สิบนาทีต่อมา เมื่ออวี่เหวินซวนและมู่เฉินกลับมายังโรงงานอย่างรีบร้อน กลับพบว่าบรรยากาศที่นี่แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งก่อนแล้ว นอกจากจางซินเฉิงที่เฝ้าระวังอยู่ข้างนอก รวมถึงเย่เลี่ยนกับกู่ซวงซวงที่เฝ้าไข้อยู่ คนที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่ห้องโถงของอาคารด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
พวกเขาทั้งสองรีบวางกระเป๋าลงบนพื้น แล้วถาม “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”
เย่ไคกำลังนั่งลับมีดอยู่ที่มุมห้อง ได้ยินก็เงยหน้าตอบ “จางเส่อหายตัวไป”
“จางเส่อ? หายไปได้ยังไง?” อวี่เหวินซวนรู้สึกสังหรณ์ใจทันที จึงรีบถาม
นักบินคนนั้นนั่งพิงผนัง สูดบุหรี่เข้าปอดลึกๆ แล้วตอบ “เขาหายไปแล้ว…หลังจากที่ผมกับรองหัวหน้าทีมเย่รู้เรื่องนี้ ก็รีบกลับมาแจ้งให้ทุกคนทราบ แต่ปรากฏว่า…”
ซย่าน่าพูดต่อ “พวกเรารีบไปตรวจสอบจุดที่จางเส่อหายตัวไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือร่องรอยของเขา ล้วนหายไประหว่างทาง เย่ไคบอกว่าเขาอาจเจออะไรบางอย่างเลยเดินเข้าไปในนั้น แต่ในอาคารโรงงานหลังนั้น พวกเราไม่เจอร่องรอยที่น่าสงสัยอย่างอื่นเลย แม้แต่นอกตัวอาคาร พวกเราก็ไม่เจออะไรเป็นพิเศษ…”
เธอหันไปมองอวี๋ซือหรานเป็นพิเศษ แล้วพูดเสริมว่า “ตอนนั้นซือหรานอยู่นอกโรงงานพอดี แต่เธอไม่เห็นอะไรเลย”
อวี๋ซือหรานนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเฮยซือ พอเห็นทุกคนมองมาทางตัวเอง เธอจึงพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
“ก็หมายความว่า จางเส่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซ้ำยังหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเราอีกด้วย!” เย่ไคกระชับด้ามมีดแน่น พลางเค้นเสียงต่ำพูดขึ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาทำหน้าที่เฝ้ายาม ดังนั้นเห็นชัดว่า เย่ไคทั้งโมโห และรู้สึกผิดมาก แต่เรื่องแบบนี้แค่พูดว่า “ฉันผิดเอง” ก็ใช่ว่าจะจบ ยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน เทียบกันแล้ว ผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้เลย…
เพราะเข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเย่ไคจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลับมีด และไม่ได้พูดอะไรมากความ แน่นอนว่า คนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเขา…แต่ด้วยนิสัยเขา พูดไปก็คงไม่มีประโยชน์
“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง…” มู่เฉินงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาหันไปมองอวี่เหวินซวน แล้วก็เห็นความตกตะลึงในสายตาของอีกฝ่าย
พวกเขาเพิ่งจะค้นพบปัญหาทางนั้น แต่ปรากฏว่าทางนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ…
“ไม่มีใครคาดคิดว่าที่นี่จะมีอันตรายอย่างนี้ซ่อนอยู่ ดังนั้นตอนนี้ถึงจะคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อันดับแรกพวกเราต้องหารือเรื่องสำคัญสองเรื่องกันก่อน หนึ่งคือเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะเจ้าลิงผอมกับพี่หลิงที่ขยับตัวไม่ได้ ถ้าหากพวกเขาถูกเพ่งเล็ง จะเป็นอันตรายต่อพวกเราที่สุด สองคือค้นหาและช่วยชีวิตจางเส่อ ซึ่งนั่นทำให้พวกเราต้องแบ่งทีมกันใหม่ เพราะการแบ่งทีมละสองคนเหมือนก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่ากำลังคนไม่พอ…” ซย่าน่าพูดขึ้น เวลานี้เธอดูจริงจังและเคร่งเครียดมาก สายตาดูเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ เพียงแต่สีหน้าและแววตาที่ฉายผ่านเป็นบางครั้ง ยังคงทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงแม่มดน้อยที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอ…
“ไม่มีปัญหา…”
“ฉันเป็นทีมแรกได้นะ” เย่ไคอาสา
อวี่เหวินซวนกลับคัดค้านทันที “ไม่ได้! ทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป!”
คนที่เหลือต่างพากันหันมามองเขา แต่ไม่รอให้พวกเขาถาม อวี่เหวินซวนพูดต่อว่า “อำเภอนี้น่าสงสัยทั้งอำเภอ! ไม่ใช่แค่ที่นี่ที่มีอันตราย แต่มีอันตรายซ่อนอยู่ทุกที่ต่างหาก! ทันทีที่พวกเราแยกกันเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าอาจเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงกว่า! แต่ถ้าหากเรารวมตัวกัน แล้วเมื่อไหร่เราจะหาจางเส่อเจอ?”
“หมายความว่ายังไง?” สวี่ซูหานลุกขึ้นยืน แล้วถาม
“มู่เฉิน บอกพวกเขาไปสิ” อวี่เหวินซวนพูด
ตอนนี้มู่เฉินไม่มีเวลามาเถียงกับเขา ได้แต่ให้ความร่วมมือและอธิบายว่า “พวกฉันพบว่า ไม่ใช่แค่ซอมบี้หรือสัตว์ประหลาดที่เราไม่เคยเห็นในอำเภอนี้ แต่เรายังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกเราเลยด้วย ทุกคนเข้าใจที่ฉันพูดไหม? พวกฉันสองคนกระทั่งลองคุ้ยเศษขยะตรงมุมกำแพงดูแล้วด้วยซ้ำ แต่ปรากฏว่าไม่เห็นแม้แต่หนอนซักตัว และที่นี่ไม่ใช่แค่ไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เห็น แม้แต่สิ่งไร้ชีวิตก็ยังไม่มีให้เห็นอีกด้วย ทั้งอำเภอ ไม่มีศพให้เห็นเลยซักศพ…”
“ฉันไม่เข้าใจ…” หลี่ย่าหลินมองไปที่ซย่าน่าอย่างสงสัย
“ที่นี่คือเมืองร้างที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ!” อวี่เหวินซวนบอก “แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือศพพวกนั้น ล้วนไม่มีทางหายไปกับอากาศได้แน่นอน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ดูเงียบสงบนี้ ความจริงแล้วมีอันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่าซุกซ่อนอยู่ อันตรายที่น่ากลัวมากพอที่จะกลืนกินอำเภอนี้ทั้งอำเภอ และพาตัวจางเส่อไปอย่างเงียบเชียบ!”
หลังจากที่เขาพูดจบ ห้องโถงทั้งห้องจมดิ่งสู่ความเงียบ จนกระทั่งซย่าน่าเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง “ทำไมต้องเป็นวันนี้? พวกเรามาที่นี่ตั้งสามวันแล้วนะ…”
“บางที…มัน หรือพวกมัน อาจกำลังแอบสังเกตการณ์พวกเรา และคอยมองหาช่องโหว่อยู่เงียบๆ ก็ได้” สวี่ซูหานพูดอย่างหวาดผวา ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างนี้…อำเภอที่ดูเงียบสงบในตอนแรก อยู่ๆ กลับกลายเป็น “อสุรกาย” ที่กลืนกินทุกอย่าง เรื่องแบบนี้นอกจากจะทำให้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ เกรงว่าคงรู้สึกเป็นอื่นไม่ได้แล้ว
ที่แย่ที่สุดคือ ราคาที่พวกเขาต้องแลกกับการได้รับรู้เรื่องนี้ คือชีวิตของคนหนึ่งคน…
“ดังนั้น มันหรือพวกมัน จะต้องมีสติปัญญาอย่างแน่นอน” ซย่าน่าสรุป
แต่ผลสรุปของเธอ กลับทำให้อุณหภูมิในห้องลดฮวบลงทันที…
มีเพียงอวี่เหวินซวนที่พูดขึ้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เดี๋ยวนะ…นี่เธอจะบอกว่า…”
ซย่าน่าคลี่ยิ้มเย็นชาอย่างเจ้าเล่ห์ บอกว่า “ในเมื่อมีความอดทนรอได้นานขนาดนี้ ทุกคนคิดว่าพวกมันจะพอใจแค่นี้หรอ? ถ้าหากไม่มีสติปัญญา กลับจะรับมือได้ยากกว่า แต่ในเมื่อมีสติปัญญา พวกเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้”
“ใช่แล้ว!” มู่เฉินตบต้นขาดังป๊าบ “คนที่ถูกหลอกง่ายที่สุดก็คือคนโง่ที่เอาแต่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ แต่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด!”
“อื่ม…” อวี่เหวินซวนเองก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ขอเพียงสามารถหลอกล่อให้พวกมันมาติดกับได้ พวกเราก็จะสืบสาวาจนหาที่ซ่อนตัวของพวกมันเจอ แต่ไม่รู้ว่า พวกมันจัดการที่นี่จนเกลี้ยงเกลาขนาดนี้ จะส่งผลกระทบอะไรต่อโกดังสองแห่งนั้นไหม…”
“โกดังอาวุธคงไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นโกดังอาหารล่ะก็…พวกมันน่าจะกินเนื้อเป็นอาหารสินะ?” สวี่ซูหานพูดขึ้น
แต่พอเธอพูดคำว่า “กินเนื้อเป็นอาหาร” ออกมา นักบินคนนั้นพลันมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วจากนั้นก็ก้มหน้าเหม่อมองขี้บุหรี่บนพื้น
สวี่ซูหานตกใจ รีบพูดเสียงเบา “ขอโทษที…”
“ไม่เป็นไร…แต่ไม่ว่าพวกมันจะกินอะไรเป็นอาหาร ถ้าพวกมันยังอยู่ที่นี่ จะต้องส่งผลกระทบต่อการขนย้ายของเราในอนาคตแน่นอน อีกอย่างถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจมัน แต่ยังไงพวกมันก็ต้องตามรังควานเราไม่ปล่อยแน่ เรื่องนี้ แค่ดูจากการที่มันวางแผนมานานก็รู้แล้ว เพราะถึงยังไงในอำเภอหลีหมิงแห่งนี้ พวกเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงกลุ่มเดียว…” นักบินคนนั้นพูดเสียงสั่น
ขณะเดียวกัน นิ้วของหลิงม่อที่นอนอยู่บนเตียงพลันกระดิกเล็กน้อย เปลือกตาก็ขยับเบาๆ ชั่วขณะ…
ฮู่ว!
ในห้องอีกห้องหนึ่ง เจ้าลิงผอมพลันลืมตาโพลง
เขาเหม่อจ้องเพดานอยู่ครู่หนึ่งก่อน จากนั้นก็กลอกกลิ้งลูกตา ค่อยๆ มองไปทางกู่ซวงซวงที่อยู่อีกข้าง
กู่ซวงซวงที่ดูเหนื่อยล้ามากกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลตัวหนึ่ง เธอนั่งอยู่ข้างหน้าหน้าต่างสกปรกๆ และทอดมองออกไปไกล
เจ้าลิงผอมจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าเธอไม่มีแนวโน้มที่จะหันมา เขาจึงค่อยๆ เปิดผ้าห่มออก และลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนแบบง่าย
กู่ซวงซวงยังคงทอดมองออกไปข้างนอก ไม่ได้รู้ตัวว่าข้างหลังมีอะไรเปลี่ยนไป
จนกระทั่งหลังจากที่เจ้าลิงผอมเดินออกไปนอกห้อง เธอก็ยังไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เกรงว่าแม้แต่กู่ซวงซวงก็คงคาดไม่ถึง เจ้าลิงผอมที่ดูเหมือนบาดเจ็บสาหัส กลับเร็วได้ถึงขนาดนี้…
หลังจากออกมานอกห้อง เจ้าลิงผอมยืดตัวตรง เบิกตาสีแดงกว้าง แล้วค่อยๆ เดินไปยังห้องของหลิงม่อ…
ทางเดินในอาคารเล็กๆ แห่งนี้แทบไม่มีแสงสว่างใดๆ มีเพียงแสงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้บางส่วนเท่านั้น แต่ถึงแม้อย่างนั้น ที่นี่ก็ยังมืดมนมากอยู่ดี…เจ้าลิงผอมเดินอย่างเงียบเชียบอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนเงาสีดำตะคุ่มที่กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าไป…
เทียบกับห้องของเขา จุดที่หลิงม่อพักอยู่ดูลับตากว่ามาก เขาจ้องประตูสีดำบานนั้นไม่วางตา ไม่คิดจะละสายตาออกไปแม้แต่น้อย…
ขณะเดียวกัน หลิงม่อที่นอนอยู่บนเตียง เริ่มขยับตัวอีกครั้งแล้ว…
เจ้าลิงผอมราวกับรับรู้ได้ พลันชะงักเท้าหยุดเดินทันที
เขาเบิกตากว้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มปรับสภาพช้าๆ…สุดท้าย รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา…
————————————-