บทที่ 296 - เบาะแสที่คาดไม่ถึง (3)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 296 – เบาะแสที่คาดไม่ถึง (3)

อึนยูริที่ตกใจกับการเคลื่อนไหวของซอลจีฮู ได้รีบพยายามบิดแขนกลับมา

แต่ยังไงก็ตามเรี่ยวแรงของเธอได้หมดไปจากการฝึกแล้ว ทำให้ร่างกายของเธอไม่ยอมขยับตามต้องการเลยสักนิด

ซอลจีฮูได้เผยรอยยิ้มซุกซนออกมา

“ชิ ทำไมคุณต้องต่อต้านด้วยล่ะ… นี่เป็นของขวัญเชียวนะ”

อึนยูริได้มองดูซอลจีฮูที่กำลังหัวเราะ แต่ว่าเธอก็ได้แต่จ้องแหวนที่ถูกสวมลงไปบนนิ้วของเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง

“ตอนนี้ก็เรียบร้อยแล้ว ยินดีด้วยนะ”

ซอลจีฮูได้ลูบหลังมืออึนยูริเบาๆ

เมื่อเห็นแหวนสีเงินบนนิ้วของเธอ เธอก็ได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมา

แน่นอนว่าการมอบแหวนเป็นของขวัญมันเป็นเรื่องปกติ แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว ทำไมต้องเป็นมือซ้าย แล้วก็ทำไมเขาถึงได้สวมมันลงบนนิ้วนางของเธอด้วยตัวเองอีกด้วย

“คุณทำได้ดีมาก ตอนนี้พักบ้างเถอะนะ”

อึนยูริหรี่ตามองดูซอลจีฮู แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด กลับกันเขากระทั่งขยิบตาให้เธอ

“โอ้ จริงสิ อย่าตกใจนักล่ะ มันอาจจะมีอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย แต่เธอเป็นราชินี เพราะงั้นอย่าไปทำหยาบคายกับเธอนะ”

หลังจากทิ้งคำพูดที่เธอไม่เข้าใจ ซอลจีฮูก็เดินจากไป

“…”

อึนยูริได้จ้องแหวนบนนิ้วนางอยู่นานก่อนจะสะบัดหัว จากนั้นเธอก็ถอนหายใจยาวและหลับตาลง

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอก็อยู่บนโลกใบใหม่ไปแล้ว

“ยินดีต้อนรับ!”

“มานี่สิ! รีบมาตรงนี้เร็วเข้า!”

หญิงสาวสวมหมวกทรงแหลมกำลังอ้าแขนโบกมือต้อนรับเธออยู่

***

เช้าวันถัดมา

มันเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ อึนยูริได้มาหาเขาในทันทีที่ถึงรุ่งเชา

เธอไม่ได้ส่งเสียงวุ่นวายเหมือนชาล็อต อาเรีย แต่จากใบหน้าเปล่งประกายของเธอ เขาก็พอจะเดาได้เลยว่าเธอรู้สึกยังไง ความสนุกและตื่นเต้นที่เธอไม่เคยแสดงมาก่อนได้ปรากฏขึ้นจากตัวเธอ

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

“น่าเหลือเชื่อ”

อึนยูริได้ตอบกลับด้วยเสียงหายใจแรงเหมือนกับความตกใจในโลกใบใหม่ยังคงไม่ได้หายไป

“เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มีประสบการณ์อะไรแบบนี้”

“ก็นะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้สัมผัสกับมันง่ายๆ”

“มันเหมือนกับฝันเลย คุณว่าไหมล่ะ? การยืมพลังจากจักรวาลเพื่อทำให้วิญญาณของมนุษย์ไหลเข้าไปสู่ระบบแยกจากโลกที่ไม่มีอะไรภายนอกเข้ามาข้องเกี่ยวได้ด้วยรูปแบบของความฝัน นี่มันทำให้….”

…เธอได้พูดประโยคที่เข้าใจยากอออกมาอย่างตื่นเต้น

ไม่สิ ในฐานะนักเรียนวิศวะแล้ว เขาก็พอจะเข้าใจบางส่วนที่เธอพูดได้ แต่ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆเธอถึงพูดเรื่องอะไรแบบนี้

เขาได้ใช้มือปิดปากของเธอที่พูดไม่หยุด ก่อนจะถามออกมา

“คุณได้เจอคุณโรเซร่าแล้วหรอ?”

อึนยูริได้พึมพำออกมา

“อ่า ขอโทษด้วย”

“ค่ะ แล้วฉันก็มีเพื่อนด้วย”

“เพื่อนงั้นหรอ? อ่อ ยอดไปเลยนะ การได้เป็นเพื่อนกับราชินี คุณคงจะรู้สึกดีแน่”

“ค่ะ แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้นคืออาจารย์…”

‘เธอคงจะชอบพวกเธอแน่ๆ’

ซอลจีฮูได้หัวเราะในใจเมื่อเขาเห็นว่าอึนยูริพูดมากกว่าปกติ

“ผมบอกแล้วว่าผมจะช่วยคุณ”

ซอลจีฮูยิ้มสดใส

“พยายามเข้า สัญญาของเราคือสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลังจากเขตพื้นที่เป็นกลางแล้วเราจะไม่ได้เจอกันอีก นับจากนี้ไปคุณจะอยู่กับเราใช่ไหม?”

กับคำพูดนี้อึนยูริได้เงียบลงไป จากนั้นเธอก็ค่อยๆถามออกมา

“…ได้หรอ?”

ซอลจีฮูกระพริบตาออกมา อึนยูริได้ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

“หลังจากออกไปจากเขตพื้นที่เป็นกลางแล้ว ฉันตามคุณไปได้หรอ?”

“ได้สิ”

ซอลจีฮูค่อยๆพูดออกมา

“ทำไมหรอ? คุณมีแผนจะไหนไหนในตอนเขตพื้นที่เป็นกลางปิดงั้นหรอ?”

“ไม่! ไม่มี!”

อึนยูริได้รีบปฏิเสธออกมา

“ค่อยโล่งใจหน่อย”

“ฉันไม่ได้โกหกนะ ไม่มีใครมาชวนฉันเลย!”

“ก็นะ ต่อให้เกิดขึ้นก็ไม่มีปัญหาหรอก”

ซอลจีฮูยิ้มออกมาเมื่อเขาเห็นอึนยูริท้วงด้วยความรู้สึกผิด

“ผมไม่ใช่คนที่จะมองดูคนแย่งของๆผมไปหรอกนะ ฉันเป็นคนประเภทที่ทำมากกว่าพูด”

“…”

“จะยังไงแค่คุณตามเรามาก็พอแล้ว”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ อึนยูริก็รีบหลบสายตาไป ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“…ค่ะ!”

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้ดูเขิน ยิ่งจู่ๆเธอทำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขาสงสัย แต่ซอลจีฮูก็พูดต่อ

“จะยังไงแล้วเดือนนี้เรามาทำตารางฝึกกันเถอะนะ ฝึกร่างกายในเขตพื้นที่เป็นกลาง และฝึกเวทมนต์ในตอนคุณหลับ นี่เป็นตารางที่แน่นมาก แต่สำหรับเจ้าของห้องลำดับหนึ่งแล้วมันก็เป็นไปได้”

“แน่นอนค่ะ คุณไม่ต้องห่วงเลย”

อึนยูริปรบมือเข้าด้วยกัน และยิ้มบางออกมา

“คุณได้เตรียมทุกอย่างให้ฉันแล้ว ฉันจะพยายามและกลายเป็นประโยชน์ให้กับคุณเอง”

คำเหล่านี้ต่างก็เป็นคำที่น่ายกย่อง เพราะงั้นแล้วซอลจีฮูจึงรู้สึกซาบซึ้ง และเป็นกำลังใจให้เธอ

“เอาล่ะ วันนี้ก็พยายามเข้านะ”

“ค่ะ!”

อึนยูริได้ตะโกนออกมาก่อนจะหันหน้าไป เธอได้เดินออกไปอย่างมีความสุข ก่อนจู่ๆจะชะงักไป

เธอได้ค่อยๆหันกลับมาพูดขึ้น

“ขอบคุณนะคะ พี่”

เมื่อกี้นี้… เธอพูดว่าอะไรนะ?

“คุณแทบจะเหมือนเทพแล้วนะ พี่ชาย”

“…เทพ”

“ใช่แล้ว เทพน่ะ”

ดวงตาของเธอได้โค้งออกมาเป็นรอยยิ้ม

“ก็เพราะคุณได้ทำตามปรารถนาของฉัน”

จากนั้นเธอก็รีบวิ่งหนีออกไป

ซอลจีฮูที่อยู่เพียงลำพังได้แต่เกาหัวนิ่งๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าจริงๆแล้วประโยคนั้นมันหมายความว่ายังไง

***

วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนครบหนึ่งเดือน

ในที่สุดวันที่ห้องปลุกพลังจะถูกเปิดขึ้นก็มาถึง

สำหรับชาวโลกแล้ว คลาสของแต่ละคนต่างเป็นเครื่องแสดงถึงคุณค่าในตัวเอง บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ทำให้พวกเขาต่างก็มาตั้งแถวกันภายใต้การดูแลของครูฝึกด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ซอลจีฮูเอนหลังพิงอยู่กับบันไดคอยมองดูผู้คนเข้าไปในห้องปลุกพลังทีละคน

คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งถึงสองนาที

ด้วยการสังเกตทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักรบอย่างที่เขาคิดไว้ และมีนักธนูอยู่บ้างไม่กี่คน

แต่ว่าในหมู่คนจำนวนมากเหล่านี้ก็ยังไม่มีใครปลุกพลังขึ้นมาเป็นนักเวทย์หรือนักบวชเลยสักนิด

‘ยูยอลมูเป็นนักรบ และปาร์ควูรีเป็นนักธนู…’

จากนั้นในที่สุดก็ถึงตาอึนยูริเข้าไปในห้องปลุกพลัง ซอลจีฮูได้ตั้งใจเพ่งมองดูประตูสีขาว แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่อึนยูริจะใช้เวลานาน

ยังไงก็ตามประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้งในเวลาไม่ถึงสองนาทีหลังจากเธอเข้าไป

“เฮือก-”

เขาได้ยินเสียงหอบหนักของเธอ อึนยูริได้เดินโซเซออกมาจากประตูพร้อมเหงื่อเปียกโชก

‘เสร็จแล้ว?’

ทันทีที่เขาเปิดนพเนตร ที่ม่านตาเขาก็เต็มไปด้วยข้อมูล

‘สีม่วง’

ร่างกายของอึนยูริกำลังอาบไปด้วยแสงสีม่วงใส่ – วิวัฒนาการดวงดารา

‘แต่ระหว่างบทฝึกสอนเธอยังเป็นสีเขียว…’

ในเวลาเพียงเดือนเดียวสีได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีม่วง ซอลจีฮูหรี่ตาลง

‘นี่เป็นครั้งที่สอง… ไม่สิ ครั้งที่สามสินะ?’

ยังไงก็ตามก่อนที่เขาจะได้คิดเสร็จนั้น ปัง! นิมิตได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

ซอลจีฮูได้จดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้า เขาเห็นผู้หญิงที่ไม่คุ้นตาอยู่ใจกลางนิมิต ซอลจีฮูต้องใช้เวลาอยู่นานถึงจะรู้ว่าเธอคนนี้ก็คืออึนยูริ

ใบหน้าและบรรยากาศรอบตัวเธอดูเป็นผู้ใหญ่ และเครื่องแต่งกายเธอก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญไปกว่านั้นสีหน้าเธอดูโมโหมาก

[นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ]

ดูจากสายตาที่มองและการตะโกนแล้ว เธอคงจะกำลังพูดกับใครบางคนอยู่

[ทันทีที่อาณาจักรภูติล่มสลาย ป้อมปราการไทกอลก็จบสิ้นแล้ว และหากป้อมปราการไทกอลพังลง สหพันธรัฐก็จบเช่นกัน ต่อจากนั้นเมื่อสหพันธรัฐจบสิ้น…]

[มนุษยชาติก็สูญพันธ์]

น้ำเสียงแหบพร่าได้เติมคำพูดที่เว้นว่างอยู่ ซอลจีฮูไม่อาจจะเห็นเจ้าของเสียงได้ แต่เขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาได้เผลอสัมผัสที่คอโดยไม่รู้ตัว

[ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไรนะ แต่ว่า…]

ใครบางคนได้พูดต่อด้วยเสียงต่ำ

[มันจะยังไงล่ะ? เธอหวังให้ฉันทำอะไร?]

ใบหน้าของอึนยูริในนิมิตได้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

[มันไม่ใช่ว่านายร่วมมือกับสหพันธรัฐอยู่หรอกหรอ?]

[มันควรจะเลือกว่าข้อตกลงมากกว่าการร่วมมือกัน เอาเถอะ พวกเขาก็ไม่ได้มองฉันดีกว่ามนุษยชาติหรอกนะ]

[นายกำลังพูดอะไรอยู่? เรื่องการร่วมมือหรือข้อตกลงมันสำคัญในสถานการณ์แบบนี้งั้นหรอ?]

[พอได้แล้ว]

บุคคลที่น่าจะเป็นผู้ชายได้ขัดคำพูดของอึนยูริ

[เอาเถอะนะ ก็ได้ สมมติว่าทุกๆอย่างที่เธอพูดมันมาจากเจตนาดี แต่ที่ฉันอยากจะรู้คือทำไมเธอมาพูดกับฉันล่ะ แล้วพลังของชาวโลกที่มนุษยชาติภาคภูมิใจนักหนามันไปไหนแล้วล่ะ?]

[…ฉันไม่คิดว่าราชินีปรสิตจะอยู่เฉย]

อึนยูริได้พูดต่อ

[มันชัดเจนมากพอต้องมีระดับผู้บัญชาการอย่างน้อยสองหรือสามคนเคลื่อนไหว นี่คือเหตุผลที่เราต้องให้นายช่วยอาณาจักรภูติ มันไม่มีใครรู้จักผู้บัญชาการมากไปกว่านายแล้ว]

[อ่อ พอเธอไม่ต้องการกไล่ฉัน และพอต้องการฉันก็มาขอให้ฉันช่วยสินะ]

อึนยูริได้เงียบลงไปกับคำเหน็บนี้

[น่าทึ่งจริงๆเลย! นี่มันไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ บางครั้งเรื่องที่ว่าฉันก็มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกันกับมนุษยชาติที่เหลือมันแทบจะทำให้ฉันอยากจะอ้วกจริงๆเลย]

อึนยูริได้แต่เม้มริฝีปากเอาไว้โดยสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจโต้เถียงกับเธอ

[ยังไม่หมดนะ นับตั้งแต่ต้นไม้โลกเหี่ยวเฉามันก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้การช่วยอาณาจักรภูติจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? ยิ่งกว่านั้นเธอมีวิธีข้ามไปในอาณาจักรภูติด้วยงั้นหรอ?]

[นายก็น่าจะรู้ว่ามีอีกวิธีหนึ่งในการเข้าไปในอาณาจักรภูตินอกเหนือจากการผ่านต้นไม้โลก]

[เธอจะบ้าหรือเปล่า? ถ้าเธอพูดถึงเรื่องน้ำพุก็อย่าพูดถึงมันเลย ที่เธอปากพล่อยออกมาเพราะเธอไม่รู้งั้นหรอว่าต้องใช้กำลังทหารขนาดไหนในการต่อต้านผู้บัญชาการสักคนน่ะ?]

[ฉันรู้ว่าวิธีการใช้น้ำพุมันมีข้อจำกัด แต่หากว่าเรารวมเข้ากับกองกำลังที่เหลือในอาณาจักรภูติ พวกเราก็น่าจะ…]

อึนยูริได้นิ่งไปราวกับว่าเธอรู้ถึงโอกาสที่จะสำเร็จ เสียงแค่นเสียงดังขึ้น

[พระเจ้า ที่ฉันชอบเจอเธอก็เพราะชื่อเสียงเธอ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเธอมันเป็นคนโง่หมดหวังเหมือนคนอื่นๆทั้งนั้นเลย เธอมาเจอฉันแค่เพราะสำนึกในภาระหน้าที่อันไร้ความหมายงั้นสินะ?]

[…]

[เสียเวลาจริงๆ! ไสหัวไป! ไม่สิ ฉันจะไปเอง]

เสียงเทาของฝ่ายชายได้ค่อยๆเบาลงพร้อมเสียงเดาะลิ้นของเขา อึนยูริเม้มปากก่อนจะตะโกนออกมา

[มาทำข้อตกลงกัน]

[?]

[ฉันบอกว่ามาทำข้อตกลงกัน]

[…อะไรนะ? เธอรู้ไหมว่าฉันต้องการอะไร?]

[สิ่งที่นายต้องการ ไม่สิ สิ่งที่นายหวังจะทำให้สำเร็จ ฉันรู้ว่ามันคืออะไร]

อึนยูริได้กลืนน้ำลายลงไปก่อนจะพูดด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยว

[ฉันมีวิธีช่วยจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือกว่าของนายที่เป็นปีศาจหอกล

ต่อจากนั้นดวงตาของอึนยูริก็เบิกกว้างขึ้น ซอลจีฮูที่มองดูนิมิตอยู่ก็เบิกตากว้างเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าในพริบตาเดียวได้มีคมหอกจ่อที่คอเธอแล้ว

[พูดมา]

และภายในนิมิต… เขาได้เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย คนที่อึนยูริพูดด้วยก็คือตัวเขาในอดีตนั่นเอง

[ฉันคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ฉันไม่อยากจะฆ่านักเวทย์ที่เป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติด้วยมือตัวเองหรอกนะ]

และอึนยูริ…

“พี่?”

…ทันใดนั้นเองภาพก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“ใจร้าย ฉันขอให้พี่ช่วยฉัน…”

อึนยูริที่หอบหันกได้บ่นออกมาพร้อมเช็ดหน้าผากที่เปียกโชก

ซอลจีฮูได้มองลงไปที่อึนยูริด้วยสายตาสับสน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นนิมิต แต่ยิ่งเขาได้รับข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกซับซ้อน

ยังไงก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ซอลจีฮูมั่นใจ การคาดเดาของเขาถูกต้อง

ความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ อึนยูริเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญของมนุษยชาติที่จะต่อต้านกับปรสิตจนถึงตอนท้าย

ในที่สุดหน้าตาสถานะของเธอก็ปรากฏขึ้น

[หน้าต่างสถานะของอึนยูริ]

[1.ข้อมูลทั่วไป]

วันที่ถูกเชิญ: 2018:03:22

ตราประทับ: ทองคำ

เพศ/อายุ: หญิง/22

ส่วนสูง/น้ำหนัก: 168.4 ซม./52.2 กก.

สุขภาพ: ดี

คลาส: นักเวทย์ระดับ 1

สัญชาติ: สาธารณรัฐเกาหลี (พื้นที่ที่ 1)

สังกัด: –

ฉายา: อันดับหนึ่ง

[2.ลักษณะนิสัย]

1.นิสัย

-เอาแต่ใจ (พยายามหลีกเลี่ยงต่อสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่อยากจะทำ)

-ใจเย็น (ความคิดและการกระทำจะไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ใจเย็นอยู่เสมอ)

-การเอาชนะ (อยากจะเอาชนะอยู่เสมอ)

-ทะเยอทะยาน (ต้องการ มีความสุข หรือปรารถนาในสิ่งที่เธอรู้สึกขาดอยู่)

-พึ่งพา (มองหาคนพึ่งพาโดยไม่รู้ตัว)

2.ความถนัด

-ช่างสังเกต (จะศีกษาสิ่งต่างๆ และวิเคราะห์เหตุการณ์รอบตัวอย่างรอบคอบ)

-มุ่งมั่น (จะมุ่งความสนใจทั้งหมดไปในสิ่งที่ทำ)

-จินตนาการ (มีพลังความคิดที่จะสร้างปรากฎการณ์หรือสิ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน)

-สร้างสรรค์ (ความสามารถในการคิดสิ่งใหม่ๆ)

-อัจฉริยะ (พรสวรรค์ฟ้าประทาน เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษในด้านสาขาหนึ่ง)

-ภาพฉาย (ความสามารถในการสร้างภาพสิ่งของหรือปรากฎการณ์ต่างๆภายในหัวได้)

[3.สภาพร่างกาย]

พละกำลัง: ต่ำ (ปานกลาง)

ความอดทน: ต่ำ (ต่ำ)

ความคล่องแคล่ว: ปานกลาง (ต่ำ)

เรี่ยวแรง: ปานกลาง (ปานกลาง)

มานา: ปานกลาง (ปานกลาง)

โชค: สูง (สูง)

คะแนนความสามารถที่เหลืออยู่; 1

หลังจากได้เห็นชุดข้อมูลตรงหน้า ซอลจีฮูก็ถึงกับพูดไม่ออกมา ทำไมมันถึงได้เยอะแบบนี้

‘สภาพร่างกายของเธอ…’

สภาพร่างกายของเธอมันสูงจนน่าแปลกใจ แต่มันก็เป็นเรื่องที่พอรับได้เนื่องจากเธอบอกว่าเธอได้รับการฝึกอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว

สิ่งที่ทำให้เขาสนใจที่สุดคงจะเป็นความถนัด ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงคำพูดของโรเซร่าแล้ว

นับตั้งแต่ช่างสังเกตไปจนถึงภาพฉาย ความถนัดแต่ละอย่างของเธอต่างก็เหมาะสมกับนักเวทย์อย่างมาก ไม่สิ ไม่ว่าคลาสไหนๆก็เหมาะสมทั้งนั้น แต่แค่เหมาะสมกับนักเวทย์ที่สุดเท่านั้นเอง

“พวกเขาบอกว่าฉันเป็นนักเวทย์”

อึนยูริพูดออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายราวกับรู้สึกดีขึ้นแล้ว

“มันใช้เวลาไม่นาน เทพทั้งเจ็ดได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าฉันเป็นนักเวทย์”

ซอลจีฮูได้จมอยู่กับความคิดอยู่โดยที่มองอึนยูริที่กำลังพูดอย่างยินดีไปด้วย

ความสัมผัสของตัวเขาในอดีตกับอึนยูริเป็นแบบไหนกันนะ? แล้วเรื่องที่คุยกันเกี่ยวกับการช่วยจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย?

‘ยังมีน้ำพุที่ถูกพูดถึงอีกด้วย…?’

ขณะที่เขากำลังคิดกับตัวเองนี้ อึนยูริกำลังพูดออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส

“แต่ฉันไม่คิดที่จะเป็นนักเวทย์หรอกนะ”

ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

“อาจารย์อธิบายว่าเวทมนต์แบ่งออกเป็นสามสาขา”

“สามสาขา?”

“ใช่แล้ว อย่างแรกคือมนตรา ศาสตร์แห่งการยืมพลังจาธรรมชาติหรือพลังลึกลับเพื่อควบคุมมานา อย่างที่สองคือเวทมนต์ ศาสตร์ในการใช้กฎตายตัวผ่านระบบตามมาตราฐานเพื่อสร้างเป็นมานาขึ้นมา สุดท้ายก็คือการบุกเบิกเส้นทางมานาของตัวเอง”

อึนยูริมองขึ้นมาที่ซอลจีฮู

“ฉันคิดที่จะกลายเป็นผู้ใช้เวทย์ และบุกเบิกเส้นทางมานาของตัวเอง”

หรือก็คือเธอไม่ได้จะเลือกคลาสอื่น แต่เธอแค่เจาะจงหนึ่งในสามสาขาเวทมนต์เท่านั้นเอง

“แต่คุณโรเซร่าเป็นผู้ก่อตั้งมนตรา… เธอไม่พูดอะไรเลยหรอ?”

“ไม่เลย จริงๆแล้ว เธอมีความสุขมากๆกับการตัดสินใจนี้”

อึนยูริส่ายหัวออกมา

“เธอบอกว่า ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ผู้ที่เดินในเส้นทางแห่งมานาจะต้องรู้วิธีในการบุกเบิก และพัฒนาความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง”

ซอลจีฮูอ้าปากค้าง เขารู้สึกเหมือนกับเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน

“เอกลักษณ์ของตัวเอง… มันไม่ยากหรอ?”

“ก็น่าจะค่ะ อาจารย์ก็บอกแบบนั้น แต่ละก้าวต่างก็ยากลำบาก และในอนาคตฉันอาจจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมาก”

แต่ว่าคนที่กำลังพูดแบบนี้ไม่ได้มีความกลัวอยู่บนใบหน้าเลย

“แต่ว่า-”

อึนยูริได้ค่อยๆชูนิ้วทั้งสิบขึ้นมา

ริ้วแสงได้ปรากฏออกมาจากปลายนิ้ว และพันกันจนกลายเป็นรูปห้าเหลี่ยมอย่างงดงาม ความงดงามก็เรื่องหนึ่ง แต่ความน่าทึ่งของมานานี้มันได้ทำให้ซอลจีฮูขนลุก

อึนยูริได้ยิ้มออกมาอย่างสดใสพร้อมมองดูดวงดาวเปล่งประกายที่เธอสร้างขึ้น

“ฉันกำลังใจเต้นแรงเลยล่ะ”