ตอนที่ 259 ถูกปฏิเสธ

“อ้าวเท่อ…หมายความว่าอะไร?” ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างไม่เข้าใจคำพูดของซูหวานหว่าน และก็มีคนบางส่วนพูดออกมาจากการคาดเดาของตัวเองว่า “เป็นไปได้ไหม ที่คุณหนูใหญ่สกุลจ้าวจะยอมรับองค์ชายสาม แล้วให้องค์ชายสามมีสิทธิ์ที่จะแข่งขันต่อ”

“ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล!”

“…”

ยังจะต้องอธิบายออกมาอีกเหรอ? ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมา

ทั้ง ๆ ที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ แต่ฉีเฉิงเฟิงก็ยังยิ้มออกมาได้ เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงจะต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่เสียแล้วสิ! ข้าจะต้องชนะอย่างแน่นอน! ถ้าข้าชนะคุณหนูใหญ่ก็แค่เตรียมหมั้นเอาไว้ก็พอ งานแต่งงานหรืออะไรทำนองนั้นข้าคิดว่าคงไม่สำคัญอะไร ขอแค่ข้าได้อยู่กับเจ้า แค่นี้ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตของข้าสมบูรณ์แบบแล้ว”

“…”

เหตุใดชายคนนี้ถึงได้หน้าด้านเพียงนี้นะ! ซูหวานหว่านรู้สึกว่าชายคนนี้กำลังทำตัวเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ในใจของนางทั้งรู้สึกดีและรู้สึกรำคาญ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต… หัวใจของนางก็พลันกลับมาเย็นชา และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าก็รู้ว่าที่ข้าพูดออกไปมันหมายความว่าอะไร ถ้าเจ้า… โดนคัดออก! ข้าจะไม่เชื่อคำพูดหลอกหลวงของเจ้าอีก!”

ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้ม “หากเจ้าต้องการการแต่งงานที่เกิดจากความรัก เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาประกาศรับสมัครพร้อมกับกำหนดคุณสมบัติของความสามารถ รูปลักษณ์ สติปัญญา และความสามารถทางการค้าด้วย? ทว่าข้าไม่มีครบถ้วนดั่งที่เจ้าว่าตรงไหน และข้าก็ยอมแต่งเข้าบ้านของฝ่ายหญิงอีก เจ้าจะไปหาผู้ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้จากที่ไหนหากไม่ใช่ข้าคนนี้”

ฉีเฉิงเฟิงยังมีหน้ามาอวดสรรพคุณของตัวเองกับนางอีก! ถึงแม้ว่าความจริงจะเป็นอย่างที่เขาพูดก็ตาม แต่ว่านางยังคงยืนยันคำเดิม! ซูหวานหว่านจึงกล่าวออกมาว่า “ข้าชอบผู้ชายที่ไม่ต้องเก่งมากเท่าท่าน ขอแค่พวกเขาไม่ใช่ท่านก็เพียงพอ! และที่สำคัญคือพวกเขาไม่ได้มีชื่อว่าฉีเฉิงเฟิง!”

สายลมหนาวพัดผ่าน พวกเขาทั้งสองคนสบตากันไปมาโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา และเมื่อซูหวานหว่านจ้องมองไปที่ดวงตาอันอ่อนโยนอบอุ่นคู่นั้น หัวใจของนางก็อ่อนยวบลงในทันที ในขณะนั้นภายในใจของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด อัดอั้นตันใจสะสมเอาไว้อยู่ในลำคอของนาง หากแต่นางไม่สามารถพูดออกมาได้

หลังจากที่ครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง ซูหวานหว่านก็กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกบางอย่างของเอาไว้ได้ ดังนั้นนางจึงระงับความคับข้องใจ และเดินจากไปทันที

ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น!

ฉีเฉิงเฟิงลูบคางของตัวเอง มองดูแผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังเดินออกไปห่างไกลเรื่อย ๆ พร้อมกับโทษตัวเองขึ้นมาทันที ถึงเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ หากแต่เขาจะไม่ยอมแพ้ เขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อเอานางกลับมาให้ได้!

ขณะนี้แม่จ้าวทั้งมีความสุขและรู้สึกเศร้าพร้อมกัน ตามความเห็นของนาง แน่นอนว่าฉีเฉิงเฟิงเป็นลูกเขยที่สมบูรณ์แบบ และนางก็พึงพอใจมาก แต่ซูหวานหว่านไม่ชอบฉีเฉิงเฟิง นางจึงไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้ ดังนั้นนางจึงรีบแก้ไขสถานการณ์และป่าวประกาศสำหรับการแข่งขันครั้งต่อทันที ซึ่งเมื่อนางเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองก็เห็นฉีเฉิงเฟิงได้รออยู่ประตูหน้าบ้านอย่างโดดเดี่ยว…

และราวกับว่าคนใช้จะสัมผัสถึงว่าแม่จ้าวกำลังจะเดินเข้ามา คนใช้เลยเดินออกมาพร้อมกับพูดคำพูดที่นางได้เดาเอาไว้ในใจอย่างถูกต้องว่า “องค์ชายสาม! ไม่ใช่ว่าข้าน้อยคนนี้ไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไป! แต่เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ที่ไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไป! ท่านได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยรู้สึกลำบากใจเลย!”

“ไม่เป็นไร ข้าจะรออยู่ที่นี่ นางต้องออกมาแน่ ๆ” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ให้เข้าก็จะไม่เข้า! ทว่าพวกเจ้าควรจะเตรียมเก้าอี้มาให้องค์ชายสามนั่ง!”

“…”

คนเฝ้าที่ประตูต่างมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูกและรีบยกเก้าอี้ออกไปให้อย่างรวดเร็ว แม่จ้าวยืนครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงเปลี่ยนไปเข้าทางประตูด้านหลัง

คนติดตามของฉีเฉิงเฟิงแสดงความคิดเห็นออกมาว่า “องค์ชายสาม แม่จ้าวเองก็ไม่ได้เชิญท่านเข้าไป! ผู้คนในตระกูลจ้าวไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเลย!”

“อย่าพูดจาไร้สาระ” ฉีเฉิงเฟิงเหลือบมองคนติดตามแล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “นางจะต้องออกมา นางจะต้องออกมาหาข้าด้วยความเต็มใจ ต้องเป็นนางที่อยากเจอหน้าข้า”

คนติดตามของฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังเพ้อฝันอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขามีอาการประสาทหลอนกันแน่ ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าซูหวานหว่านจะออกมาพบตัวเอง?

อีกด้านหนึ่ง คนที่ฉีเฉิงเฟิงกำลังนึกถึงอยู่ ซูหวานหว่านกำลังนั่งกินขนมอยู่ในห้องโถงพร้อมกับดื่มชาอย่างสบายใจ พลางฟังคำรายงานของคนใช้และพูดกับตัวเองว่า “ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมออกไปอีก!”

ยิ่งพูดแบบนี้ จิตใจของนางก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น

เมื่อแม่จ้าวเห็นแบบนี้นางก็ไปหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วกล่าวว่า “ลูกแม่ สิ่งของชิ้นนี้จะช่วยให้ความหงุดหงิดของเจ้าลดลงได้ อีกทั้งทำให้ลมหายใจสดชื่นขึ้น เจ้าอยากลองเอาไปใช้ไหม?”

แม่จ้าวไปหาของออกมาเพื่อที่จะบรรเทาอาการหงุดหงิดของนาง ซูหวานหว่านซึ่งทำอะไรไม่ได้ และกำลังโกรธ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง นางกลับพบว่าสิ่งของภายในนั้นมีรอยฟัน …โดนหนูขโมยกินเข้าไปแล้ว!

แม่จ้าวตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา นางรีบวางสิ่งนี้ลงไป เร่งบอกให้สาวใช้นำของออกไปล้างขณะพูดพึมพำว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ของไม่มีแล้วเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนออกไปซื้อมาให้สักสองสามกล่องนะเจ้าค่ะ”

“อืม” แม่จ้าวพยักหน้าและมองไปที่ซูหวานหว่าน “ซื้อมาให้เยอะหน่อยนะ จะได้ให้คุณหนูใหญ่ด้วย”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบรับและรับเงินมา ก่อนจะเดินออกไป

แต่เมื่อพวกนางเดินไปถึงที่หน้าประตูห้องโถง พลันเห็นคนรับใช้ที่ไปซื้อของในวันนี้วิ่งกลับเข้ามาด้วยอาการเหนื่อยหอบหายใจพร้อมพูด “ฮูหยินเจ้าคะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ของที่พวกเราต้องการซื้อไม่มีคนยอมขายให้พวกเราเลย! ข้าได้ตรวจสอบดูแล้วว่าเป็นของที่ตระกูลไหนขาย พบว่าเป็นของตระกูลถังและตระกูลเหวิน ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าตระกูลถังและตระกูลเหวินนั้นเป็นมิตรที่ดีต่อกัน…”

เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าตระกูลถังได้ยุยงให้ตระกูลเหวินไม่ขายของให้พวกเขา เมื่อซูหวานหว่านได้ยินก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น และกำลังจะถามว่าของสิ่งนั้นคืออะไร แต่นางก็ได้ยินเสียงของแม่จ้าวทำหน้าบูดบึ้งและกล่าวออกมาว่า “ของสิ่งนี้มันเป็นของตระกูลถังที่แอบเอามาขาย …ตอนนี้ตระกูลของพวกเราหาซื้อมันไม่ได้แล้ว”

“ท่านแม่ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ถึงของจะไม่มีแต่ร้านอื่นก็น่าจะมี!” ซูหวานหว่านเอ่ยปลอบใจผู้เป็นแม่ และพ่อบ้านตระกูลจ้าวก็พูดออกมาว่า “คุณหนู ท่านยังคงไม่รู้อะไร! ตระกูลถังจะเป็นคนจัดหาครีบฉลามและอาหารทะเลทุกวัน ฯลฯ พวกเรารู้ดีว่าฮูหยินอยากได้สิ่งมาเพื่อบำรุงร่างกาย แต่พวกเขากลับไม่ขายให้เรา! ข้าไปสอบถามมาแล้วแต่ก็ถูกพวกเขาไล่ออกมา! ฮูหยินถังคงจะบ้าไปแล้ว นางบอกว่าให้ไปบอกคุณหนูใหญ่ให้มาขอโทษด้วยตัวเอง และนางจะจัดหาสินค้าให้!”

ดูเหมือนว่าตระกูลจะให้วิธีนี้ในการบีบบังคับพวกนาง!

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามออกมาว่า “อาหารทะเลพวกไม่ต้องไปซื้อแล้ว เปลี่ยนไปซื้อปลาแม่น้ำแทน แล้วต่อไปไม่ต้องไปซื้อของอะไรจากตระกูลถังอีก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นแก่หน้าตระกูลพวกเรา! แล้วพวกเราจะไปซื้อของที่นั่นทำไม!”

“ขอรับ!” พ่อบ้านพยักหน้าตอบรับ

พอพ่อบ้านออกไป ซูหวานหว่านก็หยิบของที่แม่จ้าวได้วางลงไปขึ้นมามองดู หญิงสาวยกมันขึ้นมาก็พบว่ามันเป็นแป้งสีขาวขุ่น มีกลิ่นของสะระแหน่ แม่จ้าวถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “สิ่งนี้เรียกมันเรียกว่าอวี้ลู่เกา*[1] สกุลถังเป็นคนคิดสูตรนี้ขึ้นมา แล้วข้ามักจะใช้มันกับก้านต้นหลิวขัดฟัน หรือใช้น้ำของมันกลั้วปากในตอนเช้าทุกวัน มันทำให้ปากรู้สึกสะอาดคนที่นี่ต่างนิยมใช้มันมาก”

มันคือยาสีฟัน? ทำไมถึงได้มีประสิทธิภาพที่ดีขนาดนี้ แถมกลิ่นสะระแหน่นี้ก็สุดยอดมาก

ซูหวานหว่านครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดออกมาว่า “ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้ท่านเองในวันพรุ่งนี้”

หลังจากพูดจบ ก็จัดแจงเขียนวัตถุดิบและสั่งให้คนไปซื้อของมา

เมื่อได้ของมาซูหวานหว่านก็ลงมือทำมันทันที แม่จ้าวรู้สึกแปลกใจมาก ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกง่วงมาก แต่นางก็นอนรอให้ซูหวานหว่านทดลองทำออกมา แต่แล้วมันก็ล้มเหลว!

ทันใดนั้น ก็มีคนใช้วิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณหนู องค์ชายสามอ้างว่าเขามีสูตรอวี้ลู่เกา แต่เขามีเงื่อนไขหนึ่ง และเงื่อนไขนั้นก็คือเขาต้องการตัวท่าน”

[1] 玉露膏 อวี้ลู่เกา เป็นยาสีฟันจีนโบราณชนิดหนึ่ง