จาง ซูซาน ดื่มเบียร์หมดไปห้าถึงหกขวดตอนนี้เขาเมาอยู่เล็กน้อย จาง ซูซาน ตะโกนเสียงดังออกมาว่า
“นังโง่ นั่นหากฉันไม่ด่าเธอแล้วจะให้ฉันไปด่าใคร? แกก็รู้เงินเดือนพื้นฐานของฉันสูงกว่าสามพันหยวนอยู่เล็กน้อย และฉันก็ต้องพึ่งพาโบนัส แต่เธอกลับหักเงินค่าจ้างของฉันไปจนเกือบหมด เมื่อเดือนที่แล้วเธอบอกว่าฉันไม่ได้ทำดัชนีงานให้เสร็จ เธอจึงไม่จ่ายค่าจ้างให้กับฉัน”
“และเธอยังพูดอีกว่าธนาคารสูญเสียลูกค้าไปก็เพราะฉัน ดังนั้นเธอจึงหักเงินเดือนฉันเพิ่มไปอีก ฉันยอมรับว่ามันก็เกี่ยวกับฉันอยู่บ้าง แต่ในเดือนนี้ ไม่เพียงแต่ฉันจะทำงานที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดเสร็จแล้ว แต่ฉันก็ยังเพิ่มยอดเงินฝากได้ถึงห้าหกล้าน แต่ในตอนสิ้นเดือน นังโง่ นั่นเธอกลับลืมที่จะรายงานให้ฉัน และมันทำให้ฉันอดได้โบนัสในตอนสิ้นปี ฉันอยากจะบีบเธอให้แหลกคามือเลยให้ตายสิ”
จาง ซูซาน ปลดปล่อยอารมณ์ความขมขื่นทั้งหมดที่อยู่ในใจเขาออกมา เพียงเพราะว่าเขาแสร้งทำตัวเป็นไรสาระและไร้ความกังวลทุกวัน มันไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงาน ตอนนี้เขารู้สึกหดหู่มาก
“ถ้าฉันรู้เรื่องทั้งหมด ฉันก็คงจะบอกความจริงกับแกไปตั้งแต่แรก หัวหน้าของแกมันน่าเกลียดน่ากลัวอย่างแท้จริง” เสี่ยวหลัว กล่าวขณะที่เขานั่งจิบเบียร์
“แม่แกเถอะ! แกกำลังพยายามหลอกฉันอีกครั้งหรือไง? ถ้าฉันบอกว่าเธอเป็นแฟนของฉัน แกก็คงจะพูดว่าเธอสวยสินะ ถึงในใจแกจะคิดว่าเธอน่าเกลียดก็ตาม ครั้งต่อไปเมื่อฉันให้แกดูรูปผู้หญิง แกต้องพูดความจริงกับฉัน” จาง ซูซาน พูด
เสี่ยวหลัวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เขาเพียงดื่มไปอย่างเงียบๆ
“ถ้าฉันเจอเธอที่ทำงานในวันหลัง ฉันจะ’ทักทาย’ ว่า ไง นังไง่! บรรพบุรุษและครอบครัวของเธอไม่ได้สั่งสอนเธอหรือไง ถึงได้ทำตัวอย่างนี้” จาง ซูซาน กล่าว
“อึก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสี่ยวหลัวก็สำลักเบียร์ของเขาทันที เขาลืมตาตื่นขึ้นและพูดว่า“แกกำลังคิดอะไรอยู่? แกไม่ต้องการทำงานที่ธนาคารต่อไปแล้วใช่ไหม”
“ทำไมฉันจะต้องทำมันต่อไป ฉันเก็บกระเป๋าทั้งหมดของฉันเอาไว้ในรถชั้นล่างแล้ว”จาง ซูซาน พูดตอบ เขาเปิดถุงขนมและหยิบกินในขณะที่ลุกขึ้นเดิน“ตอนนี้ฉันเป็นคนว่างงานแล้ว หากแกไม่ได้โทรหาฉันในวันนี้ ฉันก็ยังคงมาหาแกอยู่ดี ก่อนที่ฉันจะหางานใหม่ได้ฉันจะอยู่กับแกเอง”
เสี่ยวหลัวส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นว่าพี่ชายของเขาตกงานที่ธนาคาร มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่า จาง ซูซาน นั้นต่อสู้เพื่องานนี้มามากขนาดไหน เขาเตรียมตัวมานานครึ่งปีก่อนที่จะผ่านการทดสอบการรับสมัครงานของธนาคารในที่สุด และเขาก็ทำงานอย่างหนักอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นพนักงานเต็มเวลา จาง ซูซาน นั้นไม่มีภูมิหลังเขาจึงต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเอง มีพนักงานใหม่หลายคนที่เข้ามาช้ากว่าเขา ตราบใดที่พวกเขามีความสัมพันธ์บางอย่าง พวกเขาก็จะกลายมาเป็นพนักงานเต็มเวลาในเวลาเพียงสองเดือน
พูดได้เลยว่าทุกสิ่งที่ จาง ซูซาน ประสบความสำเร็จนั้น มันเป็นผลมาจากการที่เขาก้าวขึ้นไปทีละก้าว ตามความพยายามของเขา แต่ในที่สุดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยตอนนี้ทุกอย่างมันสลายกลายไปเป็นหมอกควันหมดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่า จาง ซูซาน นั้นไม่รู้สึกหดหู่อะไร ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ดื่มเบียร์หนักมากขนาดนี้
จาง ซูซาน เมาจนหน้าแดงเขาบ่นออกมาไม่หยุดหย่อน: “นี่เป็นยุคของการต่อสู้ด้วยคอนเนกชั่นของพ่อแม่ นังโง่ นั่นถ้าไม่ใช่เพราะว่าพ่อของเธอเป็นหัวหน้าเขต ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์นี้ เธอจะปีนขึ้นไปยังที่ตำแหน่งนั้นได้ตามความสามารถของเธองั้นเหรอ? ตลกหละ! ”
จาง ซูซาน เขาโกรธมากจนถ่มน้ำลายลงไปบนพื้น ให้กับนังผู้หญิงโง่ นั่น
เสี่ยวหลัวถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า“ฉันมีอะไรจะบอกแก และฉันก็ต้องการความคิดเห็นของแกหน่อย”
จากนั้นเขาก็บอก จาง ซูซาน เกี่ยวกับแผนการของ ชู หยุนเชียง ที่จะให้เขาไปควบคุมดูแล บริษัทหลัวฝาง
จาง ซูซาน กระแทกโต๊ะและยืนขึ้นในทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในขณะที่เขาพูดว่า“โอ้โห! ข่าวดี! นี่เป็นข่าวดี! นี่มันเป็นเหมือนกับชิ้นพายที่ตกลงมาจากฟ้าชัดๆ เสี่ยวหลัว ฉันอยู่รู้แล้ว! ฉันรู้ว่าแกจะต้องสร้างความสัมพันธ์กับ ชู หยุนเชียง แกมันไม่เหมือนกับคนอื่นที่ต้องดิ้นรนเป็นทศวรรษกว่าที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเขาได้ ดูนี่สิ! ดูนี่สิ! แกใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน แกก็ได้กระโดดจากการเป็นวิศวกรขนาดเล็กที่ ฮัวไห่ กรุ๊ป ไปสู่ตำแหน่งผู้บริหาร แกเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“แกคิดว่าฉันควรยอมรับข้อเสนอนี้หรือเปล่า” เสี่ยวหลัว ถามขณะที่เงยหน้าขึ้นมอง
จาง ซูซาน โบกมืออย่างรวดเร็วและพูดอย่างมั่นใจว่า“ถ้าแกไม่ตอบรับข้อเสนอ สมองของแกมันก็คงจะเน่าไปแล้ว!”
ใบหน้าของ เสี่ยวหลัว มืดลง เขาต้องการที่จะปฏิเสธเพราะเขาไม่ต้องการที่จะเป็นหนี้อะไรกับ ชู หยุนเชียง
“ฉันรู้ว่าแกไม่ต้องการที่จะถูกควบคุมโดยคนอื่น แต่บอสชู ไม่ได้บอกแกเหรอว่า เขาจะทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น สิ่งที่แกต้องทำก็คือให้ผลกับไรกับเขา 20% ทุกปี ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าผลกำไรจากการดำเนินงานของ หลัวฝาง ที่เหลือก็จะตกเป็นของแก แกเป็นหัวหน้าและเป็นซีอีโออย่างแท้จริง พี่ชายแกยังต้องคิดถึงมันอยู่อีกเหรอ? หรือฉันควรจะยอมรับว่าสมองของแกมันเน่าไปแล้วจริงๆ”
“แกไม่สงสัยเลยงั้นเหรอ เกี่ยวกับชิ้นพายที่ตกลงมาจากฟ้านี้ ชู หยุนเชียง เขาเป็นนักธุรกิจและสิ่งที่นักธุรกิจแสวงหาก็คือการเพิ่มผลกำไรสูงสุด แกคิดว่าเขาจะรับผลกำไรเพียง 20% เท่านั้นงั้นเหรอ และมอบส่วนที่เหลือ ให้กับคนนอก?” เสี่ยวหลัว ถามเขายังคงรักษาความคิดที่มีเหตุผล
“โดยทั่วไปแล้วอาชีพของนักธุรกิจสามารถแบ่งออกได้เป็นสามขั้นตอน ขั้นแรกก็คือการสะสมทรัพย์ เดิมนี่เป็นวิธีที่ไร้หลักการในการหารายได้ ซึ่งมันเป็นการละเมิดศีลธรรมและกติกาต่างๆในการทำธุรกิจ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย”
“ขั้นตอนที่สองคือการชี้นำ พ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ แกคิดว่าพวกเขาจะรักษาความซื่อสัตย์ และไม่ละเมิดกฎพื้นฐานของการทำธุรกิจเลยงั้นเหรอ”
“และขั้นตอนสุดท้าย พวกเขาก็จะชำระหนี้ที่พวกเขาก่อให้กับสังคม พวกเขาก็จะมีส่วนร่วมในการกุศลและการบริจาค และนี่ก็คือการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของอาชีพขแงพวกเขา เพื่อระงับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขา นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องจะมีประสบการณ์ในสามขั้นตอนนี้” จาง ซูซาน อธิบาย จากนั้นเขาก็พูดชักชวนเสี่ยวหลัวอย่างอดทน“ ชู หยุนเชียง ตอนนี้เขามีภาพอยู่ในสื่อสำคัญทุกๆแห่ง มันมีเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ข้อนี้ก็คือขั้นที่สาม เขาจ่ายหนี้คืนให้กับสังคมเพราะเขาประสบความสำเร็จแล้ว เราทุกคนอยู่ในประเทศจีน แต่อาจมีน้อยกว่าสิบคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา ตอนนี้เขาไม่ต้องติดตามผลกำไรสูงสุดอีกต่อไป เขาแค่ต้องการเห็นคนหนุ่มสาวที่เขาเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ และนี่มันก็จะทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จของเขาว่าเขาคิดถูกต้องแล้ว”
“แกหมายความว่า เขาต้องการเห็นฉันประสบความสำเร็จ และเขาก็จะได้รับความสำเร็จผ่านทางฉัน” เสี่ยวหลัว พูดอย่างสงสัย
จาง ซูซาน ตะโกนแล้วพูดว่า“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันหมายถึง” เขานั่งลงอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่เสี่ยวหลัวด้วยความยินดี“ฉันไม่สนใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แต่ฉันจะติดตามแกไป หากแกเป็นซีอีโอ แกก็ให้ฉันเป็นรองประธาน ฉันอยากที่จะสนุกและเพลิดเพลินไปกับพวกมัน”
“อย่าคาดหวังอะไรจากฉันมากเกินไป ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ เลนว่าจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของ ชู หยุนเชียง หรือไม่” เสี่ยวหลัว พูดตอบพร้อมกับเทน้ำเย็นลงในหม้อ
“F..CK*! แกยังจะพิจารณาอะไรอยู่อีก สิ่งนี้ยังจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอยู่อีกเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับสมองของแกกันแน่”
“ฉันต้องการที่จะทำบางสิ่งด้วยตัวเอง และฉันก็เป็นคนประเภทที่ไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่น”
“พี่ชาย กฎการเอาชีวิตรอดในสังคมนี้ก็คือ ไม่แกใช้ประโยชน์จากฉัน ฉันก็ใช้ประโยชน์จากแก มันเป็นกฏในการเอาตัวรอดในสังคมเเกจะต้องหาผลประโยชน์จากคนอื่น นั่นมันหมายความว่าแกมีค่าพอที่จะใช้งาน แม้ว่าแกจะถอยห่างออกไปหลายหมื่นก้าว และพูดว่าต้องการที่จะทำอะไรด้วยตัวเองแกคิดเหรอว่ามันจะทำได้จริงๆ” จาง ซูซาน เขาต้องการที่จะกระแทกหัวของเสี่ยวหลัว เพื่อปลุกให้สมองขี้เลื่อยของเขาตื่นขึ้น
เสี่ยวหลัวส่ายหัว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ และตอนนี้เขาก็ยังไม่มีแผนอะไร
“ถ้าอย่างนั้น แกก็น่าจะได้คำตอบแล้วนะ? แกดูแล บริษัท หลัวฝาง ไปก่อนและค่อยคิดถึงส่วนที่เหลืออย่างช้าๆ หากแกมีแผนการที่จะทำในภายหลัง มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะทำ ฉันจะติดตามแกไปเอง ต่อให้ในอนาคตแกออกไปจาก หลัวฝาง จริงๆ ฉันก็ยังคงช่วยแกดูแลมันต่อได้ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลกแล้ว ทำไมแกถึงไม่ตอบตกลงไปอีกล่ะ?” จาง ซูซานกล่าว ตอนนี้เขาตื่นเต้นมากจนสร่างจากอาการเมาแล้ว