บทที่ 633 เสียทั้งฮูหยินเสียทั้งขุนศึก / บทที่ 634 คืนความยุติธรรมให้ผม

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 633 เสียทั้งฮูหยินเสียทั้งขุนศึก

เยี่ยหงเหวยเหลือบมองทางเยี่ยเส่าอัน “ขอโทษมู่ฝานซะ”

อะไรกัน โดนทุบตีแล้วยังต้องขอโทษอีก

“ยังอึ้งอะไร เรื่องเล็กขนาดนี้ยังทำได้ไม่ดี ทำให้ในตระกูลวุ่นวายไปหมด!”

เห็นผู้อาวุโสโมโหแล้ว เยี่ยเส่าอันจึงต้องพูดอย่างไม่เต็มใจ “หลานชาย ขอโทษด้วยจริงๆ เรื่องนี้อารองจะสืบให้แน่ชัด”

เหลียงเหม่ยเซวียนกดความโกรธไว้ “ขอโทษด้วยนะมู่ฝาน…”

เยี่ยอีอีพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “มู่ฝาน ขอโทษนะ เข้าใจเธอผิด ดูแล้วน่าจะมีคนจงใจใส่ร้ายเธอ พ่อแม่ไม่รู้เรื่องนี้ถึงได้ทำแบบนี้”

เยี่ยมู่ฝานโบกมืออย่างใจกว้าง “ช่างเถอะ อีกหน่อยเกิดเรื่องอะไรไม่ต้องโยนขี้มาที่ผมก็พอ!”

“หลานน่ะ ถ้าปกติไม่ทำตัวตามใจชอบเกินไป คนอื่นจะมาสงสัยเราได้ยังไง” ถานอี้หลานตำหนิ แต่น้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าดูสนิทสนมไม่น้อย

เยี่ยมู่ฝานรีบพูด “คุณย่า ผมสำนึกผิดแล้ว ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว จะพยายามทำตัวดีๆ ผมจะเรียนรู้จากหวันหวั่น!”

ถานอี้หลานได้ยิน ตอนนี้ถึงค่อยมองไปทางหญิงสาวข้างๆ ที่เงียบไม่ค่อยพูด

สองปีนี้เยี่ยหวันหวั่นก่อเรื่องก่อราวอยู่ข้างนอก ทำตัวประหลาดคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ทำให้พวกเขาตระกูลเยี่ยขายหน้ามาก

ครั้งนี้ ได้ยินว่าตอนงานเลี้ยงวันเกิดเด็กคนนี้เปลี่ยนไปมาก ตอนแรกเธอไม่เชื่อ วันนี้ได้เห็นกับตาก็มั่นใจว่าเปลี่ยนไปไม่น้อยจริงๆ

“ได้ยินว่าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยสื่อสารมวลชนได้ แล้วยังได้คะแนนศิลปศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งด้วย?” ถานอี้หลานมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างพิจารณาบนลงล่าง

เยี่ยหวันหวั่นหลบตา “ใช่ค่ะ คุณย่า”

“อืม ไม่เลว เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตั้งใจเรียน อย่าทำให้ตระกูลเยี่ยขายหน้าอีก”

“คุณย่า หนูจะตั้งใจค่ะ”

ถึงแม้ท่าทีของถานอี้หลานยังเรียกได้ว่าไม่กระตือรือร้นเท่าไร แต่เทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่ยอมมองหน้าเธอตรงๆ ถือว่าเปลี่ยนไปมากแล้ว

ส่วนท่าทีอ่อนน้อมเชื่อฟังของเยี่ยหวันหวั่น ถานอี้หลานประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนเธอพูดอะไรเด็กคนนี้มักจะสวนกลับ นิสัยตอนนี้สำรวมขึ้นมาก เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าต้องออกไปเจอโลกภายนอกถึงค่อยรู้เรื่องบ้าง

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบเหลียงหวั่นจวิน ลูกชายคนโตก็ทำให้เธอผิดหวังมาก แต่หวันหวั่นกับมู่ฝานยังเป็นหลานชายหลานสาวแท้ๆ ของเธอ ถ้าไม่ได้โกรธจนเหลืออดจริงๆ เธอจะยอมไล่พวกเด็กๆ ออกจากบ้าน ไม่ยอมรับ และทำครอบครัวแตกสลายได้ที่ไหน

ถานอี้หลานพูดต่อว่า “เย็นนี้พวกเธออยู่กันก่อน กลับไปกินข้าวบ้านใหญ่ด้วยกัน!”

เยี่ยเส่าถิงและเหลียงหวั่นจวินได้ยิน สีหน้าก็เปี่ยมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สองปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่แม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากให้พวกเขากลับมา…

ส่วนสีหน้าของเยี่ยเส่าอันและคนอื่นๆ แค่คิดก็รู้แล้ว

ตอนนี้นับว่าเสียทั้งฮูหยินเสียทั้งขุนศึก[1]…

ตอนเย็นที่บ้านใหญ่

เดิมทีเยี่ยมู่ฝานเอาใจเก่งคน เพียงแต่หลังจากพ่อล้มละลาย ด้วยตกอับมาก จึงรู้สึกเข้ากับคนในตระกูลไม่ได้ ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณปู่คุณย่าและบ้านอารองขนาดนั้นแล้ว

ตอนนี้ทักษะความสามารถของเยี่ยมู่ฝานไม่ถูกปิดกั้นอีก ข้าวมื้อเดียวสามารถกล่อมผู้อาวุโสทั้งสองจนอ่อนคล้อยตาม ครอบครัวเยี่ยเส่าอันทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ โกรธจนหน้าเขียวหมดแล้ว

“คุณย่าครับ ตีนหมูอันนี้เอาให้อาสะใภ้รองกินดีกว่า ผิวหน้าดีขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องกินอันนี้หรอก!”

“หลานนี่นะ อย่าพูดพล่อยๆ! ย่าเตือนไว้ก่อน ถึงครั้งนี้ทุกคนเข้าใจเราผิดจริงๆ แต่อย่าคิดว่าเรื่องไร้สาระที่เราทำไปวันๆ ไม่เคยเกิดขึ้น ย่าและปู่หลานสร้างตระกูลมาด้วยมือเปล่า ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะสร้างจนธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ พวกเราตระกูลเยี่ยไม่สามารถส่งต่อให้ไปอยู่ในมือคนที่ไม่คิดก้าวหน้าได้!”

………………………………………………………………

บทที่ 634 คืนความยุติธรรมให้ผม

เยี่ยมู่ฝานพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ครับคุณย่า ผมเข้าใจ”

ผู้อาวุโสด้านข้างก็พูดขึ้น “แกกับหวันหวั่นต้องเรียนรู้จากอีอี ถ้าพวกแกสองคนรู้เรื่องและเก่งได้ครึ่งหนึ่งของอีอี ฉันกับย่าพวกแกคงไม่ต้องกังวลใจแบบนี้ แกเป็นลูกผู้ชาย ยังเทียบกับอีอีที่เป็นผู้หญิงไม่ได้เลย แกไม่อายบ้างเหรอ”

เยี่ยอีอีนั่งอยู่ข้างถานอี้หลานเอ่ยเสียงอ่อนโยน “คุณปู่ คุณย่าคะ หวันหวั่นกับมู่ฝานแค่ยังอายุน้อยอยู่ ยังไม่ได้คิดอะไรจริงจังเท่านั้นเอง พวกท่านไม่ต้องกังวลใจหรอกค่ะ”

เยี่ยหงเหวยทำเสียงฮึ เหลือบมองทางเหลียงหวั่นจวิน “มีพ่อแม่แบบนี้ ฉันจะไม่กังวลใจได้ยังไง”

เยี่ยมู่ฝานจิกกำปั้น กดความโกรธไว้ ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตรงนั้น “คุณปู่ คุณย่าครับ ผมจะพยายาม ถ้าไม่มีอาชีพการงานที่ดีข้างนอก ผมจะไม่กลับมา!”

เยี่ยหงเหวยพยักหน้าอย่างพอใจ “แกมีปณิธานแบบนี้ก็ดีแล้ว ปู่กับย่าจะคอยดูผลงานแก”

ความหมายนี้ เป็นครั้งแรกที่แสดงชัดเจนอย่างเป็นทางการว่าให้โอกาสเยี่ยมู่ฝานแล้ว

และก็หมายความว่าถ้าผลงานของเยี่ยมู่ฝานทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองพอใจ เขาก็มีโอกาสที่จะได้กลับมาตระกูลเยี่ยเมื่อไรก็ได้…

เยี่ยเส่าอันหัวเราะเยาะเบาๆ “หึ กลัวว่าชีวิตนี้เขาจะกลับมาไม่ได้น่ะสิ!”

เยี่ยมู่ฝานยิ้มตาหยีมองไป “เรื่องนี้อารองไม่ต้องเป็นห่วง อารองรีบไปสืบหาคนที่ใส่ร้ายผมว่าเป็นใครจะดีกว่า ผมยังรอให้อารองสืบหาผู้ร้ายตัวจริงแล้วคืนความยุติธรรมให้ผมอยู่นะครับ!”

“แก…”

………..

มื้ออาหารจบลง

ด้านนอกประตู เยี่ยอีอีมาส่งพวกเขา พูดจาสนิทชิดเชื้อ “มู่ฝาน วันนี้ไม่ได้พูดอะไรช่วยเธอเลย เธอไม่โทษพี่สาวคนนี้หรอกใช่ไหม คนที่ปลอมตัวเป็นเธอนั่นเหมือนมากจริงๆ ฉันก็มองไม่ออกเหมือนกัน!”

เยี่ยมู่ฝานแค่นหัวเราะเบาๆ “พี่สาว? เธอเป็นพี่สาวใครเหรอ ทำไมฉันไม่รู้เลยว่าแม่ฉันคลอดพี่สาวออกมาด้วย”

สีหน้าเยี่ยอีอีไม่น่ามองขึ้นมาทันที “มู่ฝาน…เธอพูดอะไรน่ะ…ฉันเป็น…เป็นลูกพี่ลูกน้องเธอนะ!”

เยี่ยมู่ฝานพยักหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “อ้อ ที่แท้ก็ลูกพี่ลูกน้องนี่เอง! ฉันนึกว่าฉันเล่นละครเก่งแล้วนะ แต่เทียบกับลูกพี่ลูกน้องอย่างเธอแล้วสู้ไม่ได้เลย!”

เดิมทีเยี่ยอีอีคิดจะแสร้งเป็นคนดี ปรากฏว่าโดนยั่วโมโหจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด

ด้านหลัง เสียงแหลมสูงของเหลียงเหม่ยเซวียนดังขึ้นมา “อีอี มานี่ ลูกไปพูดอะไรมากมายกับพวกเศษขยะแบบนั้น ไม่กลัวโดนดึงลงมาต่ำเหรอไง!”

สายตาเหลียงเหม่ยเซวียนมองไปที่สองคนอย่างดูถูก “หึๆ พวกเธอรู้ว่าอีอีเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องเธอก็ดีแล้ว อย่าคิดใช้สายสัมพันธ์มาตีสนิทมั่วๆ!”

เยี่ยมู่ฝานแคะหู “คำพูดนี้คืนให้อาเหอะ!”

ใบหน้าเหลียงเหม่ยเซวียนมีแต่ความเย้ยหยัน “เยี่ยมู่ฝาน แกคิดว่าพูดออดอ้อนนิดหน่อยก็จะกลับมาได้แล้วเหรอ ฉันจะบอกแกให้ ถ้าฉันยังอยู่ในตระกูลเยี่ย ชีวิตนี้พวกแกก็อย่าได้คิดจะกลับมา! แกไปทำงานให้คนรับใช้อย่างบริษัทกระจอกตระกูลเฉินนั่นทั้งชีวิตเถอะ!”

ได้ยินเหลียงเหม่ยเซวียนพูดถึงตระกูลเฉิน ในความคิดเขาก็มีภาพชวนสะอิดสะเอียนของเฉินเมิ่งฉีและเหอจวิ้นเฉิงในโรงแรมผุดขึ้นมา เมื่อคิดถึงความโง่ของตัวเองในสองปีมานี้ สีหน้าเยี่ยมู่ฝานนิ่งขรึมทันที

เวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ เหลือบมองเหลียงเหม่ยเซวียนอย่างเกียจคร้าน “หนูว่าอาสะใภ้รองควรสนใจตัวเองดีกว่า ใช้ชีวิตเป็นคุณย่าน้อยในบ้านในคุ้มค่าเถอะ เพราะว่า คงเป็นได้อีกไม่กี่วันแล้ว”

“นังเด็กนี่ แกมันปากกล้าจริงๆ!”

ตอนนี้เอง เยี่ยเส่าถิงและเหลียงหวั่นจวินเดินออกมาแล้ว

เยี่ยเส่าถิงเห็นเหลียงเหม่ยเซวียนและเยี่ยอีอีอยู่ด้วยกันทั้งคู่ สีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันที ก้าวเท้ายาวไปตรงหน้าเยี่ยหวันหวั่น “หวันหวั่น คุยอะไรกันอยู่”

………………………………………………………………

[1] เสียทั้งฮูหยินเสียทั้งขุนศึก หมายถึงการสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว เป็นคำเปรียบเปรยจากเรื่องสามก๊กตอนจิวยี่วางแผนลวงเล่าปี่ให้มาแต่งงานกับซุนซ่างเซียงที่กังตั๋ง ผลคือขงเบ้งอ่านออก จึงตลบหลังกลายเป็นได้แต่งจริง ภายหลังทางกังตั๋งวางแผนจับเล่าปี่เป็นตัวประกันเพื่อเอาเมืองเกงจิ๋ว พวกเล่าปี่ก็รู้ทัน หนีไปเมืองเกงจิ๋วก่อนอีก