู่นานไปในที่สุดนายก็จะเจอกับคนที่มีพรสวรรค์ที่ผู้มีพรสวรรค์ด้วยกันไม่อาจจะเทียบได้เลย]
[คนจำพวกที่เรียนรู้ทักษะได้ด้วยตัวเอง และจะเดินไปในเส้นทางของตัวเอง]
[พวกเขาจะเข้าสู่ขอบเขตเฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถไปถึงได้ ฉันเรียกมันว่าการตรัสรู้]
ใช่แล้ว อึนยูริเป็นอัจฉริยะ
ด้านของเวทมนต์ เธอเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะด้วยกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความพยายามที่เป็นส่วนเสริมอีกด้วย
จากการมีสารอาหารพิเศษที่มีชื่อว่าอำนาจการฝึกทำให้ประสิทธิภาพของการฝึกเพิ่มขึ้นแปดเท่า และอาจารย์อันน่าทึ่ง เธอจึงเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลในทุกๆวัน
ไม่สิ เธอไม่ใช่แค่เติบโต อึนยูริได้เดินไปในขอบเขตเฉพาะตัวที่มีชื่อว่า ‘ความจริงอันไม่สมบูรณ์’ แล้ว
เธอได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะเข้าถึงต่อให้จะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม
[มันควรจะยากหรอคะ?]
เธอพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างการกินอาหาร
เมื่อเขาคิดแบบนี้-
‘…’
เปลวเพลิงได้ลุกขึ้นในใจของเขา
เมื่อยกฝ่ามือขึ้นแตะใบหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาก็รู้สึกความร้อนขึ้นมา มันเหมือนกับกำลังมีกองเพลิงลุกขึ้นในร่างเขา
เขารู้ว่ามันคือสัญญาณดี มันเป็นสิ่งที่เขาควรจะยินดีด้วย
ใช่แล้ว… เขารู้
เขารู้ แต่ว่า…
“…”
อารมณ์เหมือนเด็กๆที่พูดออกมาไม่ได้กำลังปะทุขึ้นในใจเขาเหมือนลาวาเดือน
‘ฉัน….’
ในฐานะตัวแทนแล้วเขามีงานที่ต้องทำอยู่
ในระหว่างบทฝึกสอนเขาก็มีงานหนักอยู่หน่อย
‘…นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่?’
เขารู้สึกละอายในตัวเองที่ทำตัวสบายๆในเขตพื้นที่เป็นกลาง เขาได้ใช้สายตาลุกโชนมองอึนยูริก่อนจะกัดฟัน
[ลักษณะนิสัย ‘ชอบเอาชนะ’ ได้ถูกสร้างขึ้น]
ซอลจีฮูได้เด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ในทันที เขาได้กำหอกพิสุจน์ กับดาบยาวที่กองอยู่ในห้องก่อนจะเดินออกไป
‘ย้อนกลับไปตอนนั้น…’
ระหว่างหวนนึกถึงการต่อสู้กับโฮมุนครุส เขาก็ได้เดินไปห้องฝึกด้วย
ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกของร่างกายที่ขยับแปลกไปเมื่อเขาใช้มีดยาว และหมัดกับเท้า
‘ฉันมั่นใจ’
และความรู้สึกกลายเป็นหนึ่งเดียวก็เกิดขึ้นในทันทีที่เขาจับหอกพิสุจน์
***
“ฟู่วว เกือบตายซะแล้ว”
ฟีโซราได้บิดคอไปมาพร้อมเดินตรงไปที่ห้องฝึก ในเขตพื้นที่เป็นกลางเธอจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในโรงอาหาร พูดให้ถูกคือเธอจะคอยช่วยซอยูฮุยที่รับหน้าที่ดูแลโรงอาหาร
เนื่องจากว่าโรงอาหารต้องดูแลคนเกือบ 400 คนมันทำให้ซอยูฮุยไม่อาจจะจัดการงานคนเดียวได้ ดังนั้นฟีโซราจึงรับหน้าที่เข้าไปช่วย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องดีที่ได้รับคะแนนเอาชีวิตรอด แต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการต้องหมกตัวอยู่แต่กับการเตรียมวัตถุดิบอาหาร
นี่คือเหตุผลให้เธอมาห้องฝึกเพื่อยืดเส้นยืดสาย…
‘หืม?’
ยังไงก็ตามทันทีที่เธอมาถึงห้องฝึก เธอก็ต้องชะงักไป มีคนอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
ซอลจีฮูกำลังเหวี่ยงอาวุธอยู่อย่างรุนแรง
‘เขามาทำอะไรที่นี่…?’
ฟีโซราเอียงหัวออกมาก่อนที่จะสะดุ้งตกใจ
สีหน้าซอลจีฮูดูแปลกมาก รอยยิ้มตามปกติของเขาได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยประกายตาอันตราย จากวิธีที่เขาเหวี่ยงอาวุธอย่างบ้าคลั่งแล้ว มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะเอาชีวิตใครอยู่
‘อีกแล้ว เอาอีกแล้วสิ’
จากประสบการณ์อันยาวนานของเธอกับเขา ฟีโซรารู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไปกระตุ้นซอลจีฮูเข้าให้แล้ว
เขาคนนี้คือสิ่งที่ฟีโซราตั้งชื่อให้ว่า ‘โหมดบุคลิกที่สอง’ เธอไม่รู้ว่าคราวนี้ใครกันไปกระตุ้นเขา แต่ว่าเขาได้เปลี่ยนโหมดไปแล้ว
ยังไม่หมดเท่านั้น
‘โอ้? โอ้???’
ยิ่งเห็นอาวุธที่เขาใช้ ฟีโซราก็ต้องกรีดร้องขึ้นในใจ หอกของเขาหายไป และถูกแทนที่ด้วยดาบยาว
‘จู่ๆมันเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?’
ไม่ว่าจะดูยังไง จุดที่แปลกมันก็ไม่น้อยเลย
เมื่อตัดสินใจได้ว่าอาจจะมีเหตุการณ์อย่างค่ำคืนในอีวาเกิดขึ้นอีก เธอจึงรีบไปบอกกับคนอื่นทันที
ในเวลาเดียวกันระหว่างที่ซอลจีฮูกกำลังตั้งสมาธิทำให้เขาไม่รู้สึกถึงคนอื่นเลยๆ เขาได้กวัดแกว่งดาบอยู่นานก่อนที่จู่ๆจะเปลี่ยนไปจับหอกกวัดแกว่งออกมาอย่างเต็มพลัง
และเขาก็ได้ทำขั้นตอนนี้ซ้ำไปไม่หยุด
นานแค่ไหนแล้วนะ?
ลมหายใจของเขาได้ถี่ขึ้น และเหงื่อได้เปียกโชกเหมือนกับคนอาบสายฝน
“ฟู่วว-”
ขณะที่เขากำลังหยุดสูดหายใจ…
“โฮ่ ดาบยาวงั้นสินะ”
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นจางมัลดงกำลังเอนตัวพิงประตูมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มอ่อน
“อาจารย์”
“ตลอดมาฉันก็ไม่คิดว่านายจะเปลี่ยนคลาสหรอกนะ”
“…”
“แน่นอนว่า การคว้าอาวุธหลักหลังจากที่ใช้อาวุธที่ไม่คุ้นเคยจะทำให้รู้สึกคุ้นเคยอยู่เล็กน้อยเช่นกัน มันก็เหมือนกับการที่รู้สึกยินดีที่ได้เจอเพื่อนสนิทหลังจากที่ได้เจอแต่กับเพื่อนทั่วไปนั่นแหละ”
จางมัลดงได้วาดไม้เท้าเป็นวงกลม
“เอาเถอะ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า แต่ว่า- แบบนี้นี่ก็คือวิธีที่นายกำลังใช้เพื่อทำให้ร่างกาย จิตใจ และเทคนิคสอดประสานกันสินะ?”
เมื่อซอลจีฮูลดอาวุธลงด้วยความท้อแท้กับคำถามนี้ จางมัลดงก็เลิกคิ้วขึ้น
“ทำไมถึงลดแขนล่ะ?”
“หืม?”
“ฉันก็แค่ถามดู ฉันไม่เคยบอกสักหน่อยว่าวิธีของนายมันผิด”
คำพูดเหลานี้ทำให้ซอลจีฮูจับหอกแน่นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ลองทำในสิ่งที่ทำได้ สิ่งสำคัญคือในตอนนี้นายกำลังได้ประสบการณ์ใหม่ ในแง่นี้การพยายามต่อให้ล้มเหลวมันก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย”
จางมัลดงได้พูดต่อด้วยรอยยิ้มบ้าง
“หากจะให้ฉันแนะนำสักหน่อยล่ะก็ การลองฝึกกับเงามันจะดีกว่าการเหวี่ยงอาวุธไปเรื่อยๆโดยไร้จุดหมายนะ”
“ฝึกเงาหรอครับ?”
“ฉันก็เคยบอกไปแล้วนี่? การฝึกคือการต่อสู้”
“ครับ”
“ลองจินตนาการถึงสถานการณ์นั้น ในตอนรู้ตัวความรู้สึกมันไม่เกิดขึ้นง่ายๆหรอกนะ การอยู่ในสถานการณ์จริงมันจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ?”
จากคำพูดนี้ทำให้ดวงตาของซอลจีฮูเป็นประกายความเข้าใจขึ้นมา