ตอนที่ 270 พูดคำไหนคำนั้น / ตอนที่ 271 ทำอะไรสักหน่อย

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 270 พูดคำไหนคำนั้น

 

 

พวกเขาสองคนลืมเวลาไปแล้ว ยังไงเสียตอนนี้ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเขาสองคนถึงจะนั่งรถไฟกลับจึงย่อมไม่ต้องกังวลอะไร

 

 

ส่วนหลูจื้อก็บอกเขาแล้วว่าคืนนี้จะไม่มีทางปล่อยให้เขานอนหลับเด็ดขาด

 

 

พรุ่งนี้ที่เบาะนอนพวกเขาค่อยนอนหลับพักผ่อนชดเชยให้เต็มที่ คืนนี้เป็นช่วงเวลาของการคิดบัญชี

 

 

“นายรู้ไหมว่าฉันตามหานายมากี่วันแล้ว” หลูจื้อถามชุยหังขึ้นมาคำถามหนึ่ง ชุยหังตอบมันกลับไม่ได้

 

 

เขาส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า: “ฉันก็ไม่รู้…”

 

 

“ไม่รู้แล้วยังกล้าหนี? ไม่รู้หมายความว่าถ้าฉันพูดว่าเท่าไหร่มันก็คือเท่านั้น?” หลูจื้อถาม

 

 

ชุยหังรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า: “งั้นสามารถลดให้สักหน่อยได้ไหม เผื่อว่านายจงใจนับให้มันมากกว่าล่ะ?”

 

 

“แล้วมันไม่ใช่นายหาเรื่องเอง? ถ้านายไม่หนีถึงฉันอยากจะคิดบัญชีให้มากยังไงมันจะคิดได้ไหม” หลูจื้อถาม

 

 

ชุยหังรู้ว่าตนกำลังเสียเปรียบและแน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรได้

 

 

หลูจื้อยังคงเป็นคนที่พูดได้ทำได้ ตลอดทั้งคืนเขาไม่ปล่อยให้ชุยหังนอนหลับเลยจนกระทั่งฟ้าสางถึงให้เขาลุกไปอาบน้ำ แล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางเลย

 

 

ชุยหังรู้สึกง่วงนอนมากจนหัวหมุนไปหมด รู้สึกเหมือนหัวของตัวเองจะระเบิดแล้ว

 

 

ตลอดทั้งคืนหลูจื้อมีพลังตื่นตัวมาก ไม่รู้ว่าเขาไปหล่อเลี้ยงพลังพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเดิมทีเขาก็ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ

 

 

ชุยหังไม่กล้าที่จะร้องขอความเมตตาหลายครั้งเกินไป เพราะต่างก็ถูกหลูจื้อปฏิเสธกลับมาตลอดพร้อมบอกเขาว่าถ้าทำผิดครั้งแรกแล้วไม่จัดการเค้นคอฆ่าซะครั้งต่อไปก็จะไม่รู้จักจำ

 

 

“เป็นไงบ้าง ฉันนับว่าพูดคำไหนคำนั้นใช่ไหม” หลูจื้อยังจงใจกระซิบถามอยู่ข้างหูของชุยหังด้วย

 

 

ชุยหังทำได้แค่พยักหน้ารับตามอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า: “อืม นับว่าใช่…”

 

 

“อะไรเรียกนับว่าใช่? หรือว่าจะให้ฉันหักขานายให้ได้ถึงเรียกว่าทำตามสัญญา?” หลูจื้อถาม

 

 

ชุยหังรับโบกมือไปมาและพูดว่า: “อันนี้ไม่ต้องแล้วจริงๆ ฉันรู้สึกผิดแล้วไง เก็บเอาไว้ชั่วคราวก่อนเถอะนะ”

 

 

“นายก็พูดแล้วนะว่าชั่วคราว งั้นฉันต้องดูที่การแสดงออกของนายแล้วล่ะ ครั้งนี้กลับไปกับฉันแล้วถ้ายังเกิดความคิดไม่ดีแบบครั้งก่อนขึ้นมาอีกฉันจะไม่เกรงใจนายจริงๆ แล้วนะ” หลูจื้อพูดก่อนจะก้มลงจูบที่แก้มของเขาเบาๆ

 

 

แต่เนื่องจากชุยหังก็ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนมากเท่าไหร่ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังจะหลับไปได้สักพักหลูจื้อก็ดึงให้เขาลุกขึ้นแล้ว

 

 

“ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ออกเดินทางได้แล้ว” ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนหลูจื้อจะยังคงตื่นตัวอยู่เช่นเดิม

 

 

ชุยหังเหลือบสายตาง่วงนอนไปมองเขาแล้วถามว่า: “นายเองก็ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนแต่ทำไมถึงยังตื่นตัวขนาดนี้?”

 

 

“เพราะมีหน้าที่ต้องทำ ดังนั้นก็ย่อมอดทนทำต่อไปให้ได้ เผื่อว่านายไม่พอใจฉันขึ้นมาหนีไปอีก ฉันก็จะต้องพกอารมณ์จะฆ่านายให้ตายออกจากประตูจริงๆ แล้ว” หลูจื้อว่า

 

 

ชุยหังพูดต่อกันซ้ำๆ : “อันนี้ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแล้วจริงๆ ฉันคิดว่าได้รับบทเรียนสั่งสอนจากนายแล้ว”

 

 

“จริงหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายเองก็ดูสนุกกับกระบวนการนี้มากทีเดียว รู้สึกเหมือนว่ายังไม่หายอยาก?” หลูจื้อกระตุกมุมปากขึ้นพลางเอ่ยถามออกมา

 

 

“ไม่ใช่ นายคิดมากไปแล้ว ฉันจะลุกเดี๋ยวนี้แหละ…” ชุยหังรีบเริ่มสวมใส่เสื้อผ้าด้วยความงุนงง

 

 

เสื้อผ้าของเขาถูกหลูจื้อโยนกระจายไปทั่วห้องไม่ว่ามุมไหนก็ใช่จึงทำได้เพียงแค่ค่อยๆ หา

 

 

หลูจื้อเปิดไฟแล้วมองดูท่าทางของชุยหังพลางพูดขึ้นว่า: “ถ้าในสิบนาทีนายยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จฉันรับรองเลยว่าจะไม่ให้นายใส่มันแล้ว”

 

 

ชุยหังตกใจมากจนรีบค้นหาเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็วจากนั้นรีบใส่มันจนเสร็จเรียบร้อย แล้วไปยินอยู่ต่อหน้าของหลูจื้อแล้วพูดขึ้นว่า: “ผมใส่เสร็จแล้ว ดูสิ”

 

 

“ใส่เสร็จแล้วยังไม่รับไปล้างหน้าแปรงฟันอีก รอให้ฉันปรนนิบัตินาย?”

 

 

ชุยหังพลางเดินไปทางห้องน้ำพลางบ่นพึมพำไปด้วยว่า: “ปีศาจจริงๆ น่ากลัวเกินไปแล้ว”

 

 

หลูจื้อไม่ได้เดินตามเขามาซึ่งเขานึกว่าหลูจื้อคงจะไม่มีทางได้ยิน

 

 

ผลปรากฏว่าเมื่อเขาเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วยืนอยู่ตรงหน้าอ่างล้างหน้า จู่ๆ หลูจื้อก็ปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของเขา

 

 

“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 271 ทำอะไรสักหน่อย

 

 

ชุยหังผงะตกใจแล้วรีบพูดขึ้นมาว่า: “เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ นายต้องฟังผิดแน่ๆ เลย”

 

 

“ฉันฝึกฝนทักษะการฟังมาจากกองทัพ ยังจะไม่สู้นายใช่ไหม” หลูจื้อถาม

 

 

ชุยหังรู้สึกว่าเขาตั้งใจที่จะหาเรื่องตนอยู่แล้วไม่ว่าตนจะพูดยังไงก็คงจะไม่มีทางถูกอยู่แล้ว

 

 

“นายอยากจะพูดยังไงนายก็พูดไปเถอะ ไม่ว่ายังไงฉันก็ผิดไปแล้ว…” ชุยหังยอมแพ้แล้วในที่สุด

 

 

หลูจื้อมองท่าทางตุปัดตุเป๋ของเขาแล้วพูดขึ้นว่า: “เอาล่ะ ไม่รังแกนายแล้ว กลับไปแล้วค่อยๆ ทรมานก็ยังได้ ยังไงซะเวลาลางานของฉันมันก็นานพอสมควร หลังจากกลับไปยังมีเวลาช่วยนายหาห้องด้วย แล้วก็จัดการซื้อของใช้ที่จำเป็นต้องใช้ด้วยเลย นายก็ทำตัวดีๆ อยู่ที่บ้านทำกับข้าวให้ฉันไปเถอะ”

 

 

อันที่จริงชุยหังก็เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหลูจื้อจะสามารถใช้วิธีการแบบไหนมาจัดการความสัมพันธ์ ถ้าหากสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วจะต้องใช้รูปแบบไหนมาเข้าหากัน

 

 

ในเมื่อตอนนี้หลูจื้อได้เสนอขึ้นมาแล้วและเขาก็ขี้เกียจที่จะไปคิดเรื่องนี้แล้วจึงทำได้เพียงแค่ทำตามเขาไปก็พอแล้ว

 

 

“อืม ได้ แต่ว่าฉันก็ไม่สามารถที่จะอยู่ที่นั่นได้ตลอดหรอกนะ ฉันอยากจะลองดูว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง” ชุยหังว่า

 

 

หลูจื้อครุ่นคิดสักพักและพูดว่า: “แม่บ้านทหาร อาชีพนี้ถือว่าเหมาะกับนายมากเหมือนกันนะ”

 

 

“แม่บ้านทหารก็เป็นแค่คำเรียกไม่ใช่อาชีพ ไม่ว่ายังไงตัวฉันก็คงต้องทำอะไรบ้างสักหน่อยไหม อีกอย่างนายก็ไม่ได้กลับมาทุกวัน ฉันก็ไม่สามารถอยู่แต่บ้านแล้วแสร้งทำเป็นว่าดีใจมีความสุขมากไปตลอดหรอกใช่ไหม” ชุยหังกล่าว

 

 

“กลับไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้หลายที่ต่างก็กำลังขาดคนไม่ใช่หรอ นายลองดูว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้างแล้วค่อยมาว่ากันเถอะนะ”

 

 

“อืม ก็ใช่ ยังไงซะฉันก็ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยอย่างมากก็มีแค่ประกาศนียบัตรระดับมัธยมปลาย การหางานดีๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วคงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก” ชุยหังว่า

 

 

“รีบล้างหน้าแปรงฟันเถอะ อย่างอื่นให้เป็นหน้าที่ฉันก็พอแล้ว” หลูจื้อกล่าว

 

 

ทุกครั้งเวลาที่เขาพูดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเขาทีไรชุยหังมักจะรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ

 

 

เพียงแค่เขาพูดประโยคนี้มันก็ซาบซึ้งเสียยิ่งกว่าการสาบานต่อทะเลภูเขาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายแล้ว

 

 

สิ่งที่เขาต้องการคือความซาบซึ้งใจแบบติดดิน แต่ไม่ใช่คำสรรเสริญเยินยอที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยพวกนั้น

 

 

ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนตนจะไม่มั่นใจขนาดนั้น แถมยังเลยหนีออกมาสักพักด้วย แต่ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหลูจื้อแล้วยังคงรู้สึกว่าอารมณ์มันนิ่งมั่นคงและเป็นธรรมชาติมาก

 

 

พวกเขาจัดการทำธุระของตัวเองสักพักก่อนที่จะเช็คเอาท์จากโรงแรม แล้วออกเดินทางไปที่สถานีรถ

 

 

จนกระทั่งไปถึงที่ตู้เบาะนอนของรถแล้ว ชุยหังยังคงรู้สึกว่าตัวเองมึนๆ อยู่เล็กน้อย

 

 

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ดังนั้นบรรดาผู้คนที่นอนหลับตลอดทั้งคืนวานนี้ก็เริ่มจะทยอยขึ้นมากันแล้ว ชุยหังไม่สามารถบอกให้คนอื่นหุบปากอย่ารบกวนการพักผ่อนของพวกเขาได้

 

 

โชคดีที่ในโบกี้นี้ไม่ได้เด็กเล็กอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะเสียงดังหนวกหูมากกว่านี้แน่

 

 

เขาไม่ได้เกลียดเด็ก เพียงแต่ว่าเวลาที่ต้องการที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ชอบให้มีเด็กมาแหกปากร้องตะโกนอย่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ แล้วยังมีเสียงพ่อแม่ที่แหกปากให้เสียงดังยิ่งกว่าเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมลูกของตัวเองอีก

 

 

พวกเขาทั้งคู่ต่างก็อยู่เบาะนอนชั้นล่างสุด เพราะตอนซื้อตั๋วหลูจื้อตั้งใจเลือกที่นั่งเป็นพิเศษ

 

 

หลังจากที่หลูจื้อนอนลงไปแล้วใบหน้าของเขายังคงหันหน้าไปทางชุยหัง แต่ว่าไม่ได้หลับตาลง

 

 

“นายทำไมไม่หลับ?” ชุยหังถาม

 

 

หลูจื้อพูดขึ้นว่า: “ดูนายหลับก่อนแล้วค่อยหลับ ไม่อย่างนั้นกลัวนายหายอีก”

 

 

ชุยหังรู้สึกทำอะไรไม่ถูกและสัญญาซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า: “ไม่หรอก ครั้งนี้ฉันจะไม่หนีอีกแล้วจริงๆ นะ”

 

 

“เมื่อวานนายไม่ได้นอนหลับ นายรีบนอนให้สบายเถอะ ฉันง่วงเดี๋ยวก็นอนแล้ว นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก” หลูจื้อกล่าว

 

 

ชุยหังรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านในหัวใจและความง่วงเหงาหาวนอนก็กรูเข้ามา เขาไม่สามารถฝืนทนต่อไปได้อีกแล้ว จึงค่อยๆ หลับตาลงประสานกันอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ค่อยๆ หลับไปท่ามกลางเสียงของรถไฟที่กระทบรางไม่หยุด